Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร – Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 1789

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1789

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1789 เขาคือผู้อาวุโสที่ซ่อนอยู่!
นกอินทรีหัวล้านตัวมหึมาเป็นอสูรที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 เหมือนกับราชาหมาป่าใบเมเปิ้ล นัยน์ตาของมันแดงก่ำอย่างน่าสะพรึง ขนแข็งกระด้างราวกับเหล็ก มันยืนตระหง่านเหมือนของล้ำค่าระดับเซียนขั้นกลาง แค่จะป้องกันตัวจากมันก็ยากแล้ว นับประสาอะไรกับการสังหาร

“มันคือนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือด!”

“เวรละ คราวนี้พวกเราแย่แน่!”

ทุกคนต่างไม่คิดว่าตัวเองจะโชคร้ายถึงขนาดมาพบศัตรูที่ทรงพลังอีกตัวหนึ่งหลังจากหนีพ้นจากราชาหมาป่ามาได้ไม่นาน เมื่อเหตุการณ์พลิกผันอย่างกะทันหัน พวกเขาก็ไม่เสียเวลาวุ่นวายกับจางเซวียนและหวู่เฉิน ต่างคนต่างหันมาจ้องศัตรูตัวใหม่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดมีชื่อเสียงโด่งดังเสียยิ่งกว่าราชาหมาป่าใบเมเปิ้ล ไม่ใช่เพราะมัน แข็งแกร่งกว่า แต่มันขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายในการทรมานเหยื่อก่อนจะสังหารพวกเขา

พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้มันสังหารเหยื่อได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่มันก็จะเลือกเล่นงานเหยื่อให้เกิดบาดแผลเล็กๆจนอ่อนแรงไปทีละน้อยและเสียเลือดตาย แน่นอนว่ามันเป็นการล่าเหยื่อที่โหดร้ายมาก เป้าหมายคือถ่วงเวลาให้เหยื่อทุกข์ทรมานนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ยิ่งไปกว่านั้น มันยังไวมากและมีทักษะการโจมตีกลางอากาศ ทำให้ยากที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีหรือหนีมันให้พ้น ด้วยเหตุนี้ นักรบส่วนใหญ่จึงยินดีจะเผชิญหน้ากับราชาหมาป่าใบเมเปิ้ลสิบตัวมากกว่าจะต้องเจอกับนกอินทรี

ต่อให้ราชาหมาป่าสิบตัวตีวงล้อมพวกเขา หากโชคเข้าข้างก็ยังอาจหนีรอด แต่หากต้องเผชิญหน้ากับนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดเพียงตัวเดียว ชะตากรรมของพวกเขาก็เป็นอันจบสิ้น

“เราต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอด!” อู๋ควงพูดอย่างเคร่งเครียดขณะกำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงไปในฝ่ามือ

ราวกับพวกเขาพาเทพเจ้าแห่งความโชคร้ายติดตัวมาด้วย นักผจญภัยส่วนใหญ่สามารถตระเวนอยู่ในอาณาจักรใต้ดินได้อย่างปลอดภัยและกลับสู่โลกภายนอกพร้อมทรัพย์สมบัติมากมายในมือ แต่ใครจะไปคิดว่าภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงที่เข้าสู่ดินแดนนี้ พวกเขาก็ต้องเผชิญกับอสูรทรงพลังถึง 2 เผ่าพันธุ์?

“พวกเราก็ได้แต่หวัง…”

ฝูงชนพึมพำขณะชักอาวุธของตัวเองออกมาและเข้าประจำตำแหน่งป้องกันตัว

นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดรับรู้ได้ถึงความร้อนรนของคู่ต่อสู้ นัยน์ตาสีแดงก่ำของมันฉายแววเยาะเย้ยดูถูก มันกระพือปีกขนาดใหญ่ แผ่ความเกรี้ยวกราดออกไปโดยรอบ ก้อนหินหลากหลายขนาดจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนถูกกวาดขึ้นสู่กลางอากาศ มันพุ่งเข้าใส่ทั้งกลุ่มราวกับลูกบอล

ทุกคนต่างไม่ทันระวังตัว พวกเขารีบชูอาวุธขึ้นเพื่อปัดป้องก้อนหินที่ถาโถมเข้าใส่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยืนหยัดเท่านั้น สองมือของพวกเขาเปื้อนเลือดจากการถูกหินกระแทกใส่ แขนขาเป็นเหน็บ

ทุกคนล่าถอยไปสองสามก้าว ความสิ้นหวังสะท้อนอยู่ในดวงตา

ถ้านกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดปลดปล่อยพละกำลังได้มากขนาดนี้จากการกระพือปีกเพียงครั้งเดียว ก็มีความเป็นไปได้ว่าต่อให้พวกเขาเผชิญหน้ากับมัน ก็คงทำอะไรไม่ได้ มองไม่เห็นหนทางที่จะหนีพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้โดยยังมีชีวิตอยู่

“ดูเหมือนพวกเราจนมุมแล้วจริงๆ รีบหนีทันทีที่มีโอกาสนะ” อู๋ควงพึมพำอย่างสิ้นหวัง

พวกเขาโชคดีพอที่จะได้ผู้อาวุโสนิรนามคนหนึ่งมาช่วยชีวิตไว้ในคราวแรก แต่คงเป็นความหวังอันโง่เง่าเต็มทีหากคิดว่าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง อีกอย่าง ผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นคงไม่ทำตัวน่าเบื่อถึงขนาดที่จะติดตามกลุ่มของเขา

“อย่างมากที่สุดผมก็แค่ฆ่าตัวตาย ไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้เจ้านกอินทรีชั่วร้ายนั่นดูถูก…” รู้ดีถึงความโหดร้ายของนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือด อู๋ควงสูดหายใจลึกขณะส่งพลังงานทั้งหมดของเขาเข้าสู่จุดตันเถียน ตั้งใจจะสังหารตัวเองไปพร้อมกับศัตรู อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีไว้ได้

แต่ยังไม่ทันจะได้ทำแบบนั้น ชายสองคนที่พวกเขาเพิ่งกล่าวหาว่าไม่ทำประโยชน์อะไรเลยก็ก้าวออกมา

เมื่อเห็นว่ามีมนุษย์สองคนอาจหาญเผชิญหน้ากับมัน นกอินทรีกระพือปีกของมันอีกครั้ง ตั้งใจจะเล่นงานผู้เข้าท้าทายทั้งคู่ แต่ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งในสองคนนั้นพร่าเลือนไปอย่างกะทันหัน ในชั่วพริบตา อีกฝ่ายก็มายืนอยู่ตรงหน้า แล้วเตะใบหน้าของมันเข้าอย่างจัง

พลั่ก!

นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดร่วงลงมากระแทกพื้น เกิดรอยร้าวเป็นทางยาว

แม้นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดจะร่วงผล็อย แต่ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ เขาพุ่งเข้าใส่มันแล้วเตะต่อยเป็นชุด

เพียงครู่เดียวหลังจากที่นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดฟื้นตัวจากการถูกซ้อมและยืนได้อีกครั้ง ก็เป็นไปได้ว่าฝูงชนอาจคิดมากไปเอง…แต่พวกเขาสาบานได้ว่าเห็นความอ่อนโยนล้ำลึกในดวงตาสีเลือดของอสูรที่ขึ้นชื่อเรื่องความป่าเถื่อนและโหดเหี้ยม

ตอนที่จางเซวียนรับมือกับราชาหมาป่าใบเมเปิ้ล วรยุทธของเขาเพิ่งฟื้นคืนมาได้เพียงแค่ระดับเซียนขั้น 3 จึงยากที่เขาจะรับมือกับมันได้ตรงๆ ได้แต่ใช้พลังจิตวิญญาณทำให้มันหวาดกลัวและหนีไป แต่หลังจากเดินทางมาอีก 1 ชั่วโมง วรยุทธของเขาก็ฟื้นคืนขึ้นมาเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 4 ซึ่งหมายความว่าคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 ไม่เป็นอันตรายกับเขาอีกต่อไป

“ไปกันเถอะ!” จางเซวียนพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาก่อนจะปีนขึ้นไปบนร่างของนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดพร้อมกับหวู่เฉิน

จากนั้น เขาก็หันไปมองฝูงชนเป็นครั้งสุดท้ายและกล่าวลา “พวกผมยังมีภารกิจที่ต้องจัดการ คงต้องขอตัวก่อน ถ้าโชคชะตาเป็นใจ เราคงได้พบกันอีก!”

นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดกระพือปีกของมันเพื่อโผขึ้นสู่กลางอากาศ ก่อนจะหายลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้า ทั้งสามก็ลับขอบฟ้า

“….”

“เขาทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ?”

“เมื่อครู่นี้ผมพยายามขับไล่เขาไป…”

ทุกคนปากคอแห้งผาก สีหน้างุนงงสุดขีด

ที่ผ่านมา ทุกคนรู้สึกว่าชายทั้งสองเป็นตัวถ่วง แต่ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญทรงพลังที่ปลอมตัวมา!

สามารถเล่นงานอสูรที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 และทำให้มันยอมจำนนได้ด้วย…ความเก่งกาจน่าทึ่งขนาดนั้นคืออะไร?

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาก็น่าจะเป็นผู้ที่ขับไล่ราชาหมาป่าไปเมื่อครู่นี้!” อู๋ควงพูดขึ้น

ได้ยินคำนั้น ทุกคนต่างพูดไม่ออก

อันที่จริง ทันทีที่พวกเขาเห็นชายหนุ่มสำแดงกระบวนท่า ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์

‘ผู้อาวุโส’ ที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้จะเป็นใครอื่นได้นอกจากชายคนนี้?

แต่ทั้งที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ พวกเขาก็ยังหยาบคายถึงขนาดเรียกร้องให้อีกฝ่ายออกจากกลุ่มไป ช่างน่าอับอายเหลือเกินที่ปฏิบัติตัวต่อผู้มีพระคุณแบบนี้

ในตอนนั้น ทุกคนรู้สึกเสียใจสุดซึ้งกับการกระทำของตัวเอง

…..

จางเซวียนไม่รับรู้ความคิดของใคร เขานั่งอยู่บนหลังนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดและบอกหวู่เฉิน “ผมจะปล่อยมันให้คุณควบคุมนะ ผมอยากฝึกฝนวรยุทธสักหน่อยเพื่อเรียกพละกำลังกลับคืนมา”

เรื่องด่วนตอนนี้คือฟื้นคืนพละกำลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

หวู่เฉินพยักหน้ารับก่อนจะสั่งการบางอย่างกับนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือด

10 วันต่อมา นกอินทรีก็ร่อนลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง เหน็ดเหนื่อยเกินกว่าที่จะไปต่ออีกแม้แต่ก้าวเดียว จางเซวียนจึงจัดการให้อสูรระดับเซียนขั้น 9 อีกตัวหนึ่งยอมจำนนก่อนจะเดินทางต่อ

5 วันผ่านไป แล้วจางเซวียนก็ทำให้อสูรระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ตัวหนึ่งพาพวกเขาเดินทาง

อีก 5 วันให้หลัง จางเซวียนรู้สึกได้ว่าพละกำลังมหาศาลไหลเวียนอยู่ในร่างของเขา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ในที่สุดวรยุทธของผมก็กลับคืนมา…”

ผ่านไปแล้ว 1 เดือนนับตั้งแต่เขาจบชีวิตตัวเองที่สภาปรมาจารย์ ด้วยทรัพย์สมบัติที่มีมากมายและเคล็ดวิชาเทียบฟ้าอันทรงพลัง จางเซวียนก็เรียกคืนวรยุทธกลับสู่ความแข็งแกร่งสูงสุดได้ ไม่เพียงเท่านั้น คราวนี้เขายังรู้สึกว่ารากฐานวรยุทธแข็งแกร่งกว่าเดิม ดูเหมือนพละกำลังของเขาจะมั่นคงขึ้นมาก

หอสมุดเทียบฟ้ายังไม่เปิดอีกหรือ? เกิดอะไรขึ้นที่นั่น? จางเซวียนเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า แต่ก็เห็นบานประตูขนาดมหึมานั้นยังคงปิดตาย เขาขมวดคิ้วจนเป็นร่องลึก

ที่ผ่านมา หอสมุดเทียบฟ้าก็เคยยกระดับตัวเองมาก่อน แต่ระยะเวลายาวนานที่สุดที่เขาเคยพบก็เพียงแค่ 3 วันเท่านั้น เขาไม่คิดว่ามันจะยังคงปิดอยู่แม้จะผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนทั้งงุนงงและกังวล

เขาพิจารณาหอสมุดเทียบฟ้าอีกครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจทำความเข้าใจความผิดปกติครั้งนี้ได้ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และตัดสินใจทิ้งเรื่องนี้ไปก่อน

ช่างมันเถอะ! ในเมื่อหอสมุดเทียบฟ้ายังปิด ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 แรงผลักดันสัญชาตญาณ จางเซวียนคิด

เขาสะสมพลังงานไว้ได้มากพอที่จะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกขณะ แต่ธรรมชาติของหอสมุดเทียบฟ้าได้สกัดกั้นเขาไว้ไม่ให้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ แต่ในเมื่อตอนนี้ประตูยังคงปิดตาย ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดที่เขาจะพยายามฝ่าด่านวรยุทธให้สำเร็จ

จางเซวียนหลับตา เขาสะบัดข้อมือและนำหยดเลือดนักปราชญ์โบราณหยดหนึ่งออกมา

จากการสะสมพลังงานครั้งใหญ่ สมุนไพรและยาเม็ดทั่วไปจึงไม่อาจส่งผลอะไรมากนักกับวรยุทธของเขา หยดเลือดนักปราชญ์โบราณดูจะเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ช่วยให้เขายกระดับวรยุทธได้

หยดเลือดนักปราชญ์โบราณที่จางเซวียนนำออกมาครั้งนี้มาจากนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้น 1 การสืบสายเลือด จางเซวียนแตะมันอย่างแผ่วเบา พลังงานที่อยู่ในหยดเลือดพุ่งเข้าสู่ร่างของเขาทันทีผ่านทางจุดชีพจร เขาผลักดันพลังงานให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง และแปรสภาพมันให้กลายเป็นพลังปราณ

ฟิ้ววววว!

จางเซวียนขับเคลื่อนพลังปราณจนถึงจุดสูงสุดโดยไม่ลังเล และพยายามฝ่าด่านคอขวดที่สกัดกั้นเขาไว้จากการยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้น

ไม่มีเทคนิควรยุทธเฉพาะสำหรับนักรบที่กำลังไต่เต้าวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เพราะจางเซวียนได้ผ่านภูเขาหนังสือและมหาสมุทรแห่งการเรียนรู้มาแล้ว จึงมีความเข้าใจในวรยุทธขั้นนี้ เขาคุ้นเคยกับการฝ่าด่านวรยุทธมาหลายครั้งจนไม่อาจจะรู้จักมันได้ดีไปกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว

เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงการระเบิดย่อมๆในจุดตันเถียนขณะที่มันขยายตัวขึ้นอีกครั้ง เขาฝ่าด่านคอขวดของนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติได้สำเร็จ และเข้าถึงวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ!

สิ่งแรกที่จางเซวียนรู้สึกได้เมื่อสำเร็จวรยุทธขั้นนั้นก็คือการรับรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบที่ล้ำลึกกว่าเดิม มันเป็นเรื่องที่ยากจะบรรยาย ให้ความรู้สึกราวกับว่าหากเขาเพ่งสมาธิ ก็จะรับรู้ได้ทันทีว่า อะไรกำลังจะเกิดขึ้นรอบตัวในอนาคตอันใกล้

รู้ดีว่าความพยายามในการล้วงความลับสวรรค์จะทำให้ต้องแบกรับแรงตีกลับจากหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนจึงไม่กล้าทดสอบความสามารถมากนัก เขานำหยดเลือดนักปราชญ์โบราณอีกหยดหนึ่งออกมาแล้วกลืนมันลงไป

วรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ ขั้นต้น!

แรงผลักดันสัญชาตญาณ ขั้นกลาง!

แรงผลักดันสัญชาตญาณ ขั้นสูง!

…..

4 ชั่วโมงต่อมา จางเซวียนก็สำเร็จวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก

เอาล่ะ หลังจากขัดเกลาวรยุทธสักหน่อย เราก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4 ชั่วกัลปาวสานได้! จางเซวียนคิดด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

เขากำลังจะนำหยดเลือดนักปราชญ์โบราณอีกหยดหนึ่งออกมาและฝึกฝนวรยุทธต่อ ก็พอดีกับที่รู้สึกถึงการกระตุกในสมอง จางเซวียนรีบเพ่งสมาธิเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขายืนอยู่ตรงหน้าหอสมุดเทียบฟ้าและเห็นรอยร้าวบนบานประตูขนาดใหญ่ที่ปิดตาย

หลังจากแน่นิ่งมา 1 เดือนเต็ม หอสมุดเทียบฟ้าก็ยกระดับตัวเองได้สำเร็จหลังจากที่จางเซวียนฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณได้เพียงไม่นาน!

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Status: Ongoing

ตอนที่ 1 – 2100 อ่านนิยาย

อ่านต่อเลือกตอนข้างล่าง


จางเซวียนข้ามไปอีกโลกหนึ่งโดยบังเอิญ ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นครูไปเสียแล้ว ซ้ำยังเป็นครูที่ไม่เก่งและกำลังจะถูกไล่ออกอีกด้วย ทว่าจางเซวียนกลับพบความลับอันยิ่งใหญ่ของร่างใหม่ร่างนี้ นั่นก็คือ… เขามีสมองเพชร! ในสมองของครูหนุ่มคนนี้แอบซ่อน ‘หอสมุด’ ขนาดใหญ่ไว้ด้านใน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จางเซวียนเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ล้วนถูกเก็บสู่คลังหนังสือในรูปแบบของสมุดเล่มหนึ่ง ก็ถ้าในเมื่อมีไอเท็มสุดยอดนี้อยู่กับตัวแล้ว ใครยังจะกล้าเรียกเขาว่าครูกระจอกอีก?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท