Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร – Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร – ตอนที่ 1952

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1952

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1952 ไร้เทียมทานจริงๆ!
ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่มีข้าวของที่จะนำติดตัวไปมากนัก ดังนั้น หลังจากสั่งลาบ้านพักที่เขาเติบโตขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้าย ก็กลับสู่สำนักเจ้าเมืองพร้อมกับผู้อาวุโสอี้ จางเซวียน และเฉาเฉิงลี่

ตอนแรก ทั้งม้าและเกี้ยวยืนกรานที่จะไปกับพวกเขาด้วย ทั้งสองขู่จะปลิดชีวิตตัวเองหากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่เมื่อเห็นว่าการข่มขู่ของพวกมันไม่ได้รับการสนใจใยดี ลงท้ายก็ถอดใจแล้วมุ่งเข้าสู่ป่าใหญ่เพื่อใช้ชีวิตร่วมกัน

เพราะจางเซวียนกับคนอื่นๆจะเดินทางสู่สำนักดาบเมฆเหินโดยใช้อสูรบินได้ จึงไม่สะดวกที่จะพาม้ากับเกี้ยวไปด้วย

ส่วนเฉว่ชิง แน่นอนว่าโควต้าของเธอในฐานะศิษย์สายตรงระดับล่างถูกริบไปแล้วหลังจากทุกอย่างถูกเปิดโปง โชคดีที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายลงไปมากนัก จึงไม่ถูกลงโทษ แต่ด้วยความตายของท่านพ่อ เธอก็สูญเสียอิทธิพลและการปกป้องจากสำนักเจ้าเมืองไป นับจากนี้ ชีวิตของเธอคงไม่ง่ายดายราบรื่นเหมือนเดิม

เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้นเฉี่ยวเทียนหมดอารมณ์จะเอาเรื่องเอาราวกับเฉว่ชิง เขาสนใจชีวิตในภายภาคหน้าของเขามากกว่าจะตามล้างตามเช็ดสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

“ไปกันเถอะ!”

เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น อสูรบินได้ตัวมหึมาก็กระพือปีกและพาจางเซวียนกับพรรคพวกออกจากเมืองชวนเจียง ไม่ช้าพวกเขาก็อยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่สำนักดาบเมฆเหิน

“ใช้เวลาราว 10 วันกว่าจะถึงสำนักของเรา” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นบอก

อสูรบินได้ที่พวกเขากำลังโดยสารอยู่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ ด้วยความแข็งแกร่งของมัน มันบินไกลหลายแสนลี้ได้สบายแม้มิติที่อยู่ในมิติเบื้องบนจะหนักอึ้ง แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาถึง 10 วันกว่าจะถึงที่หมาย ดูเหมือนสำนักดาบเมฆเหินจะอยู่ไกลออกไปไม่น้อย!

เท่าที่เห็น ทวีปที่ถูกลืมแห่งนี้น่าจะกว้างใหญ่กว่าทวีปแห่งปรมาจารย์

ด้วยตำแหน่งอันทรงเกียรติของตั้นเฉี่ยวเทียนในฐานะศิษย์สายตรงฝ่ายใน เขาจึงได้รับห้องโดยสารส่วนตัวซึ่งกว้างขวางพอให้จางเซวียนกับคนอื่นๆพักอยู่ด้วย

ระหว่างการเดินทาง จางเซวียนกินยาเม็ดอมตะขั้นต้นที่ได้จากเฉาเฉิงลี่ไป 2 เม็ด แล้วดำเนินการฟื้นฟูพละกำลังให้กลับคืนมาดังเดิม เขาขัดเกลาวรยุทธของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าโดยใช้พลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท จนถึงจุดที่พร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกเมื่อ

แต่เพราะยังไม่มีเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมอยู่ในมือ จางเซวียนจึงต้องรั้งรอไว้ก่อน

หลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอยู่หลายวัน ในที่สุดจางเซวียนก็แน่ใจว่ากระแสของกาลเวลาในมิติเบื้องบนแตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์ หากคิดเป็นสัดส่วนก็ตกราว 1:10

พูดอีกอย่างก็คือ 1 วันในมิติเบื้องบนเท่ากับ 10 วันในทวีปแห่งปรมาจารย์

ดังนั้น ระยะเวลาหลายหมื่นปีของทวีปแห่งปรมาจารย์จึงเทียบเท่ากับเวลาในมิติเบื้องบนที่ผ่านไปเพียงหลายพันปีเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เชื่อมโยงกับระยะเวลาที่หอนิรันดร์ก่อตั้งขึ้น

ด้วยแรงกดดันของเวลาและมิติในมิติเบื้องบน อายุขัยของเหล่านักรบจึงสั้นลงมาก

นักรบระดับเซียนในทวีปแห่งปรมาจารย์จะมีชีวิตอยู่ได้ราว 1,000 ปี แต่สำหรับที่นี่, 100 ปีก็ถือว่าสิ้นอายุขัยแล้ว เช่นเดียวกันกับนักรบระดับนักปราชญ์โบราณ ซึ่งมีอายุขัยมากกว่า 100 ปีเพียงเล็กน้อย

ส่วนนักรบเสมือนอมตะอย่างผู้อาวุโสลู่อวิ๋น อายุขัยของเขาอยู่ที่ประมาณ 300 ปี

นั่นคือเหตุผลที่นักรบส่วนใหญ่ปรารถนาจะลงไปสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์แม้จะต้องได้รับความบอบช้ำสาหัส

2-3 วันผ่านไป นอกจากให้เวลากับการขัดเกลาวรยุทธของตัวเอง จางเซวียนก็ยังใช้โอกาสนี้มอบคำชี้แนะให้ตั้นเฉี่ยวเทียนกับเฉาเฉิงลี่ ส่วนผู้อาวุโสอี้ ด้วยอายุที่มากและความบอบช้ำสาหัสที่ได้รับมาตลอดหลายปี เขาจึงต้องการเวลาเพื่อเยียวยาร่างกายก่อน การฝึกฝนวรยุทธในเวลานี้ย่อมไม่เหมาะสม

10 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงเช้าตรู่ พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ทุกคนเห็นภูเขาขนาดมหึมาซึ่งเป็นทางเข้าสูงใหญ่อยู่ตรงหน้า

มันมีความสูงเกือบหมื่นเมตรและกว้างหลายพันเมตร ด้วยขนาดอันใหญ่โตของมัน ส่วนบนของประตูจึงสูงเสียดเมฆ สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนหวนนึกถึงประตูสวรรค์ทิศใต้

ที่ใจกลางของประตูมีดาบเล่มใหญ่ซึ่งทำจากคอนกรีต มันปักลงไปในพื้นดิน

แม้จะยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงเจตจำนงเพลงดาบอันเข้มข้นอย่างน่าทึ่งที่แผ่ออกมาจากดาบนั้น ดูเหมือนจะแข็งแกร่งพอที่จะทำลายล้างได้แม้แต่มิติ แรงกดดันที่มันแผ่ออกมาสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของเหล่านักรบได้

“ไร้เทียมทานจริงๆ!” จางเซวียนอัศจรรย์ใจ

สมกับที่เป็นหนึ่งในหกสำนักใหญ่ของมิติเบื้องบน ไม่มีทางที่ประตูบานมหึมาและดาบที่ทรงพลังขนาดนี้จะถูกสร้างขึ้นได้ในทวีปแห่งปรมาจารย์

เจตจำนงเพลงดาบไร้เทียมทานนั้นทรงพลังเสียยิ่งกว่าแก่นสารของดาบที่เขาเคยฝึกฝนมา หากต้องเผชิญหน้ากับนักรบที่ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบซึ่งมีเจตจำนงเพลงดาบเข้มข้นขนาดนี้ ต่อให้ตัวเขาก็คงพ่ายแพ้ราบคาบ

ดูเหมือนทั้ง 6 สำนักใหญ่จะมีพละกำลังที่แสนน่าสะพรึง!

ด้วยความอยากรู้ จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้และพินิจพิจารณาดาบเล่มใหญ่นั้นอย่างถี่ถ้วน เขาเห็นภาพลวงตาของดาบซ่อนตัวอยู่อย่างเลือนรางในส่วนลึกของดาบคอนกรีตเล่มใหญ่นั้น

นั่นคงเป็นกลไกการควบคุมเจตจำนงเพลงดาบที่อยู่ภายในดาบเล่มใหญ่

จางเซวียนต้องประหลาดใจที่พบว่าแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังเจตจำนงเพลงดาบนั้นเหมือนกันกับศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้า แต่มีระดับขั้นสูงกว่า ให้ความรู้สึกล้ำลึกและเหนือชั้นแม้จะวัดตามมาตรฐานของจางเซวียน

แค่ได้เห็น จางเซวียนก็เกิดความเข้าใจในแก่นสารของศิลปะเพลงดาบที่ล้ำลึกกว่าเดิม

แม้เขาจะไม่มีทางเข้าใจศิลปะเพลงดาบได้อย่างชัดแจ้งด้วยการมองเพียงแวบเดียว แต่ด้วยแนวคิดที่เหมือนกัน จางเซวียนก็มั่นใจว่าขอแค่เขามีเวลามากพอ ก็จะสามารถถ่ายทอดเจตจำนงเพลงดาบนี้เข้าสู่ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าของเขาได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับศิลปะเพลงดาบของเขาให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

“สำนักดาบเมฆเหินอยู่ตรงหน้านี่เอง ดาบนี้เป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งของเราทิ้งไว้ บรรจุเอาความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบและเจตจำนงเพลงดาบของเขาไว้ข้างใน แม้จนถึงวันนี้ ความสำเร็จของเขาก็ยังทำให้ผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบทุกรุ่นล้วนแต่ยำเกรง!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดขณะจับจ้องประตูบานมหึมาและดาบเล่มนั้นด้วยนัยน์ตาที่เปี่ยมความชื่นชม

ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ตัวแข็งไปเล็กน้อยขณะที่นัยน์ตาแดงก่ำ

แม้ในวันคืนที่เขาฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอย่างโดดเดี่ยว ก็มีบ่อยครั้งที่เขาใฝ่ฝันถึงการจะได้ไปเยือนสำนักดาบเมฆเหินสักครั้งเพื่อฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่ดีที่สุดในโลก สำหรับเขา นี่คือความฝันที่กลายเป็นจริง

เหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่อสูรบินได้จะบินผ่านประตูเข้าไป ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นหันมาพูดกับตั้นเฉี่ยวเทียน จางเซวียน และคนอื่นๆ “ก่อนที่เราจะเข้าสู่สำนัก ผมขอบอกกล่าวให้พวกคุณรับรู้ถึงกฎระเบียบของสำนักของเราเสียก่อน”

“ศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินแบ่งออกเป็น 4 ขั้นคือ ศิษย์สายตรงระดับล่าง ศิษย์สายตรงฝ่ายนอก ศิษย์สายตรงฝ่ายใน และศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด แม้ศิษย์สายตรงฝ่ายในจะได้รับความเคารพยกย่องในสำนัก แต่ก็ยังมีศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดที่เหนือชั้นกว่า”

“ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด?” ตั้นเฉี่ยวเทียนนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

“ใช่แล้ว พูดตามตรงนะ ในฐานะศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักดาบเมฆเหิน คุณไม่ต้องทำอะไรมากนักหรอก คุณสามารถใช้เวลาฝึกฝนศิลปะเพลงดาบหรือฝึกฝนวรยุทธได้ตามสบาย ถ้าต้องการทรัพยากรเพื่อการศึกษาเล่าเรียน ก็สามารถเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในได้ หรือไม่ก็ขอพบศิษย์พี่หรือผู้อาวุโสสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือจากพวกเขา แน่นอนว่าทรัพยากรส่วนใหญ่ไม่ใช่ของฟรี คุณจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเหรียญสำนักดาบ!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด

“เหรียญสำนักดาบ?” จางเซวียนทวนคำด้วยน้ำเสียงที่เจือความสิ้นหวัง

เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีอัตราแลกเปลี่ยนอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้กันเฉพาะในสำนักดาบเมฆเหิน รู้สึกได้ทันทีว่าต่อไปจะต้องเหนื่อยยากไม่น้อยเพื่อไขว่คว้าหามัน ดูเหมือนเขาไม่มีวันได้เป็นอิสระจากปัญหาเรื่องการเงินเลย

“เหรียญสำนักดาบคืออัตราแลกเปลี่ยนเสมือนจริงที่ใช้กันเฉพาะภายในสำนักดาบเมฆเหิน ใช้ซื้ออะไรก็ได้ตามแต่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด อาวุธ เทคนิควรยุทธ หรือแม้แต่บทเรียนจากเหล่าผู้อาวุโส แต่การจะได้มันมาก็ลำบากไม่น้อย คุณจะต้องเข้าร่วมในการดวล ปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ตอบคำถามของคนอื่นๆให้ได้ หรือให้คำชี้แนะกับผู้อื่นเรื่องการฝึกฝนวรยุทธ ซึ่งเรื่องสำคัญที่สุดที่คุณจะต้องรู้ก็คือทุกอย่างภายในสำนักต้องใช้เหรียญสำนักดาบ หากไม่มี การจะได้อะไรมาสักอย่างก็ล้วนแต่มีอุปสรรค พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าคุณมีปัญญาหาเหรียญสำนักดาบได้มากพอ ก็จะมีโอกาสได้ใช้ทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธอย่างไม่จำกัด จึงเป็นธรรมดาที่จะยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆ” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นอธิบาย

ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ออกจากประหลาดใจเล็กน้อย

อะไรๆดูจะแตกต่างไปจากที่เขาเคยวาดภาพไว้ เขาคิดว่าสำนักดาบเมฆเหินน่าจะเป็นสำนักที่ความต้องการด้านวัตถุมีความสำคัญเป็นเรื่องรอง ทุกคนดื่มด่ำอยู่กับการค้นพบความล้ำลึกในวรยุทธและศิลปะเพลงดาบ แต่กลับตรงกันข้าม ดูเหมือนจะมีเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอยู่ที่นี่!

“รอเดี๋ยว ผู้อาวุโสลู่, เมื่อครู่นี้คุณพูดว่าเหรียญสำนักดาบคืออัตราแลกเปลี่ยนเสมือนจริง…นั่นหมายความว่าสำนักดาบเมฆเหินมีหอนิรันดร์ของตัวเองหรือ?” จางเซวียนตั้งคำถาม

“คุณจะคิดแบบนั้นก็ได้ เรามีหอนิรันดร์เป็นส่วนตัวที่ศิษย์สายตรงเข้าถึงได้ ก็เหมือนกับหอนิรันดร์ที่อื่นๆ มันคือสถานที่ที่เหล่าศิษย์สายตรงจะได้ทำดวลและแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากัน ความแตกต่างเดียวก็คือหอนิรันดร์ของเราได้รับการดูแลเป็นการภายในจากคนของเราเอง และมีอัตราแลกเปลี่ยนรวมทั้งระบบต่างๆที่แยกจากที่อื่น เป็นเอกเทศจากหอนิรันดร์สาขาอื่นๆที่อยู่ภายนอก”ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตอบ

จางเซวียนพยักหน้า

หากใช้ตรรกะจากโลกใบเก่าของเขา หอนิรันดร์ที่อยู่ภายในสำนักดาบเมฆเหินก็เหมือนกับพื้นที่ที่เป็นเครือข่ายเฉพาะของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ มีแต่อุปกรณ์ต่างๆที่เป็นของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เท่านั้นที่จะเข้าถึงเครือข่ายเฉพาะอันนี้ได้

“อ้อ ใช่ ระดับพื้นฐานของวรยุทธในหอนิรันดร์ของเราก็ไม่เหมือนใคร ผู้ที่จะเข้าสู่หอนิรันดร์ของเราได้มีแต่ศิษย์สายตรงฝ่ายในขึ้นไปเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ วรยุทธระดับพื้นฐานในหอนิรันดร์จึงไม่ใช่ระดับเซียนขั้น 1 แต่เป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด

สำหรับนักรบที่เข้าสู่หอนิรันดร์ในเมืองแสงดาว ไม่ว่าตอนที่อยู่ภายนอกจะทรงพลังแค่ไหน ทุกคนจะถูกลดระดับวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 1 แต่สำหรับที่นี่จะแตกต่างออกไป ไม่ว่านักรบคนหนึ่งจะทรงพลังหรืออ่อนด้อยอย่างไรก็ตาม ทุกคนจะกลายเป็นนักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 เมื่ออยู่ภายในหอนิรันดร์

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Library of Heaven’s Path อัจฉริยะสมองเพชร

Status: Ongoing

ตอนที่ 1 – 2100 อ่านนิยาย

อ่านต่อเลือกตอนข้างล่าง


จางเซวียนข้ามไปอีกโลกหนึ่งโดยบังเอิญ ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นครูไปเสียแล้ว ซ้ำยังเป็นครูที่ไม่เก่งและกำลังจะถูกไล่ออกอีกด้วย ทว่าจางเซวียนกลับพบความลับอันยิ่งใหญ่ของร่างใหม่ร่างนี้ นั่นก็คือ… เขามีสมองเพชร! ในสมองของครูหนุ่มคนนี้แอบซ่อน ‘หอสมุด’ ขนาดใหญ่ไว้ด้านใน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จางเซวียนเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ล้วนถูกเก็บสู่คลังหนังสือในรูปแบบของสมุดเล่มหนึ่ง ก็ถ้าในเมื่อมีไอเท็มสุดยอดนี้อยู่กับตัวแล้ว ใครยังจะกล้าเรียกเขาว่าครูกระจอกอีก?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท