อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1840 ศักดิ์ศรีของอำมาตย์เฉินหย่ง
นัยน์ตาของอำมาตย์เฉินหลิงแทบทะลุออกจากเบ้า เรื่องนี้บ้าบอเกินไปสำหรับเขา!
เขาจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจัดพิธีกรรมเรียกเทพเจ้า และเคยคิดว่าน่าจะใช้อำนาจของเทพเจ้ารวบรวมเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวและเล่นงานเสียงต่อต้านได้ ใครจะไปรู้ว่า เป้าหมายของเขาจะถูกทำลายด้วยหนังสือเพียงเล่มเดียว?
เขาขยี้ตาครั้งแล้วครั้งเล่า หวังว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นเรื่องที่เขาคิดไปเอง
นั่นคือเทพเจ้าที่มีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติที่ถูกเล่นงานด้วยหนังสือเพียงหนึ่งเล่ม…เรื่องจบลงด้วยชัยชนะของหนังสือเล่มนั้นได้อย่างไร?
ขณะกำลังครุ่นคิด เลือดก็กระอักออกจากปากของเขาอีกครั้ง
บ้าที่สุด! นี่มันอะไรกัน?
คุณควรจะเหนือชั้นกว่าใครๆ ถึงขนาดที่ทุกคนในโลกไม่ต่างอะไรกับมดเมื่อเปรียบเทียบกับคุณไม่ใช่หรือ?
คุณควรจะเป็นบุคคลผู้สูงส่งที่บงการความเป็นความตายของใครๆใช่ไหม?
แล้วมาเสียชีวิตเพราะถูกหนังสือเล่มหนึ่งทับ…
อำมาตย์เฉินหลิงยังคงไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขารีบเข้าไปตรวจสอบร่างของเทพเจ้า เห็นหัวกระโหลกของอีกฝ่ายแบะออก ทั้งจิตวิญญาณ สมอง และจิตใจของเทพเจ้าหายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว เขาไม่อาจตายมากกว่าที่เป็นอยู่ได้อีก
ก่อนที่จะทันรู้ตัว นัยน์ตาของอำมาตย์เฉินหลิงก็พร่าเลือน น้ำตาไหลเป็นทางอาบสองแก้ม
ทำไมเขาถึงโชคร้ายขนาดนี้? มันเป็นไปได้อย่างไร!
หยดเลือดมังกรที่เขาลงทุนลงแรงขัดเกลาด้วยความยากลำบากก็ถูกขโมย พลังงานที่เขาเสียค่าใช้จ่ายสูงลิ่วเพื่อนำมาเยียวยาอาการบาดเจ็บก็ถูกฉกฉวยไปต่อหน้าต่อตา และแม้แต่ไม้ตายของเขาก็ถูกสังหารในพริบตาเดียว
เมื่อคิดดู ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรดีเลยนับตั้งแต่เขาได้พบไอ้สารเลวจางเซวียนคนนั้น!
โชคดีที่เทพเจ้าไม่ได้มีความคิดจะให้เขาตาย จึงไม่ได้ทำลายจิตวิญญาณของเขา ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องจากโลกนี้ไปพร้อมกับอีกฝ่าย
อำมาตย์เฉินหย่ง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และคนอื่นๆมองหน้ากันอย่างงงงัน ต่างคนต่างกระพริบตาปริบๆขณะหัวสมองว้าวุ่น พยายามหาเหตุผลในสิ่งที่เพิ่งเห็น
พวกเขาคิดว่าคงต้องแย่แน่แล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าพล็อตเรื่องจะหักมุมอย่างกะทันหันในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน?
เขานำหนังสือออกมา แล้วทุ่มมันเข้าใส่เทพเจ้าราวกับกำลังกำจัดแมลงสาบตัวหนึ่ง
เรื่องนี้บ้าบอสิ้นดี!
ในเวลาเดียวกัน สองนักปราชญ์โบราณที่เพิ่งแปรพักตร์ไปเข้าข้างเทพเจ้าก็ดูหมดหวังอย่างรุนแรง ในตอนนั้น ทั้งคู่อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตาย
ถ้ายืนหยัดนานกว่านี้อีกสักหน่อยและเลือกติดตามอำมาตย์เฉินหย่ง ก็คงจะได้เลื่อนตำแหน่งทันทีในฐานะผู้มีส่วนร่วมก่อการปฏิวัติ แต่จากการแปรพักตร์เมื่อครู่นี้ของพวกเขา ความหวังนั้นก็ไม่มีอีกต่อไป พวกเขากลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอำมาตย์เฉินหย่ง และไม่ช้าไม่นานก็คงไม่มีที่ทางในเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ
เทพเจ้าควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตผู้ไร้เทียมทาน แต่ทำไมถึงเชื่อถือไม่ได้ขนาดนี้?
ไม่ใช่แค่ฝูงชนที่ตกตะลึงกับการพลิกผันของเหตุการณ์ จางเซวียนก็จังงังเช่นกัน
พูดกันตามตรง การนำหน้าหนังสือสีทองออกมาเป็นไพ่ไม้ตายใบสุดท้ายของเขา เขาคิดว่าหน้าหนังสือสีทองคงจะมีพละกำลังเพียงแค่สกัดกั้นเทพเจ้าไว้ได้สักระยะหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่ามันมีพลังมากพอที่จะเล่นงานอีกฝ่ายจนถึงตาย!
ถ้าเขารู้ว่าหน้าหนังสือสีทองสังหารได้แม้แต่เทพเจ้าที่มีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ เขาคงนำมันออกมาตั้งแต่แรก และคงไม่ต้องพบเจอความยุ่งยากขนาดนี้
เพิ่งไม่นานนี้เองที่หน้าหนังสือสีทองมีปัญหาเล็กน้อยระหว่างที่กำลังพยายามกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1 ที่สมาคมผู้หยั่งรู้แห่งเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว แต่ตอนนี้มันกำจัดเทพเจ้าได้อย่างง่ายดาย นี่คือหนึ่งในอานุภาพของหอสมุดเทียบฟ้าที่ถูกยกระดับขึ้นใหม่หรือเปล่า?
ในเมื่อหน้าหนังสือสีทองมีปัญหาเล็กน้อยในการสังหารนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการสืบทอดสายเลือด เขาจึงคิดว่ามันไม่น่าจะสังหารเทพเจ้าได้ แต่ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่คิดไว้มาก เท่าที่เห็น คงจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่เพิ่งถูกซึมซับเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า
พูดอีกอย่างก็คือ แม้หอสมุดเทียบฟ้าจะไม่อาจมองทะลุเทพเจ้า แต่พละกำลังของหน้าหนังสือสีทองก็เหนือชั้นกว่าเทพเจ้าเสียอีก
“อำมาตย์เฉินหย่ง ผมจะปล่อยหมอนี่ไว้ให้คุณ”
เมื่อเทพเจ้าเสียชีวิต อำมาตย์เฉินหลิงก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป จางเซวียนจึงโบกมือและเดินไปดูศพของเทพเจ้า
ถ้าเขาสามารถหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณจากร่างของนักรบที่มีวรยุทธขั้นการแบ่งแยกมิติได้ ก็คงจะไร้เทียมทานยิ่งกว่าเดิม!
ที่สำคัญกว่านั้น มันจะเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการพาเขาก้าวสู่มิติเบื้องบน ทำให้เขามีโอกาสได้พบหลัวลั่วชิง
ส่วนความขัดแย้งระหว่างอำมาตย์เฉินหย่งกับอำมาตย์เฉินหลิงนั้น เขาช่วยอำมาตย์เฉินหย่งมาถึงขนาดนี้แล้ว จึงคิดว่าควรจะปล่อยที่เหลือไว้ให้อีกฝ่ายจัดการ
เขารู้สึกว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่อำมาตย์เฉินหย่งต้องการ
“ขอบคุณมาก นายน้อย!”
เห็นจางเซวียนปล่อยให้เขาจัดการกับอำมาตย์เฉินหลิงตามใจ อำมาตย์เฉินหย่งพยักหน้าอย่างสำนึกในบุญคุณ จากนั้นก็หันไปส่งสายตาเย็นเยียบใส่อำมาตย์เฉินหลิง “อำมาตย์เฉินหลิง ผมไม่เคยปฏิบัติต่อคุณอย่างเลวร้าย แต่คุณร่วมมือกับมนุษย์และทรยศผม ผมเชื่อว่าผมคงไม่ต้องอธิบายว่าอะไรรอคอยคุณอยู่ ถูกไหม?”
อำมาตย์เฉินหลิงเหลียวซ้ายแลขวา เห็นนักปราชญ์โบราณโม่หลิง นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง และนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆสกัดกั้นมิติที่อยู่โดยรอบไว้ เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีทางหนีพ้น เขาระบายลมหายใจยาวและพูดว่า “ผู้ชนะทำได้ทุกอย่าง ในเมื่อผมแพ้แล้ว ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด!”
ถ้าเขาชนะ โลกย่อมเป็นของเขา แต่ในเมื่อทุกอย่างผลักดันให้เขาเป็นแบบนี้…อย่างแย่ที่สุดก็คงเป็นแค่ความตาย
ตอนที่เขาตัดสินใจหักหลังอำมาตย์เฉินหย่งโดยหวังว่าจะได้เป็นผู้นำคนใหม่ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ ก็รู้อยู่แล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่ในตอนนั้น เขาคิดว่าไม่มีวันที่ตัวเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ จึงยอมพลีชีพรับใช้เทพเจ้า เพื่อจะได้มั่นใจว่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ยืนอยู่
แต่ถึงจะต้องเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ อำมาตย์เฉินหลิงก็รู้สึกว่าตัวเองสุขุมกว่าเดิม บางทีอาจเป็นเพราะรับรู้แล้วว่าทุกอย่างถึงจุดสิ้นสุด ทำให้ความทะเยอทะยานของเขาหมดสิ้นไป
“ผมรู้ว่าทำไมคุณถึงตัดสินใจหักหลังผม” ได้ยินคำตอบของอำมาตย์เฉินหลิง อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้าและพูดต่อ “นับตั้งแต่โบร่ำโบราณ สามอำมาตย์เคยอยู่ภายใต้การนำของเชื้อสายตระกูลอำมาตย์เฉินหลิง แต่เมื่อถึงยุคท่านปู่ของผม เชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิงก็เริ่มเสื่อมถอย”
“…การที่คุณเกิดมาถือเป็นจุดเปลี่ยนของเชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิง ความปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่งของคุณทำให้บรรดาสมาชิกในตระกูลฝากความหวังทั้งหมดไว้กับคุณ แล้วคุณก็อยากทำให้ได้ตามความคาดหวังของพวกเขา คุณตั้งใจไว้ว่าจะนำพาเชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิงกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ดังเดิม และมุ่งมั่นเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น แต่โชคร้ายที่คุณมาพบผม”
“คุณรู้ว่าต้องเอาชนะผมให้ได้เพื่อให้เชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิงก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำอีกครั้ง จึงทุ่มเททุกอย่างจนสุดตัว แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมคุณถึงไม่มีทางเลือกและต้องทำแบบนี้ คุณคิดว่าขอแค่ผมออกไปพ้นทาง คุณก็จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นหนึ่งและทำให้เชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิงกลายเป็นผู้นำตัวจริงของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้อีกครั้ง แต่สิ่งนี้กลับกลายเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเท่าที่คุณเคยทำมา”
อำมาตย์เฉินหลิงถอนหายใจเฮือก
นับตั้งแต่โบร่ำโบราณ เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณมีศูนย์กลางอยู่ที่เชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิง นั่นคือเหตุผลที่บรรดาสมาชิกในตระกูลรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ใช้ชื่อ ‘หลิง’ เป็นชื่อของพวกเขา แต่การปรากฏตัวขึ้นอย่างปุบปับของปรมาจารย์ขงในเผ่าพันธุ์มนุษย์ รวมถึงการปรากฏตัวของไอ้โหดในเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป สงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นทำให้อำนาจแปรเปลี่ยนมาอยู่ในมือของเชื้อสายของตระกูลอำมาตย์เฉินหย่ง
ในฐานะผู้ที่เคยเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณมาเนิ่นนานนับปีไม่ถ้วน ไม่มีทางที่เชื้อสายตระกูลของอำมาตย์เฉินหลิงจะยอมรับเรื่องนี้ ความไม่พอใจสะสมทวีคูณตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนลงเอยด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ในอีกแง่หนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่จะระเบิดออกมาช้าหรือเร็วเท่านั้น
“คุณจะป้ายความผิดให้ผมอย่างไรก็ได้ตามแต่คุณต้องการ ถึงอย่างไรผมก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องใส่ใจคำพูดของใครต่อใครอีก?” อำมาตย์เฉินหลิงโบกมือ
“ป้ายความผิดให้คุณ?” อำมาตย์เฉินหย่งหัวเราะ “คุณประเมินผมต่ำไปแล้วล่ะ ผมไม่ทำอะไรน่าสมเพชอย่างนั้นหรอก ไม่เพียงเท่านั้นนะ ผมจะยังให้โอกาสคุณอีกครั้งด้วย เพื่อแสดงให้คุณเห็นว่าความแตกต่างระหว่างเราทั้งคู่นั้นเป็นสิ่งที่คุณไม่มีวันเอื้อมถึง!”
“คุณจะให้โอกาสผมอีกครั้ง?” อำมาตย์เฉินหลิงคำรามเยาะ
“ง่ายนิดเดียว ผมจะท้าทายคุณเข้าสู่การดวลอย่างชอบธรรมโดยไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาขัดขวาง ถ้าคุณเอาชนะผมได้ คุณจะได้ออกจากที่นี่ไปโดยยังมีชีวิต แต่ถ้าคุณแพ้ ก็ต้องตายที่นี่!” อำมาตย์เฉินหย่งตอบ
ในเมื่อเหตุผลที่อีกฝ่ายเลือกทรยศเขาก็เพราะไม่อาจทำตัวให้เหนือกว่าเขาได้ เขาก็อยากจะ ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงว่าช่องว่างระหว่างตัวเขากับอำมาตย์เฉินหลิงเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มีวันก้าวข้ามได้สำเร็จ!
“คุณแน่ใจหรือ?” อำมาตย์เฉินหลิงเงยหน้าขึ้นขณะหรี่ตาเพื่อหยั่งความรู้สึกของอำมาตย์เฉินหย่ง
เขาถอดใจและยินยอมพร้อมตายแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าหมอนี่จะโง่เง่าถึงขนาดท้าทายเขาเข้าสู่การดวลอย่างชอบธรรม?
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่มีวันเทียบชั้นกับอำมาตย์เฉินหย่งได้ แต่ตอนนี้อำมาตย์เฉินหย่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ที่ได้เปรียบในการสู้รบย่อมเป็นเขาแน่นอน
“ผมเคยผิดคำพูดด้วยหรือ?” อำมาตย์เฉินหย่งตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“อำมาตย์เฉินหย่ง…” ได้ฟังการตัดสินใจของอำมาตย์เฉินหย่ง นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินถึงกับผงะ
จะง่ายกว่ากันมากถ้าสังหารเจ้าสารเลวนี่ให้ตายๆไปเสียทีเดียว ทำไมต้องให้โอกาสหมอนั่น กลับมาอีกครั้งด้วย?
ทำแบบนี้ไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวหรือ?
“ปล่อยเขาเถอะ!” จางเซวียนโบกมือ
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาพอเข้าใจความรู้สึกของอำมาตย์เฉินหย่ง
อำมาตย์เฉินหย่งไม่ใช่ผู้ที่กระหายการนองเลือดโดยไร้เหตุผล แต่ใครสักคนจะต้องโง่เง่ามากหากคิดว่าเขาเป็นคนประนีประนอมและมีน้ำใจ อำมาตย์เฉินหย่งไม่เคยให้อภัยศัตรู และยิ่งหนักข้อไปกว่านั้นสำหรับผู้ที่บังอาจทรยศเขา บาดแผลที่ร่างกายของเขาได้รับไม่อาจเทียบได้เลยกับความเจ็บปวดในหัวใจ
สิ่งที่เขาปรารถนาไม่ใช่แค่ความตายของอำมาตย์เฉินหลิง แต่เขาอยากทำลายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายให้แตกเป็นเสี่ยงๆและทำให้หมอนั่นสิ้นหวังถึงขีดสุด!
นี่คือศักดิ์ศรีของผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ!
“พวกเราเข้าใจ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินพยักหน้าก่อนจะถอยไปก้าวหนึ่ง
พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของอำมาตย์เฉินหย่งดี แต่การได้เห็นต่อหน้าต่อตาก็ทำให้รู้สึกหดหู่อยู่บ้าง
ตลอดวันคืนที่พวกเขาใช้เวลากับอำมาตย์เฉินหย่ง ก็ได้รู้ว่าอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายรุนแรงแค่ไหน ไม่ง่ายเลยที่จะข้ามผ่านจุดนี้ไปได้ การสู้รบอีกครั้งในเวลานี้อาจหมายถึงความตาย
ทั้งที่รู้ว่าความตายรอคอยอยู่ไม่ว่าจะพ่ายแพ้หรือได้ชัยชนะ แต่อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังเลือกที่จะก้าวเข้าสู่การดวลเพียงเพื่อรักษาศักดิ์ศรีในหัวใจของเขา
บางที อาจเป็นเพราะความคิดนี้ที่ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณและรวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวได้