อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1991 ทดสอบความสามารถของเขา
“ฉันรู้ว่ามันอาจดูไม่น่าสนใจ แต่มันคือยาชนิดเดียวกันกับที่เคยรักษาท่านปู่ก่อนหน้านี้จริงๆ รีบดื่มเถอะ” ไป๋เหรินชิงเร่งพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ก่อนหน้านี้ เธอซื้อมันมาเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ซึ่งถ้าไม่หมดหวังขนาดนั้น ก็คงไม่มีวันเชื่อว่ายานี้จะรักษาอาการบาดเจ็บของท่านปู่ได้
“ปู่จะลองดู…” ผู้อาวุโสไป๋เย่พยักหน้าขณะเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยและดื่มยานั้น
ทันทีที่ยาไหลลงไปตามลำคอ เขารู้สึกได้ทันทีว่าอาการบาดเจ็บที่หมดหนทางเยียวยามานานทุเลาลงเล็กน้อย พลังงานที่เคยกัดกร่อนอวัยวะภายในของเขาอย่างไม่หยุดหย่อนดูจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
“เหลือเชื่อ…” ผู้อาวุโสไป๋เย่นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
เขารีบเปิดจุกขวดและดื่มยาอีก 2 ขวดที่เหลือลงไป
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ไป๋เหรินชิงถามด้วยความร้อนใจ
ฟึ่บ!
แทนการตอบคำถาม ผู้อาวุโสไป๋เย่กดฝ่ามือลงกับเตียงเบาๆ พริบตาต่อมา เขาก็ไปปรากฎตัวที่ลานบ้านพร้อมกับดาบในมือ
ควั่บ!
การเคลื่อนไหวของดาบนั้นดึงดูดพลังจิตวิญญาณจากโดยรอบให้มารวมตัวกันราวกับพายุใหญ่ดาบในมือของผู้อาวุโสไป๋เย่เคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลราวกับกระแสน้ำในแม่น้ำ เขาสำแดงกระบวนท่าออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีร่องรอยของชายชรากระเสาะกระแสะที่ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียงหลงเหลืออยู่เลย!
เห็นท่านปู่ไปปรากฏตัวที่ลานบ้านเพื่อฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ ไป๋เหรินชิงนัยน์ตาแดงก่ำ
“ท่านปู่ คุณหายดีแล้วหรือ?”
ทันทีที่ผู้อาวุโสไป๋เย่หยุดการสำแดงศิลปะเพลงดาบ เขาก็หันมามองหลานสาวและตอบด้วยน้ำเสียงที่ปิดบังความลิงโลดไว้ไม่มิด “ปู่ยังไม่ฟื้นตัวดี แต่พลังทำลายล้างที่ปู่กำจัดมันออกไปไม่ได้ก่อนหน้านี้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ขอแค่เยียวยาและบ่มเพาะร่างกายให้ดี ก็น่าจะฟื้นคืนพละกำลังดังเดิมได้ภายใน 1 เดือน!”
การต้องนอนติดเตียงทำให้เขาถอดใจต่อโชคชะตา เขาสิ้นหวังและคิดว่าคงต้องจบชีวิตในสภาพนี้ ไม่นึกเลยว่ายาที่ดูแสนจะธรรมดาจะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นได้
“ยินดีด้วย ท่านปู่!” ไป๋เหรินชิงร้องออกมา
ผู้อาวุโสไป๋เย่ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอีกครู่หนึ่งจนรู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณและพละกำลังกลับคืนสู่ร่างกาย ครู่ต่อมา เขาก็หันมาพูดกับไป่เหรินชิง “ผู้ที่ขายยานี้ให้เจ้าคือผู้มีพระคุณของปู่ ตอนนี้เขาอยู่ไหน? ปู่อยากพบเขา!”
“เขาเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่ง เมื่อครู่นี้ฉันเพิ่งพาเขาไปที่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด” ไป๋เหรินชิงตอบ
“หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด?”
รู้ดีว่าท่านปู่กำลังสงสัย ไป๋เหรินชิงรีบเล่าเรื่องการเจรจาระหว่างจางเซวียนกับตัวเธอที่เพิ่งเกิดขึ้น
“ทั้งที่มียาที่มีอานุภาพทรงพลังขนาดนั้น แต่ทั้งหมดที่เขาต้องการเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนก็คือการได้เข้าสู่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด?” ผู้อาวุโสไป๋แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ใช่” ไป๋เหรินชิงพยักหน้า
เธอเองก็ประหลาดใจกับคำขอของจางเซวียน
เขามีโอกาสที่จะขอคำชี้แนะเรื่องวรยุทธและยกระดับพละกำลังของตัวเองได้ แต่กลับทิ้งโอกาสนั้น
หลังจากตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อ ผู้อาวุโสไป๋เย่พยักหน้า “ไปที่หอสมุดเพื่อไปดูกันเถอะ แต่รอเดี๋ยว…อาเฟิง!”
“ขอรับ นายท่าน!” ไป๋เฟิงรีบเดินเข้ามา
“ผมมียาเม็ดแปลงร่างอยู่เม็ดหนึ่ง เมื่อกินเข้าไปแล้ว คุณจะปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของคุณได้เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ลดระดับวรยุทธของคุณลงให้เท่ากับสหายรุ่นเยาว์คนนั้นและพยายามหาโอกาสทดสอบความสามารถของเขาให้ได้!” ผู้อาวุโสไป๋ยื่นขวดหยกใบหนึ่งให้ไป๋เฟิง
“ทดสอบความสามารถของเขา?” ไป๋เฟิงรับยา เขาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจขณะตั้งคำถาม “นายท่าน คุณตั้งใจจะรับเขาเป็นลูกศิษย์หรือ?”
ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน ผู้อาวุโสไป๋เย่ไม่น่าจะทดสอบความสามารถของศิษย์สายตรงสักคนโดยปราศจากเหตุผล แถมยังมีข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณต่ออีกฝ่ายด้วย
เหตุผลเดียวที่ผู้อาวุโสไป๋เย่จะทำแบบนี้ก็เพราะตั้งใจจะรับชายผู้นั้นเป็นลูกศิษย์!
“เขารู้อยู่แก่ใจว่าเหรินชิงต้องการยานี้มาก แต่ก็ไม่ฉวยโอกาสร้องขอสิ่งล้ำค่า จากเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าชายผู้นั้นเป็นคนยึดมั่นในหลักการ แถมเขายังช่วยชีวิตผมด้วย หากผมเพิกเฉยละเลยเขา นั่นจะไม่หมายความว่าชีวิตของผมไร้ค่าหรือ?” ผู้อาวุโสไป๋เย่เอาสองมือไพล่หลังขณะพูดด้วยทีท่าสุขุมลุ่มลึก
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสใหญ่ของสำนัก เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทวีปที่ถูกลืม
เขาจะปล่อยให้ผู้มีพระคุณของเขาเดินจากไปโดยไม่ทำอะไรเป็นการตอบแทนเลยไม่ได้!
“ผมเข้าใจถึงความตั้งใจของคุณ นายท่าน” ไป๋เฟิงยิ้ม “แม้แต่ผู้ที่มีอิทธิพลและความแข็งแกร่งระดับเดียวกันกับคุณก็ยังเอาชนะอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายไม่ได้ ถ้าใครต่อใครรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มีบางสิ่งที่รักษาอาการบาดเจ็บนั้นได้ล่ะก็ อาจส่งผลให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับเขา ต่อให้เขาจะไม่มียาเหลืออยู่กับตัวอีกแล้วก็ตาม…คุณเกรงว่าเขาอาจต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆเพราะสิ่งนี้ จึงอยากรับเขาเป็นลูกศิษย์ พูดง่ายๆก็คือนี่เป็นวิธีการที่คุณใช้ปกป้องเขา”
ทรัพย์สมบัติมากมายนับไม่ถ้วนถูกซุกซ่อนไว้ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ทำให้เป็นดินแดนที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญพากันหมายตา แต่อันตรายต่างๆนานาที่อยู่ที่นั่นก็เป็นของจริง ในบรรดานักรบที่เข้าไปในนั้น มีเพียงไม่ถึงหนึ่งในร้อยคนที่กลับออกมาได้ และผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสชนิดที่ไม่มีทางรักษา ลงท้ายก็ต้องเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ
ผู้มีปัญญาจำนวนมากมายพยายามหาทางเอาชนะอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายนั้น แต่ก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายาที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายจะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตได้อีกมาก ด้วยเหตุนี้ หากใครต่อใครรู้ว่าชายหนุ่มมียาแบบนี้อยู่กับตัว เขาจะต้องตกเป็นเป้าสายตาของนักรบมากมาย ชีวิตของเขาจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง
ด้วยการรับชายหนุ่มผู้นี้เป็นศิษย์ ต่อให้มีใครอยากแตะต้องเขา ผู้นั้นก็จะต้องใคร่ครวญให้ดีว่าอยากมีปัญหากับผู้อาวุโสไป๋เย่หรือไม่ สถานภาพนี้จะช่วยคุ้มกันชายหนุ่มจากภัยอันตรายต่างๆได้
ผู้อาวุโสไป๋เย่สูดหายใจลึก “สำนักดาบเมฆเหินอาจเป็นสถานที่ปลอดภัย แต่ความละโมบโลภมากของมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะประมาทได้ ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่า นี่คือวิถีทางของผมในการตอบแทนบุญคุณของชายหนุ่มคนนั้น พร้อมกับปกป้องเขาจากภัยอันตรายต่างๆในโลกใบนี้ด้วย แต่ก็แน่นอนว่าผมมีความคาดหวังในตัวลูกศิษย์ตามแบบของผมเช่นกัน ถ้าความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเขาอ่อนด้อยเกินไป ผมก็คงต้องตอบแทนบุญคุณของเขาด้วยวิธีการอื่น”
“ผมเข้าใจแล้ว จะไปจัดการให้” ไป๋เฟิงพยักหน้าก่อนจะออกจากห้อง
“ท่านปู่ คุณตั้งใจจะรับเขาเป็นลูกศิษย์จริงๆใช่ไหม?” ไป๋เหรินชิงตั้งคำถามด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความขัดแย้งในใจ “นั่นจะไม่หมายความว่า…ฉันจะอ่อนอาวุโสกว่าเขารุ่นหนึ่งหรือ?”
“ปู่ไม่เคยรับลูกศิษย์มาก่อน รอดูก็แล้วกันว่าเขาจะผ่านการทดสอบของไป๋เฟิงได้ไหม ถึงตอนนั้นแล้วค่อยคุยกัน” ผู้อาวุโสไป๋เย่หัวเราะหึๆขณะลูบศีรษะของหลานสาว “ถ้าเขาทำได้ เขาก็จะเป็นอาจารย์ลุงของเจ้า เจ้าต้องเรียกเขาแบบนั้น เข้าใจไหม? ปู่น่ะรับรู้วีรกรรมมากมายที่เจ้าทำไว้ในสำนัก และพยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่มาตลอด!”
“อาจารย์ลุง…” ไป๋เหรินชิงสำลัก
เมื่อครู่นี้เองที่เธอยังรู้สึกว่าทีท่าที่ดูซื่อๆของอีกฝ่ายพอจะเข้าตา แต่การได้รู้ว่าชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอกำลังจะกลายเป็นอาจารย์ลุงของเธอนั้นทำให้โมโหเดือด
ไป๋เหรินชิงนัยน์ตาเป็นประกายวาบขณะรีบตอบ “ในเมื่อท่านปู่หายดีแล้ว ฉันจะไปฝึกฝนวรยุทธต่อนะ”
“ไปเถอะ!” ผู้อาวุโสไป๋ตอบพร้อมกับโบกมือ
ขณะที่ไป๋เหรินชิงออกจากห้อง ผู้อาวุโสไป๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะส่ายหัว เขาจะมองเจตนาของหลานสาวไม่ออกได้อย่างไร?
เขารู้จักเธอดี ต่อให้คราวนี้เขายับยั้งเธอไว้ได้ เธอก็จะต้องหาหนทางอื่นในการสร้างความวุ่นวายให้เจ้าหนุ่มคนนั้นอยู่ดี ผู้อาวุโสไป๋เย่ได้แต่หวังว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะมีวิธีรับมือกับหลานสาวของเขา
ส่วนไป๋เหรินชิง เมื่อกลับถึงที่พักของเธอ สีหน้าว่านอนสอนง่ายเมื่อครู่ก็หายวับไปทันที เธอคำราม “อย่างน้อยที่สุดฉันก็จะต้องสั่งสอนบทเรียนให้หมอนั่น หรือไม่อย่างนั้น ก็เรียกเขาว่าอาจารย์ลุงต่อหน้าท่านปู่ก็พอ แต่ถ้าเป็นที่อื่นล่ะก็ เขาจะต้องเรียกฉันว่าศิษย์พี่!”
ด้วยชื่อเสียงกระฉ่อนในฐานะไดโนเสาร์ตัวเมีย ไม่เคยสักครั้งที่เธอจะถูกใครเอาเปรียบ เธอไม่อาจปล่อยให้ตัวเองเรียกผู้ที่อ่อนแอกว่าและอายุน้อยกว่าว่าอาจารย์ลุงได้
ไม่ว่าหมอนั่นจะเป็นใคร เธอจะต้องทำให้เขาจำใส่กะโหลกให้ขึ้นใจว่าเขากับเธออยู่คนละชั้นกัน!
ในเมื่อท่านปู่กำลังจะทดสอบเจ้าหนุ่มคนนั้น เธอก็จะต้องเป็นด่านแรก
ไป๋เหรินชิงขึ้นขี่อสูร มุ่งหน้าไปยังหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ด้วยความเส้นใหญ่ของเธอ แม้จะไม่มีตราสัญลักษณ์ ก็เข้าไปที่นั่นได้
“เขาบอกว่าจะมาอ่านหนังสือที่นี่ไม่ใช่หรือ?”
ทั่วทั้งหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดเงียบกริบอย่างน่าประหลาด ราวกับไม่มีใครอยู่เลย แม้แต่เสียงพลิกหน้าหนังสือ เสียงหยิบหนังสือเข้าออก หรือแม้แต่เสียงสะบัดปลายพู่กันก็ไม่มีให้ได้ยิน
ไป๋เหรินชิงเดินต่อไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพบผู้ที่เธอกำลังตามหาเดินอยู่ระหว่างทางเดินและชำเลืองมองหนังสือโดยรอบขณะที่เดินผ่านไป ที่แปลกประหลาดพิสดารก็คือเขายืนอยู่ตรงกึ่งกลางทางเดินระหว่างชั้นหนังสือพอดี ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่อาจเอื้อมมือไปแตะหนังสือที่อยู่ทั้งสองฟากของตัวเองได้ ทำให้ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะหยิบหนังสือเล่มไหนบนชั้น
ด้วยความงุนงง ไป๋เหรินชิงตามเขาไปอีกครู่หนึ่ง แต่ก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ ชายหนุ่มแค่เดินจากทางเดินเส้นหนึ่งไปยังอีกเส้นหนึ่งโดยไม่หยิบหนังสือเล่มไหนทั้งนั้น
สุดท้ายไป๋เหรินชิงก็เข้าถึงตัวอีกฝ่ายและตั้งคำถาม “คุณทำอะไรอยู่น่ะ?”
“อ้อ คุณอยู่นี่เอง…” เมื่อเห็นว่าเป็นไป๋เหรินชิง จางเซวียนชี้ไปที่ชั้นหนังสือและตอบยิ้มๆ “ผมก็กำลังหาหนังสือที่ผมต้องการอยู่”
พูดกันตามตรง แม้แต่จางเซวียนก็รู้สึกทึ่งกับปริมาณหนังสือที่มีอยู่ในหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด เพราะแม้เวลาจะผ่านไประยะหนึ่งแล้ว เขาก็ยังถ่ายโอนหนังสือที่อยู่ในนี้ได้ไม่ถึงครึ่ง
ดูเหมือนเขาต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงเต็มในการทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้น