อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1965 ขายของจริงหรือ?
บึ้มมมม!
ด้วยความโกรธขึ้งของเขา พลังงานมหาศาลระเบิดออกจากจุดชีพจร บ้านพักหลังนั้นสั่นสะท้านไม่หยุด ดูเหมือนพร้อมจะพังทลายด้วยแรงโทสะ
ผู้อาวุโสไป๋อาจได้รับบาดเจ็บและกำลังจะตาย แต่ตราบใดที่ตัวเขา, ไป๋เฟิง ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบนายหญิงน้อยเป็นอันขาด เจ้าศิษย์สายตรงคนนั้นรนหาที่ตายแล้ว!
“ฉัน…ฉันเต็มใจซื้อมันเอง เขาไม่ได้หลอกลวงฉันหรอก…” ไป๋เหรินชิงหน้าแดงก่ำ
อีกฝ่ายพูดว่าเธอมีสิทธิ์ตัดสินใจเองว่าจะซื้อหรือไม่ และเขาก็ไม่ได้บีบบังคับเธอให้รีบร้อนตัดสินใจ
คำนั้นไม่ได้ทำให้ความเดือดดาลของไป๋เฟิงลดลงแม้แต่น้อย “คุณเต็มใจซื้อ? หมอนั่นคงใช้คำพูดหวานๆหว่านล้อมคุณแน่…”
“เอาเถอะ ไม่ว่าจะมีพลังจิตวิญญาณอยู่ในนั้นหรือไม่ ในเมื่อเราซื้อมันมาแล้ว ลองให้ท่านปู่กินดู เผื่อมันอาจได้ผล” ไป๋เหรินชิงขัดขึ้นก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนอนใหญ่
เธอยืนอยู่ข้างเตียง เฝ้ามองใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราที่ดูอ่อนแรง หน้าอกของเขามีรอยบุ๋มขนาดใหญ่ เนื้อหนังที่อยู่ตรงนั้นเริ่มเหี่ยวแห้ง ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา
นัยน์ตาของผู้อาวุโสปิดสนิท แม้แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ไม่อาจทำให้เขาตื่น
“ท่านปู่ คุณจะต้องหายดี” ไป๋เหรินชิงพึมพำขณะพยุงผู้อาวุโสขึ้นมาแล้วรินน้ำในขวดหยกเข้าไปในปากของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ
หลังจากเสร็จสิ้น เธอรีรออยู่ครู่หนึ่ง แต่เนื้อหนังที่เหี่ยวแห้งนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น สีหน้าของเธอเคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย
“ไม่มีพลังจิตวิญญาณอยู่ในนั้นเลย เพราะฉะนั้นยานี้เป็นของปลอมแน่ นายหญิงน้อย…ต่อไปคุณจะต้องไม่ฟังคำพูดของพวกคนหลอกลวงอีกนะ เหล่าผู้อาวุโสของสำนักที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคได้พยายามรักษานายท่านแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วยาที่ศิษย์สายตรงคนหนึ่งขายจะมีประสิทธิภาพดีพอได้อย่างไร?” ไป๋เฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่
ในตอนนั้นเอง เสียงอ่อนระโหยก็ดังขึ้น “พวกคุณเอาอะไรให้ผมกินน่ะ?”
ไป๋เหรินชิงกับไป๋เฟิงตาโตด้วยความตกใจขณะหันขวับ ผู้อาวุโสไป๋เย่ที่เคยสลบไสลไม่ได้สติลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เขายังคงอ่อนแรงอยู่ แต่ในที่สุดก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาหลังจากที่สลบไปเนิ่นนาน
“ยานี้ได้ผลหรือ?” ไป๋เหรินชิงตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
เธอยิ่งกว่ากังวลใจเรื่องอาการของท่านปู่ ถ้าไม่ใช่เพราะวรยุทธที่เหนือชั้นของเขา เขาคงตายไปนานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าร่อแร่เต็มที เป็นไปได้ว่าท่านปู่อาจหมดลมหายใจสุดท้ายในอีกสองวันนับจากนี้ จึงน่าตกใจมากที่ท่านปู่ของเธอฟื้นและพูดได้หลังจากได้ดื่มน้ำเปล่าขวดหนึ่งเข้าไป
แม้แต่ยาเม็ดสืบทอดชีวิตขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหินก็ยังไม่มีอานุภาพเท่านี้!
“นายท่าน!”
ไป๋เฟิงรีบเข้าไปพยุงผู้อาวุโสไป๋เย่ให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ขับเคลื่อนพลังปราณเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายเพื่อตรวจสอบสภาวะภายใน
ครู่ต่อมา ไป๋เฟิงก็ตาโตด้วยความตกตะลึงขณะตั้งข้อสังเกต “อาการบาดเจ็บของนายท่านได้รับการเยียวยาแล้วจริงๆ…”
แม้ระดับของการเยียวยาจะเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่ข้อเท็จจริงก็คือยานั้นได้ผล พลังงานกัดกร่อนที่บ่อนทำลายอวัยวะภายใน พลังปราณ และจิตวิญญาณของผู้อาวุโสไป๋เย่มาตลอดถูกกดข่มไว้อย่างชะงัด!
พลังงานทำลายล้างนั้นคือพละกำลังพิเศษที่ไม่อาจยับยั้งได้ของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ในโลกนี้ไม่มียาชนิดไหนที่สามารถรักษามันได้ ใครจะไปรู้ว่าน้ำเปล่าขวดหนึ่งที่ไป๋เหรินชิงซื้อมาจะได้ผลน่าทึ่งขนาดนี้?
“นายหญิงน้อย คุณซื้อยาขวดนั้นมาจากไหน?” ไป๋เฟิงถามอย่างร้อนใจ
“ฉันซื้อมาจากตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน…” ไป๋เหรินชิงรีบฉุดตัวเองขึ้นจากภวังค์
“คุณซื้อมาแค่ขวดเดียวหรือ?”
น่าจะเป็นเพราะปริมาณยาที่มีไม่มากพอ ผู้อาวุโสไป๋เย่จึงฟื้นตัวได้เพียงเล็กน้อย แต่จากสภาพที่เป็นอยู่ ก็เห็นได้ชัดว่าน้ำนั้นมีอานุภาพในการรักษาอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายได้จริงๆ ขอแค่พวกเขาได้มันมาในปริมาณมากพอ ก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้อาวุโสไป๋เย่จะฟื้นคืนสภาพจากอาการบาดเจ็บอย่างสมบูรณ์…อาการบาดเจ็บที่ทำให้บรรดานายแพทย์ในสำนักพากันอับจนหนทาง!
“ฉันเองก็คิดว่ามันอาจเป็นการหลอกลวง…จึงซื้อมาเพียงขวดเดียวเพื่อลองดู…” ไป๋เหรินชิงหน้าแดงก่ำ
“ไม่ใช่การหลอกลวงแน่ มันคือน้ำทิพย์สวรรค์จริงๆ…สมชื่อของมัน เร็วเข้า พาผมไปที่นั่นที!” ไป๋เฟิงเร่ง “เราต้องซื้อมันมาให้มากที่สุด เหมาหมดเลยก็ได้ ถ้าได้มันมาในปริมาณมากพอ นายท่านจะต้องหายดีแน่!”
“ดะ-ได้! ไปกันเลย”
ท่าทีของไป๋เฟิงทำให้ไป๋เหรินชิงรู้ทันทีว่าคราวนี้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นจริงๆแล้ว เธอจึงรีบออกไปและกระโจนขึ้นขี่หลังอสูรบินได้
“แบบนั้นก็ช้าไป ผมพาคุณไปดีกว่า!”
ยังไม่ทันที่อสูรบินได้จะออกบิน เสียงของไป๋เฟิงก็ดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้น ไป๋เหรินชิงก็รู้สึกว่าร่างของเธอลอยสูงขึ้นจากพื้นและพุ่งตรงไปยังตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
เพียง 2-3 อึดใจก็มาถึงที่หมาย สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากร่อนลงก็คือรีบตรงไปยังบริเวณที่เธอซื้อน้ำทิพย์นั้น แต่ทุกอย่างว่างเปล่า
ไป๋เหรินชิงตาโตด้วยความพรั่นพรึง เธอรีบหันไปถามพ่อค้าที่อยู่ใกล้ๆอย่างร้อนใจ “ผู้ที่ขายยาในขวดหยกที่ตั้งแผงอยู่ถัดจากคุณก่อนหน้านี้…เขาอยู่ที่ไหน?”
พ่อค้าผู้นั้นแสนจะพรั่นพรึงที่เห็นไดโนเสาร์ตัวเมียรีบร้อนกลับมา แถมยังพ่วงผู้อาวุโสที่บินได้คนหนึ่งมาด้วย! เขาค้อมตัวเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัวขณะละล่ำละลัก “ขะ-เขาออกไปแล้ว…”
“คุณรู้ไหมว่าเขามาจากตระกูลไหน อยู่ภายใต้การดูแลของใคร?” ไป๋เหรินชิงซักไซ้
“ผมไม่รู้!” พ่อค้าตอบอย่างกระวนกระวาย “เขาเพิ่งมาถึงวันนี้เอง พวกเราจึงไม่ได้สนิทสนมกับเขามากนัก ถึงเขาจะขายยาปลอมให้คุณ แต่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมนะ!”
“ใช่! ใช่แล้ว! พวกเราไม่รู้จักเขาเลย เรารู้ว่าเขาทำให้คุณขุ่นเคืองใจ จึงไม่ได้ขายของที่เขาต้องการให้เขาด้วยซ้ำ…”
“ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่คนดี…ถ้าเขากล้าเหยียบย่างเข้ามาในตลาดศิษย์ของสายตรงฝ่ายในอีกล่ะก็ ผมจะต้องสั่งสอนบทเรียนให้เขาแน่…”
พ่อค้าคนอื่นๆพยายามกันตัวเองออกจากชายหนุ่มที่มาเมื่อครู่นี้
พวกเขาจับตามองไป๋เหรินชิงตั้งแต่อีกฝ่ายมาถึงตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน จึงได้เห็นเธอซื้อยาปลอมนั่นจากชายหนุ่มที่มาเมื่อครู่ ในเมื่อไป๋เหรินชิงพรวดพราดกลับมาแบบนี้ ก็มีโอกาสสูงที่เธอจะรู้แล้วว่าตัวเองถูกหลอก และต้องรีบกลับมาเพื่อสั่งสอนบทเรียนให้ชายหนุ่มคนนั้น
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกันตัวเองให้ออกห่างจากหมอนั่น ก่อนจะต้องเดือดร้อนเพราะไดโนเสาร์ตัวเมียตัวนี้
เห็นทุกคนพูดถึงชายหนุ่มในแง่ร้าย ไป๋เหรินชิงจังงังไปครู่หนึ่ง เธอตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความงุนงงอย่างเห็นได้ชัด “พวกคุณพูดเรื่องอะไรน่ะ?”
“เขาไม่ได้ขายยาปลอมให้คุณหรอกหรือ?” พ่อค้าที่อยู่ใกล้กับเธอย้อนถาม
“ยาของเขาเป็นของจริง ฉันมาที่นี่เพื่อขอบคุณเขา และอยากจะซื้อเพิ่มอีก 2-3 ขวดด้วย” ไป๋เหรินชิงตอบ
“ยานั่นเป็นของจริง?”
พ่อค้าคนอื่นๆถึงกับจังงัง
แผงที่ตั้งขึ้นมาง่ายๆ แถมโอ้อวดแบบเลื่อนลอย…ขายของจริงหรือ?
“เขามาที่นี่เพื่อขายสินค้าของเขาไม่ใช่หรือไง? ทำไมถึงออกไปเร็วนัก?” ไป๋เหรินชิงถาม เธอรู้สึกได้ทันทีถึงความผิดปกติของทุกคนที่อยู่โดยรอบ จึงสำทับพร้อมกับขมวดคิ้ว “ฉันต้องการรู้ความจริงนะ พวกคุณคงรู้ดีว่าผลของการโกหกฉันคืออะไร”
“เอ่อ…เหตุผลที่เขามาขายยาที่นี่ก็เพื่อหาซื้อตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล แต่พวกเราคิดว่าเขาทำให้คุณขุ่นเคืองใจ จึงปฏิเสธที่จะขายตราสัญลักษณ์ให้เขาและเร่งให้เขารีบจากไป…”
“พวกคุณเร่งให้เขารีบจากไป?” ในที่สุดไป๋เหรินชิงก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของเธอเคร่งเครียดทันที “เขาเป็นผู้มีพระคุณของท่านปู่ของฉันนะ แต่พวกคุณกล้าขับไล่เขาออกไป ในเมื่อเป็นอย่างนั้น…”
พลั่ก!
สมญานามไดโนเสาร์ตัวเมียของไป๋เหรินชิงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทันทีที่เธอพบเรื่องที่ทำให้ขัดใจ ก็จะเปิดการโจมตีทันทีโดยไม่ลังเล…และการโจมตีของเธอก็ไร้ความปรานีด้วย
เพียงครู่เดียว พ่อค้าทุกคนที่อยู่ในตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในก็ลงไปกองอยู่กับพื้น ต่างคนต่างครวญครางด้วยความเจ็บปวด
ไป๋เหรินชิงยืนเท้าสะเอว เธอคำรามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ไปหาตัวเขาให้พบเดี๋ยวนี้! ถ้าพวกคุณหาเขาไม่พบภายในคืนนี้ล่ะก็ ฉันจะซ้อมพวกคุณอีกรอบ อย่าคิดวิ่งหนีล่ะ เพราะไม่มีประโยชน์ ถ้าฉันจับตาดูใครไว้ล่ะก็ ผู้นั้นไม่มีทางหนีไปจากฉันได้!”
“….” ฝูงชน
นี่มันบ้าอะไร! พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่ายาที่ขายในร้านเน่าๆแบบนั้นจะเป็นของจริง?
พวกเขาทำผิดอะไรถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้?
…..
ในตอนนั้น จางเซวียนก็กลับสู่ที่พัก
เขานำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่ได้จากเฉาเฉิงลี่ออกมาอันหนึ่งและหยดเลือดหยดหนึ่งลงไป จากนั้นก็เพ่งสมาธิเข้าไปในตราสัญลักษณ์อันนั้น
เพราะมีประสบการณ์ในการเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมาแล้ว การเคลื่อนไหวของจางเซวียนจึงรวดเร็วและราบรื่นกว่าเดิม
หอนิรันดร์ที่นี่ไม่เหมือนกับหอนิรันดร์ในเมืองแสงดาว ไม่มีคำแนะนำจากปรมาจารย์ขงเมื่อเขาเข้าสู่หอนิรันดร์ของสำนักดาบเมฆเหิน จางเซวียนรีบตรวจสอบสภาวะร่างกาย และพบว่าระดับวรยุทธของเขาคือนักปราชญ์โบราณขั้น 1
เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนโล่งอก เขาไม่สามารถทำตัวให้คุ้นชินกับการที่ถูกลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 1 เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในหอนิรันดร์ของเมืองแสงดาวได้ มีกระบวนท่ามากมายที่เขาไม่สามารถสำแดงออกไปเพราะขีดจำกัดของพละกำลังและความเร็ว จึงเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดไม่น้อย
เราจะเรียกตัวเองว่าเจ้าโลกไม่ได้แล้ว จางเซวียนคิด
เมื่อครั้งอยู่ที่หอนิรันดร์ในเมืองแสงดาว เขาตั้งสมญานามให้ตัวเองว่าเจ้าโลก และสู้กับหัวเจียงเหอและพรรคพวก จนตอนนี้ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นกับคนอื่นๆคิดว่าตั้นเฉี่ยวเทียนคือเจ้าโลก จึงย่อมผิดปกติแน่หากชื่อนั้นปรากฏในเวลานี้
หากเขากล้าซ้อมท่านเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสด้วยชื่อเจ้าโลก คนพวกนั้นคงมาเคาะประตูที่พักของเขาในทันที!
ในเมื่อเป็นแค่สมญานามที่ใช้ในหอนิรันดร์ ก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ทำไมไม่สุ่มเลือกมาสักชื่อหนึ่ง? จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตกลงใจใช้สมญานามที่เขาพอใจ
เอาชื่อนี้ก็แล้วกัน ‘ผมน่ะถ่อมตัว’!
พูดกันตามตรง เขาออกจะเสียใจที่เคยใช้สมญานามเจ้าโลก
เมื่อไรก็ตามที่มีใครเรียกเขาด้วยสมญานามนั้น เขารู้สึกเหมือนทั้งเส้นผมและเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว มันออกจะน่าขยะแขยงไม่เบา!
แต่สำหรับชื่อใหม่, ผมน่ะถ่อมตัว ถือว่าเหมาะสมกับบุคลิกและนิสัยถ่อมเนื้อถ่อมตัวของเขามาก
หลังจากเลือกสมญานามได้แล้ว จางเซวียนก็เดินตรงไป เห็นพระราชวังขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้า มีป้ายใหญ่โตแขวนอยู่ เขียนว่า ‘สำนักดาบเมฆเหิน : หอนิรันดร์’
จางเซวียนผลักประตูและเดินเข้าไป ภาพความวุ่นวายที่ปรากฏตรงหน้าเขาถือว่าน่าทึ่งไม่น้อย ฝูงชนมากมายเดินคลาคล่ำอยู่บนถนน แทบทุกคนมีดาบเหน็บหลัง เขารู้สึกได้ถึงเจตจำนงเพลงดาบที่อบอวลอยู่ในอากาศ