อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1915 ตั้นเฉี่ยวเทียน
“ช่างมันเถอะ!” หลังจากคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มพิการส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย “ผมไม่คู่ควรกับเธออยู่แล้ว ไม่ช้าไม่นานงานแต่งงานของเราก็คงล่ม…”
เพราะท่านปู่ของพวกเขาสนิทสนมกัน ทั้งสองจึงมีสัญญาใจต่อกันว่าจะหมั้นหมายหลานชายและหลานสาวของอีกฝ่ายเข้าด้วยกัน แต่เมื่อท่านปู่ของเขาเสียชีวิต ตระกูลของเขาก็เริ่มเสื่อมถอย จากนั้นชายหนุ่มก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งทำลายอวัยวะภายในของเขา ทำให้ไม่อาจฝึกฝนวรยุทธได้อีก ในเวลาเดียวกัน ขาข้างซ้ายก็พิการ ไม่ว่าจะเสาะหานายแพทย์มามากมายแค่ไหนก็ไม่มีใครรักษาได้
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์สิ้นหวัง เขาจึงลงเอยด้วยการกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย
ยิ่งไปกว่านั้น รูปร่างหน้าตาของเขาก็ยังทำให้เขาขาดความมั่นใจ ด้วยความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ เขาจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองมีแต่จะทำให้งานแต่งงานต้องล่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องและหยิบกล่องหยกใบหนึ่งมา เขายื่นกล่องหยกใบนั้นให้ผู้อาวุโส
“นี่คือสัญญาการแต่งงานที่ผูกมัดความสัมพันธ์ของเราไว้ มอบมันให้เธอนะ และบอกเธอว่านับจากวันนี้ไปเราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ผมหวังว่าเธอจะได้พบใครสักคนที่เหมาะสมกับเธอเร็วๆนี้” ชายหนุ่มพูด
“นายน้อยที่ 3…” ผู้อาวุโสอี้หน้าแดงก่ำ เขาเข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้ดีและอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยั้งปากไว้และพยักหน้า “ตามนั้น!”
เขาจะทำตัวขี้ขลาดแบบนี้หรือ? จางเซวียนกระพริบตาปริบๆ
เขาเคยคิดว่าชายหนุ่มคงจะอารมณ์เสียจนเกิดแรงผลักดันบางอย่างที่กระตุ้นให้ทำบางสิ่งที่น่าทึ่งออกมา แต่กลับตรงกันข้าม ชายหนุ่มกลับมอบสัญญาผูกมัดการแต่งงานกลับคืนง่ายๆแบบนั้น ไม่ต่างอะไรกับการยื่นหน้าออกไปให้คนอื่นเหยียบย่ำเล่น!
แม้จะเป็นคนนอก แต่จางเซวียนก็อดรนทนดูไม่ไหว
แต่เนื่องจากเขาเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวเสมอและเพิ่งมาถึงมิติเบื้องบนได้ไม่นาน จึงตัดสินใจไม่พูดอะไรบุ่มบ่าม
หลังจากได้รับสัญญาผูกมัดการแต่งงาน ผู้อาวุโสอี้ก็หันหลังกลับแล้วจากไป
ในลานบ้านอันเงียบงัน นายน้อยที่ 3 ชักดาบออกมาอย่างปุบปับ แล้วฟาดมันลงไปอย่างแรงบนหินก้อนหนึ่ง เกิดรอยบากลึกบนนั้น ดูเหมือนเขาสะเทือนใจไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแต่พยายาม ปกปิดความรู้สึกไว้เพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสอี้เป็นห่วง
จากพละกำลังที่อีกฝ่ายสำแดงออกมา จางเซวียนดูออกว่าชายหนุ่มเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 6
ถ้าเป็นทวีปแห่งปรมาจารย์ คงน่าทึ่งมากที่นักรบผู้หนึ่งจะสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 6 ได้ตั้งแต่อายุ 16-17 ปี แต่เท่าที่ฟังจากบทสนทนาเมื่อครู่ ดูเหมือนความสำเร็จนี้จะถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานโดยเฉลี่ยของมิติเบื้องบน
เมื่อได้ระบายความขุ่นเคือง ชายหนุ่มพิการดูจะสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย ในตอนนั้นเองที่เขานึกได้ว่าบุคคลที่เขาช่วยชีวิตไว้ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ จึงหน้าแดงก่ำขึ้นมาด้วยความอับอาย
“ต้องขออภัยด้วย ผมแสดงให้คุณเห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะแสดงออกมา อ้อ…ผมยังไม่ได้ถามชื่อของคุณเลย”
“ผมชื่อเหยา…อุ๊บ! ผมหมายถึง…ผมชื่อจางเซวียน” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า
“พี่จางนี่เอง!” ชายหนุ่มพิการพูด “ผมชื่อตั้นเฉี่ยวเทียน นายน้อยที่ 3 ของตระกูลตั้นแห่งเมืองไป๋เย่”
“น้องตั้น” จางเซวียนตอบรับพร้อมกับพยักหน้า “เมื่อครู่นี้ผมได้ยินคุณพูดถึงสำนักดาบเมฆเหิน ผมถามเพียงเพราะอยากรู้หรอกนะ แต่มันคือสำนักจริงๆใช่ไหม?”
คำถามที่บ่งบอกถึงความไม่รู้อะไรเลยนั้นดูจะทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนประหลาดใจ เขาถามกลับ “พี่จาง คุณไม่รู้เรื่องของสำนักดาบเมฆเหินจริงๆหรือ?”
เห็นสีหน้าสับสนของจางเซวียน ตั้นเฉี่ยวเทียนตาโตก่อนจะตั้งข้อสังเกต “ผมเกือบลืม! พี่จาง คุณไม่ได้เป็นนักรบนี่ ไม่แปลกหรอกที่คุณจะไม่รู้จักสำนักดาบเมฆเหิน โลกที่เราอาศัยอยู่นี่น่ะเป็นที่รู้จักกันในชื่อทวีปที่ถูกลืม”
“ตามตำนาน ว่ากันว่าโลกที่พวกเราอยู่เคยเป็นส่วนหนึ่งของโลกของเทพเจ้า แต่มันถูกแยกออกมาและไม่ได้รับความสนใจ มี 6 สำนักใหญ่อยู่ในทวีปที่ถูกลืม ซึ่งสำนักดาบเมฆเหินเป็นหนึ่งในนั้น การได้เข้าสู่ ทั้ง 6 สำนักใหญ่ถือเป็นเกียรติสูงสุด ผู้คนมากมายปรารถนาจะได้เข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหิน ต่อให้ได้เป็นเพียงศิษย์สายตรงระดับล่าง ตระกูลของศิษย์สายตรงผู้นั้นก็จะมีสถานภาพสูงขึ้น”
เมื่อตอนที่เขาช่วยชีวิตพี่จางไว้ เขาไม่รู้สึกถึงพลังปราณในร่างของอีกฝ่ายเลย จึงสันนิษฐานว่าชายผู้นี้คงเป็นคนธรรมดาสามัญ ไม่ใช่นักรบ
6 สำนักใหญ่คือองค์กรที่ไม่มีนักรบคนไหนในทวีปที่ถูกลืมจะมองข้าม แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญ สำนักเหล่านั้นดูจะไกลเกินเอื้อม ในเมื่อจางเซวียนไม่ได้เป็นนักรบ ก็ไม่น่าแปลกที่เขาจะไม่เคยได้ยินเรื่องของสำนักดาบเมฆเหิน
“6 สํานักใหญ่…ที่นี่ไม่มีสภาปรมาจารย์หรือ?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย
“สภาปรมาจารย์? มันคืออะไร?” ตั้นเฉี่ยวเทียนส่ายหน้า
“เอ่อ มันเป็นแค่เรื่องตลกวงในเท่านั้นแหละ…” เท่าที่ฟังจากน้ำเสียงของตั้นเฉี่ยวเทียน ดูเหมือนในทวีปที่ถูกลืมนี้จะไม่มีสภาปรมาจารย์จริงๆ จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้น, 6 สำนักใหญ่ก็คือผู้นำของทวีปที่ถูกลืมใช่ไหม?”
“ใช่ นอกจาก 6 สำนักใหญ่ ก็ยังมีกลุ่มอำนาจไร้เทียมทานอีกกลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่าหอนิรันดร์ หอนิรันดร์ปรากฏขึ้นอย่างปุบปับในทวีปที่ถูกลืมตั้งแต่หลายพันปีก่อน ผู้ก่อตั้งองค์กรคือผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังคนหนึ่ง พวกเขาทำการจัดสรรปันส่วนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล, ทรัพยากรที่นักรบทุกคนในทวีปแห่งนี้ต้องการเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนเป็นทรัพยากรล้ำค่าเพื่อการฝึกฝนวรยุทธ และจะได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!”
“หอนิรันดร์?”
“ใช่แล้ว ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมีขายทั่วไปตามเมืองใหญ่ๆในทวีปที่ถูกลืม เมื่อได้สัมผัสกับตราสัญลักษณ์ สติสัมปชัญญะของผู้นั้นจะถูกนำเข้าสู่หอนิรันดร์ สำหรับที่นั่น…ขอแค่มีเงินจ่าย ก็จะได้ร่ำเรียนเทคนิควรยุทธ ได้ซื้อหาสมุนไพร ได้ยกระดับวรยุทธของตัวเอง หรือแม้แต่จ้างนักฆ่าก็ยังได้ มันมีทุกสิ่งที่คุณต้องการ แม้แต่ทั้ง 6 สำนักใหญ่ก็ยังใช้มัน”
“ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจะนำพาสติสัมปชัญญะของผู้นั้นเข้าสู่หอนิรันดร์?” จางเซวียนอยากรู้เรื่องของล้ำค่าแปลกประหลาดชิ้นนี้ “น้องตั้น ไม่ทราบว่าคุณมีของล้ำค่าชิ้นนั้นอยู่กับตัวไหม?”
“วรยุทธของผมอ่อนด้อย สติปัญญาก็มีไม่มาก แม้แต่คู่หมั้นของผมยังเลือกตีจากและล้มเลิกการแต่งงานเลย แล้วผมจะมีคุณสมบัติเพียงพอได้ครอบครองของแบบนั้นได้อย่างไร?” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ขออภัยด้วย ดูเหมือนผมจะพูดอะไรไม่คิด” จางเซวียนประสานมือ
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องแล้วตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อ เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับทวีปที่ถูกลืมแห่งนี้
ถึงตั้นเฉี่ยวเทียนออกจะลำบากใจเล็กน้อยในการอธิบายความรู้สึกของตัวเอง และไม่มีความมั่นใจ แต่จางเซวียนก็ดูออกว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีน้ำใจอย่างมาก เพราะเมื่อเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็นำตัวเขากลับมาและช่วยรักษา เท่าที่เห็น ก็รู้สึกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนคือคนที่ไว้ใจได้
จางเซวียนได้รู้จากตั้นเฉี่ยวเทียนว่าผ่านไป 3 วันแล้ว นับตั้งแต่อีกฝ่ายพบตัวเขาและนำเขากลับมา
พละกำลังคือสิ่งที่ผู้คนในทวีปที่ถูกลืมให้ค่าอย่างสูง ตระกูลตั้นของตั้นเฉี่ยวเทียนมียุคสมัยอันรุ่งเรืองเมื่อ 20 ปีก่อน มันมีสถานภาพเทียบเท่ากับสำนักเจ้าเมืองทีเดียว หรือจะพูดให้ชัดเจนกว่านั้น แม้แต่สำนักเจ้าเมืองก็ยังต้องปฏิบัติต่อตระกูลตั้นอย่างระมัดระวัง แต่โชคร้ายที่อุบัติเหตุเมื่อ 10 ปีก่อนคร่าชีวิตเหล่าผู้เชี่ยวชาญของตระกูลตั้นไปเกือบหมด พี่ชายสองคนของเขาก็เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย
แม้แต่สภาพร่างกายพื้นฐานของตั้นเฉี่ยวเทียนก็ได้รับบาดเจ็บ ส่งผลให้เขามีสภาพอย่างที่เป็นอยู่
เมื่อตระกูลเริ่มเสื่อมถอย ผู้ที่เคยเป็นพันธมิตรก็ตีจาก บรรดาศัตรูถือโอกาสนี้เล่นงานพวกเขา ส่งผลให้ตระกูลตั้นเสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้ นอกจากตัวเขากับคนรับใช้เก่าแก่, ตั้นอี้ (ผู้อาวุโสอี้) ก็ไม่เหลือใครอีกเลย
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในบ้านพักซึ่งครั้งหนึ่งเคยกินอาณาบริเวณกว่าพันหมู่คือลานบ้านชั้นในกับลานบ้านชั้นนอก ตระกูลตั้นกลายเป็นแค่เงาของความยิ่งใหญ่ที่เคยมี
ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาการแต่งงานระหว่างตัวเขากับสำนักท่านเจ้าเมือง เขาก็คงไม่เหลืออะไรมากขนาดนี้
แต่เมื่อนายหญิงน้อยที่ 2 ปฏิเสธการแต่งงาน ปราการด่านสุดท้ายที่ยับยั้งเหล่าศัตรูของตระกูลตั้นเอาไว้ไม่ให้เล่นงานเขาก็ถือว่าหายไป ด้วยสิ่งนี้ ทุกอย่างถือว่าจบเห่อย่างสิ้นเชิง
“ผมเข้าใจ…” จางเซวียนส่ายหน้า
พละกำลังคือรากฐานของความเจริญรุ่งเรือง หากปราศจากพละกำลังที่แข็งแกร่งพอจะปกป้องตัวเอง ไม่ว่าจะมีอำนาจหรือความรุ่งเรืองมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องเสื่อมถอย
“พี่จาง ผมคิดว่าคุณคงพอเข้าใจสถานการณ์ของผมอย่างคร่าวๆแล้ว ผมหวังว่าในอีก 3 วันนี้ผมจะได้รับโอกาส…เมื่อสำนักดาบเมฆเหินรับศิษย์สายตรงรุ่นใหม่ ผมอยากให้ตระกูลตั้นกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง แต่ดูเหมือนตอนนี้ทุกอย่างจะสิ้นหวัง อีกอย่าง เมื่อเฉว่ชิงปฏิเสธการแต่งงานแล้ว ผมก็เกรงว่าที่นี่จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
อย่างคำพูดที่ว่ากัน ‘เด็กจากครอบครัวยากจนมักโตเกินวัย’ ความยากลำบากมากมายที่ตั้นเฉี่ยวเทียนได้เผชิญมาพร้อมกับผู้อาวุโสอี้ตลอดระยะเวลาหลายปีทำให้เขารู้ซึ้งถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้ นับเป็นปาฏิหาริย์แล้วที่เขายังรักษาจิตวิญญาณที่ดีงามเอาไว้ได้หลังจากที่เผชิญทุกอย่างมา
“พี่จาง ในเมื่อคุณพร้อมเดินทางแล้ว ผมคิดว่าคุณควรจะไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ ผมไม่อยากให้คุณต้องเดือดร้อนเพราะปัญหาของผม…”
ขณะที่พูด ตั้นเฉี่ยวเทียนนำเหรียญทองที่หลอมขึ้นเป็นพิเศษ 2 เหรียญออกจากกระเป๋าเสื้อของเขาและใส่ลงไปในมือของจางเซวียน “นี่คือเหรียญนิรันดร์กาล อัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในหอนิรันดร์ ถึงจะไม่มากมายอะไร แต่ก็คงพอซื้อหาอาหารได้ 2-3 มื้อ…”
“คุณมีน้ำใจเหลือเกิน”
เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนยังห่วงเขาทั้งที่ตัวเองก็เผชิญความยากลำบากมากมาย จางเซวียนยิ้มอย่างเห็นอกเห็นใจ เขาเพ่งมองตั้นเฉี่ยวเทียนครู่หนึ่ง “น้องตั้น ช่วยสำแดงศิลปะเพลงดาบของคุณให้ผมดูสักครั้งได้ไหม?”