อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1910 ความพิเศษของจ้าวหย่า
นับตั้งแต่วินาทีที่สำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณ จางเซวียนรู้ตัวว่าเขาคือผู้อยู่เหนือสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ กลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลกอย่างแท้จริง
ทุกคำพูดและการกระทำของเขาสามารถบงการเจตจำนงของสวรรค์และแม้แต่แก้ไขมันให้ถูกต้องได้ นี่คือความสามารถเดียวกันกับที่เหล่าทายาทของปรมาจารย์ขงมี…คือวาจาสิทธิ์
เขาเคยคิดว่าตัวเองหลุดพ้นจากเส้นทางของปรมาจารย์ขงไปแล้วและคงไม่ได้รับอิทธิพลจากปรมาจารย์ขงอีก แต่ใครจะไปรู้ว่าลงท้ายเขาก็ยังเดินตามรอยเท้าของอีกฝ่าย ราวกับว่าทุกย่างก้าวได้นำพาเขาเข้าใกล้การเป็นปรมาจารย์ขงคนต่อไปมากกว่าเดิม
ในอดีต ปรมาจารย์ขงคงสำเร็จวรยุทธขั้นนี้เช่นกัน จึงถ่ายทอดความสามารถในการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของโลกด้วยถ้อยคำให้เหล่าทายาทของเขาได้
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสลัดเรื่องเหล่านั้นออกจากหัวสมอง
ไม่สำคัญแล้วว่าเขาจะเดินตามรอยปรมาจารย์ขงหรือไม่…ตราบใดที่เขาทุ่มเททุกอย่างให้กับสิ่งที่ตัวเองทำ จะมัวมาครุ่นคิดเรื่องเหล่านั้นอยู่ทำไม?
จางเซวียนกำหมัดแน่นขณะสำรวจตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาอย่างถี่ถ้วน
แม้จะสำเร็จแค่วรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด แต่ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ในตอนนี้ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถเล่นงานเทพเจ้าที่ปรากฏตัวในอาณาจักรคุนฉื่อก่อนหน้านี้ได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียว
ดูเหมือนการที่จางเซวียนกดข่มวรยุทธไว้หลายต่อหลายครั้งจะไม่สูญเปล่า พละกำลังเหล่านั้นปรากฏทันทีที่เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ มันมากมายมหาศาลเกินกว่าจะจินตนาการได้
ฟึ่บ!
ภาพวาดที่จางเซวียนกำไว้แน่นในมือของเขาแหลกสลายเป็นผุยผงในทันที
เพื่อเติมพลังให้กับการฝ่าด่านวรยุทธก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่จางเซวียนจะใช้นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่อยู่ในภาพวาดจนหมด เขายังกลืนกินหยดเลือดนักปราชญ์โบราณทุกหยดที่ได้มาจากเทพเจ้าทั้ง 2 องค์ที่สังหารไปด้วย ตอนนี้จางเซวียนรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปจนกรอบเหมือนเดิม
ความมั่งคั่งช่างเป็นภาพลวงตาเสียนี่กระไร!
“ลาก่อน!”
จางเซวียนเคาะนิ้ว เขาถ่ายทอดเทคนิควรยุทธฉบับเรียบง่ายเข้าสู่หัวสมองของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันหลังกลับแล้วหายวับไป
“ลาก่อน…จางเซวียน!” เสิ่นปี้หรูนัยน์ตาแดงก่ำขณะตัวสั่นไม่หยุดเธอรู้ดีว่าการจากกันครั้งนี้คือการแยกทางที่ทั้งคู่จะไม่มีวันกลับมาพบกันอีก
ในเวลาเดียวกัน หลังจากแน่ใจในตัวตนของชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศแล้ว ฝูงชนในเมืองนั้นก็พากันทรุดตัวลงคุกเข่า
“คารวะปรมาจารย์จาง!”
สมกับที่เป็นครูบาอาจารย์ของโลก ทุกการกระทำของเขาล้วนแต่เป็นตำนาน!
…..
จางเซวียนบินตรงไปยังพื้นที่เงียบสงบแห่งหนึ่งที่นักรบธรรมดาสามัญไม่อาจมองเห็นเขาได้ เขาหยุดอยู่กับที่ เหลียวมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า “ออกมาเถอะ!”
“ท่านอาจารย์!”
จ้าวหย่า หวังหยิ่ง หลิวหยาง เจิ้งหยาง หยวนเทา ลู่ชง เว่ยหรูเหยียน จางจิ่วเซี่ยว ขงซือเหยา…ศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนของเขาโผล่ออกจากเงามืดอย่างรวดเร็วและโค้งคำนับให้
2 ปีที่ผ่านมา จางเซวียนรับศิษย์สายตรงไว้ทั้งหมด 9 คน ซึ่งลงท้ายแต่ละคนก็ก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์กลายเป็นบุคคลที่ยืนอยู่ชั้นบนสุดของพีระมิด
“เข้ามารุมผมพร้อมๆกันเลย ผมอยากเห็นว่าพวกคุณเติบโตขึ้นแค่ไหน” จางเซวียนพูดขณะเอาสองมือไพล่หลังไว้
ศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
ฟึ่บ!
ทั้ง 9 คน เข้ารุมล้อมจางเซวียนจากทุกทิศทาง
ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาต่างพัฒนาวรยุทธขึ้นอีกมาก แม้แต่ผู้ที่เคยมีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดในอดีต, หยวนเทา ก็สำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์ขั้นกลางหลังจากที่ผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมา 2 ครั้ง ส่วนคนอื่นๆอย่างจ้าวหย่า ขงซือเหยา เจิ้งหยาง และหลิวหยางก็ล้วนสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด
หากพวกเขาผนึกพละกำลังกัน ก็สามารถสกัดกั้นได้แม้แต่เวลาและมิติ ถ้าเทพเจ้าที่เคยปรากฏตัวก่อนหน้านี้ต้องเผชิญกับการผนึกกำลังกันโจมตี ก็คงแทบต้านทานไม่ไหว
แต่เมื่อเป้าหมายคือจางเซวียน การโจมตีที่มีอานุภาพทำลายล้างของทั้ง 9 คนก็ถูกสกัดกั้นไว้ได้อย่างง่ายดายด้วยชั้นพลังปราณที่โอบล้อมร่างของเขาอยู่
อันที่จริง ขอแค่จางเซวียนปรารถนา ก็สามารถเคลื่อนไหวได้ว่องไวจนไม่มีใครตามการเคลื่อนไหวของเขาทัน
ถึงตอนนี้ สายเลือดตระกูลจางไร้ประโยชน์ต่อเขาอย่างสิ้นเชิงแล้วการเร่งเวลากลายเป็นความสามารถที่เขาเปิดใช้งานได้เพียงแค่ใช้ความคิดแวบเดียว
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันครู่หนึ่ง ไม่ช้าจางเซวียนก็รับรู้ว่าตัวเขากับศิษย์สายตรงแต่ละคนทรงพลังแค่ไหน เมื่อรู้สึกว่าสู้กันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จางเซวียนยกนิ้วชี้ขึ้นและเคาะไปข้างหน้าเบาๆ “พอ!”
พลั่ก!
ทั้ง 9 คนถูกสอยกระเด็นไปพร้อมๆกัน ต่างคนต่างหน้าซีด
คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าพวกเขาคือทีมนักรบที่ทรงพลังที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ในเวลานี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าขนาดรวมพลังกันแล้วก็ยังต้านทานการโจมตีเพียงครั้งเดียวจากนิ้วมือของท่านอาจารย์ไม่ได้…
“จ้าวหย่ากับเจิ้งหยาง พวกคุณขยันหมั่นเพียรฝึกฝนไม่น้อย ผมดูออกว่าคุณพัฒนาตัวเองได้มากตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ส่วนพวกคุณที่เหลือก็เหมือนกัน ทำได้ดีมาก ว่าแต่…ขงซือเหยา คุณต้องฝึกฝนหนักกว่านี้อีกหน่อยนะ ถึงตอนนี้คุณจะไม่ได้มีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดแต่ระดับการพัฒนาของคุณยังออกจะล้าหลังอยู่สักหน่อย” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต
ความก้าวหน้าของลูกศิษย์แต่ละคนทำให้เขารู้ว่าคนเหล่านั้นฝึกฝนอย่างหนักแค่ไหน แต่ในทางกลับกัน ผู้ที่มีอัตราความก้าวหน้าเชื่องช้าที่สุดกลับกลายเป็นศิษย์สายตรงคนล่าสุดที่เขาเพิ่งรับไว้, ขงซือเหยา
ก่อนจางเซวียนจากมา เขายังไม่ได้มอบคำชี้แนะใดๆให้เธอทำให้การยกระดับวรยุทธของอีกฝ่ายจากขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดขั้นกลางมาเป็นขั้นสูงต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี ในฐานะศิษย์สายตรงคนหนึ่งของจางเซวียน ความก้าวหน้าระดับนี้ถือว่าใช้ไม่ได้
“ฉัน…” ขงซือเหยาพูดไม่ออก
เธอจำต้องยอมรับความจริงอย่างเจ็บปวดว่าเธอคือผู้ที่ก้าวหน้าได้ช้าที่สุดตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ เธอเคยคิดว่าด้วยสายเลือดตระกูลขงที่เธอมี ต่อให้ตอนนี้เธอยังเทียบชั้นกับจ้าวหย่าเจิ้งหยาง และคนอื่นๆไม่ได้ แต่ไม่ช้าไม่นานก็คงตามพวกเขาทันแต่สุดท้าย ทุกคนก็กลับทิ้งห่างจากเธอไป
เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกได้ว่าพรสวรรค์อันน่าทึ่งที่สายเลือดตระกูลขงมอบให้เธอมีแต่จะทำให้เธอล้าหลัง ช่างโง่เง่าเหลือเกินที่คิดว่าลำพังสติปัญญาของเธอจะสูงส่งพอให้ตามทันบรรดาศิษย์พี่ที่ล้วนแต่เพียรพยายามอย่างหนักได้
ถ้าเธอไม่ไขว่คว้าทุกสิ่งอย่างเต็มกำลัง ก็มีแต่จะถูกทิ้งให้รั้งท้าย
ยังไม่ต้องพูดถึงท่านอาจารย์ของเธอที่เป็นถึงครูบาอาจารย์ของโลก! ไม่มีทางที่ศิษย์สายตรงของครูบาอาจารย์ของโลกจะถูกจำกัดไว้ด้วยข้อจำกัดเรื่องสติปัญญา!
“เอาล่ะ นี่คือสิ่งที่ผมได้ทำความเข้าใจตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ผมจะถ่ายทอดทุกอย่างให้พวกคุณเดี๋ยวนี้ ส่วนพวกคุณจะทำความเข้าใจได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะ!” จางเซวียนเคาะนิ้วและถ่ายทอดภูมิปัญญาที่เขาได้รับมาระหว่างการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณเข้าสู่สมองของศิษย์สายตรงทั้ง 9 คน
ด้วยระดับวรยุทธของพวกเขา ไม่จำเป็นที่จะต้องจ้ำจี้จ้ำไชกันทีละขั้นราวกับนักรบมือสมัครเล่นอีกต่อไป ทั้งหมดที่จางเซวียนต้องทำก็คือมอบทรัพยากรให้ และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าถึงการรู้แจ้งด้วยตัวเอง
วรยุทธนั้นเป็นของใครของมัน ในฐานะอาจารย์ บทบาทของเขาคือพาทุกคนผ่านประตูและชี้เส้นทางที่เหมาะสมให้ ส่วนแต่ละคนจะไปได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา
ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ก่อนหน้านี้จางเซวียนพยายามผลักดันให้ศิษย์ทุกคนแสวงหาเส้นทางของตัวเอง ไม่อย่างนั้น ทุกคนก็จะไม่มีวันได้รับประสบการณ์ล้ำค่าที่จะทำให้พวกเขาเติบโตและมีวุฒิภาวะมากกว่าเดิม
ศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนรับการถ่ายทอดความรู้ของจางเซวียนไว้อย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของพวกเขาเปล่งประกายของความตื่นเต้น
ด้วยภูมิปัญญานี้ ทุกคนจะสามารถใช้มันยกระดับวรยุทธและขัดเกลารากฐานของวรยุทธได้ต่อไป
จางเซวียนรู้ว่าคงต้องใช้เวลาสักระยะในการที่ศิษย์สายตรงของเขาจะซึมซับสิ่งที่เพิ่งได้รับ แต่เขาไม่มีเวลาจะเสียมากขนาดนั้น จึงพูดขึ้น “ผมตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังค่ายกลของอาณาจักรคุนฉื่อ พวกคุณควรมากับผมนะ”
ทั้ง 9 คนพยักหน้ารับ
จากนั้น พวกเขาก็มุ่งหน้าสู่อาณาจักรคุนฉื่อ ภายในไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึงแท่นบูชาที่อยู่ใต้ค่ายกลซึ่งนำไปสู่มิติเบื้องบน
หลังจากที่จางเซวียนซ่อมแซมค่ายกลแล้ว รอยแยกทั้งหมดที่เคยปรากฏก่อนหน้านี้ก็สมานตัวเข้าหากันอย่างสนิท ทำให้ที่นี่ดูแทบไม่ต่างจากที่อื่นๆ พลังงานหน้าตาเหมือนปรอทที่เคยซึมซาบเข้ามาก็สลายตัวไปจนอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย
เท่าที่เห็น ดูเหมือนค่ายกลจะทำหน้าที่ของมันได้ดี ด้วยการอารักขาของค่ายกล จางเซวียนแน่ใจว่าจะไม่มีเทพเจ้าองค์ไหนผ่านค่ายกลเข้ามาได้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อีกฝั่งหนึ่งของค่ายกลคือมิติเบื้องบน มันเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณหนักอึ้ง ที่นั่นอันตรายมาก แต่ผมเชื่อว่ามันคือกุญแจที่จะนำไปสู่การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ พวกคุณอยากลองซึมซับมันดูไหม?”
จางเซวียนเคาะนิ้วๆ แล้วหลุมดำขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นในค่ายกลพลังงานหนักอึ้งพวยพุ่งลงมา ทำให้แท่นบูชาเกิดรอยร้าวเพราะน้ำหนักของมัน
ในเมื่อเขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณแล้ว ก็ได้เวลาที่จะจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปเพื่อเข้าสู่มิติเบื้องบนเสียที
ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่มีวันได้พบหลัวลั่วชิง และโชคชะตาของทั้งคู่ก็จะถูกแยกจากกันตลอดกาล
แต่ในการจะเข้าสู่มิติเบื้องบน สิ่งแรกที่จางเซวียนต้องทำก็คือปรับตัวให้คุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทก่อนเหตุผลที่เขาพาเหล่าศิษย์สายตรงมาที่นี่ก็เพราะอยากให้คนเหล่านั้นได้รู้จักพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท เพื่อจะได้ระมัดระวังเอาไว้
ซรืดดดดด!
ได้ยินคำพูดของจางเซวียน ทั้ง 9 คนต่างซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทเข้าไปคนละหน่อย ครู่ต่อมา พวกเขาก็รู้สึกเหมือนทางเดินพลังปราณกำลังจะถูกทำลายเพราะน้ำหนักมหาศาลนั้น ทุกคนรีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ทางเดินพลังปราณของตัวเอง
พลังจิตวิญญาณนี้น่าสะพรึงเหลือเกิน ขนาดพวกเขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณแล้ว มันก็ยังเหนือชั้นเกินกว่าจะรับมือไหว
“ท่านอาจารย์ ฉันคิดว่า…ฉันซึมซับพลังจิตวิญญาณนี้ได้!”
ขณะที่จางเซวียนกำลังถอนหายใจเฮือกอย่างผิดหวัง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เขารีบหันกลับไปและเห็นจ้าวหย่ากำลังมองมาด้วยสีหน้าสับสน
พลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทไหลเวียนช้าๆอยู่ในร่างกายของจ้าวหย่า แต่ร่างกายของเธอไม่แสดงอาการต่อต้านมันแม้แต่น้อย