อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1922 เสียงนี้…
ถ้าเธอถูกตบจริงๆ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
เฉว่ชิงตัวสั่น เธอรีบหันไปวิงวอนชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทา “ศิษย์พี่ อย่าฟังคำพูดเหลวไหลของหมอนั่น! เขาก็แค่เพ้อเจ้อ จนกว่าเราจะหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางตามวิธีการของเขา ก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่…”
แต่ยังไม่ทันจะขาดคำ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาก็หันมาประจันหน้ากับเธอ จากนั้นก็ตบเธอ 3 ครั้งติดๆ
ซ้าย เพียะ! ขวา เพียะ! ซ้าย เพียะ!
การตบแต่ละครั้งส่งเสียงดังลั่น ผิวบอบบางและเรียบเนียนของสาวน้อยบวมเห่อขึ้นมาทันที
“คุณพอใจหรือยัง?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาจ้องหน้าจางเซวียนพร้อมกับเอาสองมือไพล่หลัง
เขามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องการหลอมยา และตรวจสอบทุกรายละเอียดจนแน่ใจแล้ว ต่อให้ยังไม่ได้ทำการหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยาง ก็รู้ดีว่าคำตอบของชายหนุ่มนั้นถูกต้อง
ในเมื่อคำตอบชัดเจน การถ่วงเวลาด้วยวิธีใดๆก็ตามไม่เพียงแต่จะทำให้ชื่อเสียงของเขาด่างพร้อย แต่ยังรวมถึงสำนักดาบเมฆเหินด้วย
“เอ่อ…ผมก็แค่พูดลอยๆนะตอนที่บอกให้คุณตบเธอ เธอเป็นแค่สาวน้อยคนหนึ่ง มีข้อตกลงแต่งงานกับผม แต่บุกมาถึงที่พักของผมเพื่อบังคับให้ผมยกเลิกข้อตกลงการแต่งงาน…แต่นั่นแหละ เรื่องมันแล้วไปแล้ว ถือว่าเราเจ๊ากัน เชิญคุณตามสบาย!” จางเซวียนโค้งคำนับเล็กน้อยราวกับจะส่งชายเสื้อคลุมสีเทากลับ
ชายเสื้อคลุมสีเทาสงสัยตาเชือดเฉือนใส่จางเซวียนก่อนจะหันหลังกลับและจากไป คนอื่นๆรีบตามไปติดๆ ส่วนชายหนุ่มที่สลบเหมือดคนนั้น มีใครคนหนึ่งในฝูงชนแบกเขาออกไป
สำนักดาบเมฆเหินวางแผนจะใช้โอกาสนี้สำแดงความเก่งกาจและเรียกคะแนนนิยมจากผู้คนในเมืองชวนเจียง แต่เรื่องนี้ย้อนกลับมาเล่นงานพวกเขาเสียเอง
ทุกคนต่างโมโหเดือด
เมื่อออกมาพ้นอาณาเขตตลาด ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาหรี่ตามองเฉว่ชิงที่หน้าบวมเป่ง “หมอนั่นเป็นใคร?”
เฉว่ชิงตัวสั่นเพราะน้ำเสียงเย็นเยียบของชายหนุ่ม เธอละล่ำละลักอธิบาย “ศิษย์พี่ ฉันไม่รู้จักเขาจริงๆ…”
“ผมหมายถึงเจ้าหนุ่มที่พิการคนนั้น!” ชายเสื้อคลุมสีเทาขัดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ขะ-เขา…” เฉว่ชิงหน้าซีดเผือด “เขา…มีข้อตกลงการแต่งงานกับฉัน เป็นการตัดสินใจของเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลของเรา แต่เราสองคนไม่มีอะไรต่อกันจริงๆ เราพบกันไม่ถึง 2-3 ครั้งด้วยซ้ำ…”
“คุณควรรู้ตัวนะว่าทำไมคุณถึงได้การยอมรับให้เป็นศิษย์สายตรงระดับล่างของสำนักดาบเมฆเหิน!” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เพื่อให้เหล่าศิษย์สายตรงฝ่ายในได้ทุ่มเทเวลากับการฝึกฝนวรยุทธ พวกเขาจึงต้องการคนรับใช้ที่คอยทำตามคำสั่ง เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับรูปร่างหน้าตาของคุณหรือการที่คุณยังคงเป็นสาวบริสุทธิ์ ผมไม่ได้รับคุณเข้ามา รวมกลุ่มกับพวกเราในฐานะคนรับใช้เพราะเหตุผลนั้น!”
“ฉันเข้าใจ…” เฉว่ชิงก้มหน้าด้วยอาการยอมจำนน
“อย่างนั้นก็ดี!” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาโบกมืออย่างหงุดหงิด เขาเดินตรงไปยังเกี้ยวที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักและก้าวเข้าไป ก่อนเกี้ยวจะออกตัว น้ำเสียงเย็นชาของเขาก็ลอดออกมา “ผมหวังว่าคุณจะสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนที่มันจะรั่วไหลเข้าหูของสำนักดาบ อีกอย่าง ผมอยากรู้ตัวตนและภูมิหลังของเจ้าหนุ่มมัมมี่นั่นภายในคืนนี้ด้วย ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นจะมาถึงในอีก 3 วันข้างหน้า ผมไม่ต้องการให้เกิดเรื่องยุ่งยาก เข้าใจใช่ไหม?”
“เข้าใจ…” เฉว่ชิงคำนับด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
เกี้ยวเคลื่อนตัวออกไป
ในตอนนั้นเองที่เฉว่ชิงเพิ่งรู้สึกว่าแผ่นหลังของเธอชุ่มเหงื่อ เธอหันกลับไปมองตลาดหงเหยียนด้วยแววตาอาฆาต
“บอกท่านอาจารย์ของฉันว่าเราจะดำเนินการคืนนี้!” เธอคำราม
“ขอรับ นายหญิงน้อยที่ 2!” ชายหนุ่มที่ติดตามเธอตอบรับคำสั่ง
…..
“ขอบคุณมาก ท่านอาจารย์!”
เมื่อเห็นเฉว่ชิงที่หยามหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าถูกเล่นงานต่อหน้าสาธารณชน ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าท่านอาจารย์ทำเพื่อเขา ซึ่งเขาก็สำนึกบุญคุณอย่างมาก
“ในเมื่อคุณเป็นลูกศิษย์ของผม ผมก็จะไม่ยอมให้คุณถูกเข้าใจผิด” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “เอาล่ะผมอยากให้คุณหาห้องเงียบๆให้ผมสักห้องหนึ่ง ผมต้องการทดสอบตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล”
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้า
ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงห้องเงียบสงบห้องหนึ่ง
หลังจากเข้าไปในห้อง จางเซวียนสำรวจภายในอย่างถี่ถ้วนและพบว่าพื้นที่นี้มีค่ายกลรักษาความปลอดภัยอยู่หลายชั้น จึงแน่ใจได้ในความเป็นส่วนตัว เขาพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมา
“ท่านอาจารย์ ผมรู้มาว่าการจะเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมีกระบวนการเฉพาะของมัน ซึ่งการจะเปิดใช้งานมันได้อย่างสมบูรณ์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก…”
แต่ยังไม่ทันที่ตั้นเฉี่ยวเทียยจะพูดจบ ก็เห็นท่านอาจารย์ของเขาแตะลงบนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล 2-3 จุด มีเสียงหึ่งดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ตราสัญลักษณ์เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา
มันถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แล้ว!
จากนั้นจางเซวียนก็หยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล แสงเจิดจ้าแปรสภาพ เป็นวัตถุปริศนาอย่างหนึ่งที่ซึมซาบเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา
ภาพนั้นทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนจังงัง
เท่าที่เขารู้ การเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเป็นกระบวนการละเอียดอ่อน บ่อยครั้งที่นักรบคนหนึ่งจะต้องใช้เหรียญนิรันดร์มูลค่ามหาศาลเพื่อว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญสักคนให้มาทำการเปิดใช้งานในระดับสมบูรณ์ ใครจะไปคิดว่าท่านอาจารย์ของเขาจะเปิดใช้งานและทำให้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย อย่างกับเคยทำมาแล้วหลายครั้ง?
จางเซวียนไม่ใส่ใจอาการตกตะลึงของตั้นเฉี่ยวเทียน เขาพิจารณาลำแสงที่ซึมซาบเข้าสู่หว่างคิ้วของตัวเองอย่างถี่ถ้วน ซึ่งหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอันตราย ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ฟึ่บ!
ครู่ต่อมา สติสัมปชัญญะของจางเซวียนก็ลอยออกจากร่าง เข้าสู่มิติพิเศษแห่งหนึ่ง
“เฮ้ย…”
จางเซวียนก้มลงมอง เห็นกายเนื้อของเขากลายเป็นอะไรสักอย่างที่ผสมผสานกันระหว่างความเป็นจริงกับภาพลวงตา
“ขอต้อนรับสู่หอนิรันดร์!”
ขณะที่จางเซวียนกำลังพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ
“เสียงนี้…” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ
น้ำเสียงนี้ฟังคุ้นหูมาก ไม่น่ามีอะไรผิดพลาด…
“ปรมาจารย์ขง!”
มันคือเสียงปรมาจารย์ขง!
เขารู้ว่าปรมาจารย์ขงมาที่มิติเบื้องบน แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเกี่ยวข้องกับอำนาจที่ทรงพลังที่สุดของมิติเบื้องบน, หอนิรันดร์!
หรือว่า…ปรมาจารย์ขงคือผู้ก่อตั้งหอนิรันดร์?
“ตั้นเฉี่ยวเทียนบอกไว้ว่าหอนิรันดร์ก่อตั้งขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนโดยผู้เชี่ยวชาญผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่ง แต่เท่าที่ดูจากระยะเวลา ปรมาจารย์ขงน่าจะออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปตั้งแต่หลายหมื่นปีที่แล้ว…” จางเซวียนใช้สมองปะติดปะต่อข้อมูล
ถึงตอนนี้ ความเป็นไปได้ข้อหนึ่งก็ปรากฏในหัวสมองของเขา ทำให้ต้องเลิกคิ้ว “หรือว่า…กระแสกาลเวลาในมิติเบื้องบนแตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์?”
ตั้งแต่เขาฟื้น ก็เกิดปัญหามากมายหลายเรื่อง จึงไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบมิติเบื้องบนอย่างถี่ถ้วน แต่ตอนนี้ เมื่อลองคิดดู ก็เป็นไปได้ว่ากระแสของกาลเวลาในมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์น่าจะแตกต่างกันจริงๆ
ขณะที่จางเซวียนกำลังทำความเข้าใจ เสียงเมื่อครู่ก็พูดต่อ “ผมก่อตั้งหอนิรันดร์ขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้บรรดานักรบได้มีปฏิสัมพันธ์และทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอย่างปลอดภัย เมื่ออยู่ที่นี่ คุณสามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์หน้าตาและรังสีของตัวเองได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณในโลกแห่งความเป็นจริง ขอแค่คุณเต็มใจจ่าย ก็สามารถร่ำเรียนเทคนิควรยุทธได้ตามใจปรารถนา!”
“ภายในหอนิรันดร์ นักรบทุกคนมีระดับวรยุทธเท่ากัน ไม่มีความเหลื่อมล้ำด้านพละกำลังหรือสถานภาพ ทุกคนสื่อสารกันได้อย่างเท่าเทียม”
“นั่นคือทั้งหมดที่ผมอยากบอก ขอให้มีความสุขกับหอนิรันดร์นะ!”
เสียงนั้นเงียบไปอย่างปุบปับ
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้จางเซวียนยิ่งมั่นใจว่าปรมาจารย์ขงคือผู้อยู่เบื้องหลังหอนิรันดร์ ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือวิสัยทัศน์ของเขาที่อยากสร้างโลกที่มนุษย์ทุกคนมีโอกาสร่ำเรียนและฝึกฝนวรยุทธได้อย่างเท่าเทียม
จางเซวียนรู้ดีว่าสามารถแกะรอยของปรมาจารย์ขงในมิติเบื้องบนได้ แต่ด้วยความแตกต่างของเวลา เขาเคยคิดว่าคงต้องผ่านไปสักระยะกว่าจะได้รู้เรื่องราวของอีกฝ่าย แต่แล้ว ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพียงอันเดียวก็ทำให้ได้ข้อมูลมาไม่น้อย
จางเซวียนพยายามระงับความตื่นเต้น เขาครุ่นคิดถึงคำพูดของปรมาจารย์ขงก่อนจะเกิดความคิดประหลาด
“ใช้ตัวตนสมมุติได้ และมีปฏิสัมพันธ์กับใครๆได้อย่างเท่าเทียม…ไม่ต่างอะไรกับห้องแชทออนไลน์เลย?”
เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญต่อการใช้ชีวิตในโลกเก่าของจางเซวียน มันนำพาความสะดวกสบายมาให้ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารหรือการจับจ่ายซื้อของ ก็สามารถทำได้จากทุกที่ ผู้คนสามารถใช้ตัวตนใหม่ที่สมมุติขึ้นมาและสนุกสนานกับชีวิตที่แยกออกจากโลกแห่งความจริง บ่อยครั้งที่คนในอินเทอร์เน็ตซึ่งคุณเรียกว่าแฟนก็อาจเป็นแค่ตาลุงแก่ๆคนหนึ่ง
ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมีประสิทธิภาพน่าทึ่งและดูเหมือนจะทำงานด้วยหลักการเดียวกัน
เมื่อเข้าสู่หอนิรันดร์ ทุกคนสามารถปกปิดตัวตนที่แท้จริงและมีพละกำลังเท่าเทียมกัน นั่นหมายความว่าไม่มีทางระบุได้เลยว่าผู้คนที่พวกเขากำลังคุยด้วยเป็นหญิงหรือชาย เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือนักรบธรรมดาสามัญ
“แบบนี้ก็ดี เหล่านักรบสามารถระบายความเครียดที่ต้องเผชิญในชีวิตจริงอันเนื่องมาจากความมีชื่อเสียงของตัวเอง ได้ซื้อหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ แถมการแสวงหาคำชี้แนะเรื่องวรยุทธจากคนอื่นๆ ก็ทำได้ง่ายกว่า…นี่คงเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ปรมาจารย์ขงสร้างระบบนี้ขึ้นมา”
ปรมาจารย์ขงสนับสนุนการศึกษาเล่าเรียนโดยปราศจากการแบ่งแยก เขาวาดหวังจะสร้างโลกที่มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน แต่ด้วยทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่มีจำกัด อีกทั้งชาติกำเนิด สติปัญญา และโอกาสก็ล้วนแต่เป็นปัจจัยกำหนดความสำเร็จในอนาคตของแต่ละคน วิสัยทัศน์ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของเขาจึงไม่อาจทำได้จริง
ระหว่างที่ปรมาจารย์ขงอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาได้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์ขึ้น แต่ระบบที่เขาวางไว้ในสภาปรมาจารย์ก็ถูกแทรกแซงจากความทะเยอทะยานของผู้ที่ปรารถนาจะไต่เต้าและยกสถานภาพของตัวเอง จากนั้นไม่นาน เขาก็สร้างอาณาจักรคุนฉื่อ แต่ดูเหมือนจะทำให้ยิ่งรู้ซึ้งว่าไม่มีทางที่โลกแห่งความเป็นจริงจะมีความเท่าเทียมและเสมอภาคกัน ดังนั้น หอนิรันดร์และตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจึงเกิดขึ้นตามมา
สำหรับที่นี่ ทุกคนจะต้องทิ้งตัวตนเก่าและทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมัน ด้วยตัวตนใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักและพละกำลังที่ทัดเทียมกัน ทุกคนจึงสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันได้
เพียงแค่ใช้ความคิด รูปลักษณ์ของจางเซวียนก็เปลี่ยนไป เขาดูเป็นคนธรรมดามากกว่าที่เคย จากนั้นจางเซวียนก็ลองกำหมัดและปล่อยพลังหมัดออกมา
เรี่ยวแรงของเขาเทียบเท่ากับนักรบระดับเซียนขั้น 1 เท่านั้น
พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้นักรบคนหนึ่งจะทรงพลังแค่ไหน เมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่อาจสำแดงพละกำลังได้มากกว่านักรบระดับเซียนขั้น 1
จางเซวียนใช้เวลาทดสอบร่างใหม่ของเขาระยะหนึ่ง แต่โชคดีที่ดูเหมือนพื้นฐานของร่างใหม่กับกายเนื้อตัวจริงของเขาจะไม่ต่างกัน เขาตั้งต้นออกเดิน ไม่ช้าพระราชวังขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า
หอนิรันดร์, เมืองแสงดาว!
เมืองแสงดาวเป็นเมืองขั้น 2 และดูเหมือนเมืองชวนเจียงจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของที่นี่ จางเซวียนหวนนึกถึงคำบอกเล่าของตั้นเฉี่ยวเทียน เขาส่ายหัว “เป็นโครงข่ายอาณาจักรเลยทีเดียว…”
หากใช้กรรมวิธีตามแบบโลกใบเก่าของเขา ก็ถือว่ามีช่องทางการติดต่อเฉพาะในเมืองที่มีสาขาของหอนิรันดร์ตั้งอยู่เท่านั้น และเพราะไม่มีสาขาในเมืองชวนเจียง ใครก็ตามที่พยายามจะเข้าถึงหอนิรันดร์จากที่นั่นจึงต้องหาช่องทางการติดต่อเพื่อเข้าสู่เมืองแสงดาวให้ได้
จางเซวียนผลักประตูและเดินเข้าไปในพระราชวัง ฝูงชนกลุ่มใหญ่ปรากฏต่อหน้าต่อตาทันที
ก็เหมือนการเล่นเกมสังคมออนไลน์ในชีวิตเก่าของเขา ถึงทุกคนจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป แต่ก็มีความแข็งแกร่งเท่ากัน แต่ละคนอาจมาจากคนละท้องถิ่น แต่ในเวลานั้น พวกเขาจับกลุ่มกันเพื่อแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาเกี่ยวกับวรยุทธ หรือแม้แต่เจรจาต่อรองเรื่องธุรกิจสำคัญ