อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1869 โฉมงามของหมู่บ้าน
คนกลุ่มนั้นสวมเสื้อแขนสั้นธรรมดาๆ มือไม้พะรุงพะรังไปด้วยจอบเสียมและเครื่องมือทำการเกษตรทุกชนิด พวกเขาดูโกรธเกรี้ยวจนพร้อมระเบิดสงคราม
“วรยุทธของพวกเขา…” เจิ้งหยางพึมพำด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง
กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นพลเมืองธรรมดาสามัญที่ไม่อาจจะธรรมดาไปกว่านี้ได้อีกแล้ว หากอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็เรียกไม่ได้ว่าเป็นนักรบด้วยซ้ำ แต่ทุกคนกลับมีวรยุทธขั้นจงซรือ!
“พวกเขาไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธหรอก ไม่มีร่องรอยของพลังปราณในร่างกายเลย…” เว่ยหรูเหยียนก็ผงะ
จากฝีเท้าหนักแน่นของทั้งกลุ่ม เธอบอกได้ว่าไม่มีพลังปราณอยู่ในจุดตันเถียนของพวกเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มีใครในคนกลุ่มนี้ที่เป็นนักรบ
“สิ่งนี้น่าจะเป็นผลของการบริโภคข้าวสาลีแตกยอดมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้สภาวะร่างกายของพวกเขาเกิดการพัฒนา” จางเซวียนอธิบาย “พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาสามัญแล้ว”
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเกี่ยวข้องกับข้าวสาลีแตกยอด ยีนของคนเหล่านี้ได้รับการขัดเกลาจากข้าวสาลีเป็นเวลาหลายชั่วคนทำให้รากฐานสภาวะร่างกายของพวกเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง
ผลของการเปลี่ยนแปลงทำให้ทุกคนเกิดมาพร้อมกับพละกำลังที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ดูคล้ายกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“เอ่อ…” เจิ้งหยางตาโตด้วยความตื่นเต้น
เขาตื่นเต้นพออยู่แล้วตอนที่ฟังคำพูดของท่านอาจารย์ แต่เมื่อได้เห็นอานุภาพอันน่าทึ่งของข้าวสาลีแตกยอดด้วยตาตัวเอง ก็รู้สึกราวกับเห็นความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาศักยภาพของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างไม่รู้จบ
ถ้าทุกคนในทวีปแห่งปรมาจารย์เหมือนกับชาวบ้านกลุ่มนี้ พวกเขาคงสามารถยืนหยัดต้านทานเผ่าพันธุ์ปีศาจได้โดยไม่หวั่นเกรง ต่อให้มีบางอย่างผิดพลาดก็ตาม
แม้ต้นกำเนิดของแต่ละคนจะไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีบทบาทสำคัญในการตัดสินว่าในอนาคตผู้นั้นจะก้าวไกลไปได้แค่ไหน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเกิดมาพร้อมกับพละกำลังที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบขั้นจงซรือนั้นถือเป็นความโชคดีใหญ่หลวง
เรื่องนี้ถือว่าเข้าใกล้ไปอีกขั้นสำหรับแนวคิดของปรมาจารย์ขงในการสร้างสังคมอันรุ่งเรืองและทรงพลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์
“พวกคุณเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาทำลายพืชผลของเรา!”
ฝูงชนเข้าตีวงล้อมจางเซวียนและตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว
ผู้นำกลุ่มคือผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีอายุราว 80 ปี แม้จะอายุมากแต่ก็ยังมีกำลังวังชา ผมเผ้าและเคราของเขายังเป็นสีดำ การเคลื่อนไหวก็ยังกระฉับกระเฉง
แม้เขาจะไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธ แต่ก็มีระดับวรยุทธสูงสุดก่อนจะเข้าถึงขั้นนักรบเหนือมนุษย์ คือวรยุทธขั้นจื้อจุน!
นักรบขั้นจื้อจุนสามารถเล่นงานได้แม้แต่ฮ่องเต้เสิ่นจุ้ยแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน แต่คนเหล่านี้เข้าถึงวรยุทธระดับนั้นได้เองเมื่ออายุมากพอ
นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนในโลกภายนอกไม่มีวันเชื่อ!
“ขออภัยในความซุ่มซ่ามของผมด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำลายพืชผลของคุณ และพร้อมชดใช้ให้” จางเซวียนกล่าวขอโทษขอโพยขณะนำสมุนไพรและอาวุธจำนวนหนึ่งออกมา
แม้พวกมันจะเป็นข้าวของที่มีราคาค่างวดต่ำสุดในแหวนเก็บสมบัติของเขา แต่ก็มีราคาสูงอย่างน่าทึ่งสำหรับที่อื่นๆ
เห็นภาพนั้น ฝูงชนที่กำลังรี่เข้าใส่จางเซวียนด้วยความโมโหต่างหยุดชะงัก
พวกเขาไม่อาจระบุมูลค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็รู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณเข้มข้นอย่างน่าทึ่งที่พวยพุ่งออกจากมัน
เหตุผลที่พวกเขารีบมาที่นี่ก็เพราะพบว่ากลุ่มผู้บุกรุกได้ทำลายพืชผลทางการเกษตรจนเสียหายเป็นพื้นที่หลายหมู่ แต่ข้าวสาลีที่เสียหายพวกนั้นก็ไม่อาจเทียบกับทรัพย์สมบัติที่กองอยู่ตรงหน้าได้
“คุณจะมอบสิ่งนี้ให้เราเป็นค่าเสียหายหรือ?” ผู้อาวุโสแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ถูกแล้ว” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “กรุณารับมันไว้ด้วย บอกตามตรงนะ ผมมีคำถามบางข้อที่หวังว่าคุณจะตอบได้”
ผู้อาวุโสรีบสั่งการให้ชาวบ้านสำรวจทรัพย์สมบัติ และหลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกมันเป็นของล้ำค่า จริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลิงโลดขึ้นมา
เขารีบส่ายหัวเพื่อสลัดความรู้สึกนั้นแล้วตอบว่า “เรื่องอะไรล่ะ? ถามมาเลย”
ในเมื่ออีกฝ่ายพูดกับเขาอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัวและจ่ายค่าเสียหายให้อย่างใจกว้าง เขาก็ไม่จำเป็นต้องแสดงอาการโกรธเกรี้ยว
“นี่เป็นครั้งแรกที่เราสามคนมาที่นี่ ไม่ทราบว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?”จางเซวียนถาม
“พวกคุณอยู่ที่หมู่บ้านหิน ตั้งอยู่ในอาณาเขตของนิคมการบ่มเพาะศีลธรรม” ผู้อาวุโสตอบ
“หมู่บ้านหิน? นิคมการบ่มเพาะศีลธรรม?” จางเซวียนขมวดคิ้ว“ขอโทษเถอะ ว่าแต่นิคมการบ่มเพาะศีลธรรมคืออะไร?”
ชาวบ้านต่างงงกับคำถามนั้น แต่แล้วชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็โพล่งออกมา “มันคือหนึ่งในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเชื้อสายตระกูลนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ”
“นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ?” จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ
นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อคือหนึ่งใน 72 นักปราชญ์ที่เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง แม้ชื่อเสียงของเขาออกจะอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับนักปราชญ์โบราณหรันชิว นักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง และคนอื่นๆ แต่ชื่อของเขาก็ปรากฏบ่อยครั้งในยุคสมัยของปรมาจารย์ขง
นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อขึ้นชื่อว่ามีทักษะด้านการเกษตร บางที แม้ต้นข้าวสาลีแตกยอดจะเป็นแนวคิดของปรมาจารย์ขง แต่เขาคือผู้ที่เพาะปลูกมันด้วยความใส่ใจถี่ถ้วน
ในเมื่อดินแดนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ ก็หมายความว่าพวกเขาอยู่ในอาณาเขตของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์
จางเซวียนเคยคิดที่จะสืบเสาะเรื่องนี้หลังจากมาถึงอาณาจักรเทียนเซวียน แต่ใครจะไปคิดว่าเจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนจะค้นพบมันได้รวดเร็วขนาดนี้?
“ไม่ทราบว่าผมควรไปที่ไหนเพื่อให้ได้พบกับที่พักของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อ?”
เวลาล่วงเลยไปหลายหมื่นปีแล้ว ตัวนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อย่อมเสียชีวิตไปนานแล้วเช่นกัน แต่เขาก็ต้องมีเชื้อสายที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่ถ้าจางเซวียนอยากตามรอยปรมาจารย์ขงพื่อค้นหาว่าเขาทำอะไรและไปที่ไหนหลังจากจับตัวเทพเจ้าได้ ก็จะต้องหาตัวบรรดาผู้เชี่ยวชาญของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ให้ได้เสียก่อน
“ที่พักของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่ออยู่ที่เมืองฟ่าน ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ถ้าคุณไม่รีบ ทำไมไม่ให้ชิวหรูจากหมู่บ้านของเราพาคุณไปที่นั่นล่ะ?” ผู้อาวุโสถาม
“ชิวหรูเป็นโฉมงามของหมู่บ้านของเรา เธอเป็นนักรบและมีอสูรวิเศษอยู่ในครอบครองด้วย ถ้าคุณขี่อสูรวิเศษของเธอ ก็จะไปถึงเมืองฟ่านได้เร็วขึ้น…”
“โฉมงามของหมู่บ้าน?” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไรหรอก แบบนั้นจะรบกวนคุณมากเกินไป แค่ชี้ทางไปเมืองฟ่านให้ผมก็พอ”
“ไม่ ไม่หรอก ไม่ได้รบกวนอะไรพวกเราเลย เป็นความยินดีของเราที่ได้ช่วยเหลือคุณ! เมืองฟ่านเป็นเมืองใหญ่ และไม่ใช่ใครจะเข้าไปที่นั่นก็ได้ ถ้าคุณพยายามเข้าไปที่นั่นโดยไม่ใช่คนในพื้นที่ ก็มีโอกาสที่จะถูกจับกุมและสอบสวน จะปลอดภัยกว่ามากถ้ามีชิวหรูนำทางไป เธอคุ้นเคยกับพื้นที่นั้นดี และการไปไหนมาไหนโดยมีเธอไปด้วยก็จะสะดวกสบายกับคุณ” ผู้อาวุโสตอบอย่างหนักแน่นไม่เปิดช่องให้จางเซวียนคัดค้าน
แม้คนกลุ่มนี้จะทำลายพืชผลของพวกเขา แต่ก็เต็มใจจ่ายค่าเสียหายอย่างใจกว้าง อีกทั้งยังมีทีท่านอบน้อม จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีน้ำใจตอบ
เห็นผู้อาวุโสยืนกราน จางเซวียนได้แต่พยักหน้าอย่างลังเล
หมู่บ้านหินไม่ใช่หมู่บ้านใหญ่ รวมแล้วก็มีอยู่ราว 100 ครัวเรือนเมื่อชาวบ้านได้ยินว่ามีแขกมา พวกเขาก็รีบออกจากบ้านช่องของตัวเองเพื่อมาต้อนรับแขกอย่างอบอุ่น
ไม่ช้า ‘โฉมงามแห่งหมู่บ้าน’ ซึ่งเป็นที่เลื่องลือก็ปรากฏตัว เธอไม่ได้สวยสดงดงามมากนัก แต่มีรูปร่างหน้าตาโดดเด่นและน่ามองสำหรับหมู่บ้านเล็กๆอย่างนี้ ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมเธอจึงได้ชื่อว่าเป็นโฉมงามของหมู่บ้าน
ขณะที่โฉมงามของหมู่บ้านเดินเข้ามา เจิ้งหยางมองเธอและพึมพำ“นักรบเหนือมนุษย์ขั้น 2”
อย่างที่ผู้อาวุโสบอกไว้ก่อนหน้านี้ เธอเป็นนักรบ ด้วยพลังปราณที่ไหลเวียนทั่วร่างของเธอ ก็ไม่ยากเกินไปที่จะดูออกว่าเธอเป็นนักรบเหนือมนุษย์ขั้น 2
ชิวหรูเดินเข้ามาหาจางเซวียนกับพรรคพวก เธอพูดห้วนๆพร้อมกับเลิกคิ้ว “ฉันพาคุณไปเมืองฟ่านได้ แต่ขอบอกให้คุณรู้ว่าที่พักของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้านอกออกในได้ตามใจ คุณจะต้องยื่นสมุดแนะนำตัวล่วงหน้าก่อนจะเข้าเยี่ยมเยียน รู้ไว้ซะว่าถ้าคุณสร้างปัญหา อย่างเช่นบุกพรวดพราดเข้าไปในที่พักและทำร้ายผู้คนที่นั่นล่ะก็ ฉันจะไม่ช่วยชีวิตคุณนะ!”
ในฐานะโฉมงามของหมู่บ้าน เธอทั้งหยิ่งผยองและรักศักดิ์ศรี
“วางใจเถอะ พวกเราไม่คิดจะสร้างปัญหาใดๆ” จางเซวียนตอบ
แม้ระดับวรยุทธของทุกคนจะเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของโลกใบนี้แล้ว แต่เหตุที่พวกเขามาเยือนอาณาจักรโบราณคุนฉื่อนั้นไม่ใช่เพื่อการสู้รบ แต่เพื่อค้นหาคำตอบ จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะตั้งใจเข้าไปมีเรื่องกับคนอื่นๆ
“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดี อีกอย่าง ฉันจะบอกให้คุณรู้ไว้ตรงนี้ เผื่อคุณจะเข้าใจผิด เป็นเพราะคำสั่งของหัวหน้าหมู่บ้านหรอกนะที่ทำให้ฉันยอมพาพวกคุณไปเมืองฟ่าน ถ้าฉันเลือกได้ล่ะก็ จะไม่มีวันยอมทำอะไรที่ยุ่งยากแบบนี้ เพราะฉะนั้น อย่าได้คิดว่าคุณจะได้ใกล้ชิดกับฉันหรืออะไรทำนองนั้นเพียงเพราะเราเดินทางไปด้วยกัน ฉันรับรักจากใครคนหนึ่งในหมู่บ้านไว้แล้ว และตอนนี้ก็ไม่คิดจะแต่งงานกับคนจากหมู่บ้านอื่น!” ชิวหรูพูดห้วนๆ
“….” จางเซวียนกับเจิ้งหยางมีสีหน้าเหมือนคนท้องผูก