อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2000 เดิมพันในการต่อสู้
เมื่อไปถึง ก็รีบปลอมตัวจนคนนอกไม่อาจรู้ได้ว่าทั้งคู่เป็นใคร
ในตอนนี้ สังเวียนประลองย้ายพื้นที่จากห้องส่วนตัวมาเป็นสังเวียนสาธารณะแล้ว ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดจำนวนมากได้ข่าวเรื่องการประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของไป๋เหรินชิง จึงมาออกันอยู่รอบสังเวียนประลองมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มีอยู่หลายสิบคน ชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขาออกจะไม่คุ้นหู ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะแต่ละคนใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล จึงบอกไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
บนสังเวียนประลอง ไป๋เหรินชิงกำลังปะทะกับศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้รั้งอันดับ 5 ที่ชื่อโม่เชียงอวิ๋น
ก็ตามชื่อของเธอ โม่เชียงอวิ๋นเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดที่เป็นผู้หญิง แต่ไม่เหมือนกับไป๋เหรินชิง เธอมีร่างกายที่ใหญ่โตและสูงตระหง่านกว่าชายทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่พยายามปรับปรุงรูปร่างหน้าตาให้ดูเรียบร้อย ทำให้รูปลักษณ์ของเธอออกจะไม่น่าดูอยู่บ่อยครั้ง
ถ้าไม่ได้ยินชื่อของเธอ ก็อาจเข้าใจผิดว่าเธอเป็นชาย
เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่รูปลักษณ์ของเธอเท่านั้น แต่รวมถึงศิลปะเพลงดาบด้วย แทนที่จะใช้ศิลปะเพลงดาบอันสง่างามและละเอียดอ่อนตามแบบของนักดาบหญิงทั่วไป ศิลปะเพลงดาบของเธอกลับดุดันและแข็งทื่อราวกับขวาน
“เริ่มกันเถอะ”
ทันทีที่ทั้งคู่เข้าประจำตำแหน่ง โม่เชียงอวิ๋นก็ไม่ยอมเสียเวลาพูดจา เธอพุ่งเข้าใส่ไป๋เหรินชิงอย่างไม่ลังเลราวกับแทงค์น้ำอันใหญ่ขณะกวัดแกว่งดาบอย่างแรง
ดาบของเธอแตกต่างจากนักดาบทั่วไป มันใหญ่โตจนน่าสะพรึง มีความยาวราว 7 สือ เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องในทุกการเคลื่อนไหว ทำให้ผู้ชมไม่สงสัยเลยว่ามันจะต้องเล่นงานทุกสิ่งที่ขวางทาง
(1 สือ = 2.33 เมตร)
ไป๋เหรินชิงรู้ดีเกินกว่าจะปะทะกับโม่เชียงอวิ๋นตรงๆ เธอปัดป้องการโจมตีครั้งแรกของโม่เชียงอวิ๋นโดยใช้การฟาดฟันในแนวราบ ก่อนจะสะบัดดาบอย่างมั่นอกมั่นใจ
เธอฝากความหวังทั้งหมดไว้กับการโยนดาบ
มันคือหนึ่งในสองกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดที่เธอมี ไป๋เหรินชิงรู้ดีว่าศิลปะเพลงดาบอื่นๆของเธอย่อมใช้การไม่ได้กับศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด 5 อันดับแรก หากใช้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะเล่นงานจุดอ่อนในศิลปะเพลงดาบของเธอเพื่อทำให้เธอจนมุม ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้ไม้ตายตั้งแต่ต้น
“ฮ่า กระบวนท่านั้นน่ะใช้การกับฉันไม่ได้หรอก!” โม่เชียงอวิ๋นพูดขณะตวัดดาบขึ้นไปเป็นแนวดิ่ง
การโจมตีของไป๋เหรินชิงถูกปัดป้องออกไป
ไป๋เหรินชิงล่าถอยด้วยความประหลาดใจ
สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ 5 อันดับแรก แต่ละคนมีไม้ตายของตัวเอง เธอไม่อาจคาดหวังว่าจะเอาชนะพวกเขาได้เพียงแค่เรียนรู้เทคนิคขั้นพื้นฐานของอาจารย์ลุงจาง
แถมอีกฝ่ายก็ได้เฝ้าดูการดวลที่ผ่านมาของเธอแล้ว และรู้ดีว่าเธอมีความเชี่ยวชาญอยู่เพียงแค่ 2 กระบวนท่า จึงเป็นธรรมดาที่จะใช้มาตรการปัดป้องได้อย่างง่ายดาย
“ถ้าคุณกล้าพอล่ะก็ ทำไมไม่รออยู่ที่นี่สักครู่ ฉันจะรีบกลับมาสู้กับคุณทันที ขอเวลาครู่เดียว!”
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเอาชนะโม่เชียงอวิ๋นได้ด้วยสองกระบวนท่าที่มี ไป๋เหรินชิงตัดสินใจใช้วิธีล่าถอย
“ตามสบาย ฉันพร้อมเสมอแหละ!” โม่เชียงอวิ๋นคำรามพร้อมกับหัวเราะออกมา
เธอรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และรู้ดีว่าไป๋เหรินชิงไม่ได้ล้อเล่น เธออยากรู้เหมือนกันว่าไป๋เหรินชิงจะทำอะไรได้ภายในเวลาเพียง 2-3 นาที
ไป๋เหรินชิงประสานมือให้โม่เชียงอวิ๋นก่อนจะสลายตัว ครู่ต่อมาก็กลับมาที่บ้านพักของจางเซวียน
“ศิษย์น้องเฉี่ยวเทียน ช่วยสอนฉันอีกสัก 2 กระบวนท่าเถอะ!” ไป๋เหรินชิงตะโกนขณะวิ่งออกจากห้องของเธอ แต่พริบตาต่อมา ก็เห็นร่างหนึ่งที่ทำให้หน้าถอดสีทันทีด้วยความอับอาย “อาจารย์ลุงจาง!”
ร่างนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน!
หลังจากยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ได้ ในที่สุดจางเซวียนก็ออกจากการปลีกวิเวก
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมาอยู่ในบ้านของเขา? แถมยังเรียกร้องให้ตั้นเฉี่ยวเทียนถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบให้เธอด้วย?
“อาจารย์ลุงจาง ฉันกำลังใช้ศิลปะเพลงดาบของคุณท้าทายนักรบคนอื่นๆในหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด…” ไป๋เหรินชิงซิ่งหน้าแดงก่ำ เธอรีบอธิบายรายละเอียดให้จางเซวียนฟัง
หลังจากได้รู้เรื่องราวทั้งหมด คำถามแรกที่จางเซวียนถามก็คือ
“คุณวางเดิมพันในการต่อสู้หรือเปล่า?”
“เอ่อ ฉันเปล่า…” ไป๋เหรินชิงประหลาดใจกับคำถามปุบปับนั้น แต่ก็รีบส่ายหน้า
ฉันกำลังใช้ศิลปะเพลงดาบที่คุณถ่ายทอดให้มาต่อสู้กับคนอื่นๆ…แต่คุณถามว่าฉันได้วางเดิมพันในการต่อสู้หรือเปล่า?
เธอไม่เข้าใจว่าจางเซวียนกำลังคิดอะไร
“ถ้าไม่มีเดิมพัน จะสู้ไปเพื่ออะไร?” จางเซวียนออกอาการเซ็งสุดขีดกับความโง่เง่าของไป๋เหรินชิง
เขาเคยคิดว่าจะหาโอกาสลอบเข้าสู่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดเพื่อเปิดการสังหารอีกสักชุด เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่ไร้เดียงสาจนกระทั่งจะคิดว่าเหรียญสำนักดาบทั้งหมดที่เขาได้มาจะเพียงพอต่อการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูง
แต่ใครจะไปคิดว่าแม่สาวคนนี้จะทำเรื่องไร้สาระอย่างการต่อสู้โดยไม่ได้อะไรตอบแทน?
คุณทำการกุศลอยู่หรือไง? มีเวลาเหลือเฟือมากพอจะทำอะไรไร้สาระแบบนี้หรือ?
“….” เห็นอาการเซ็งเป็ดของจางเซวียน ไป๋เหรินชิงอับจนถ้อยคำ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอเคยคิดว่าผมน่ะถ่อมตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้เก็บเนื้อเก็บตัวและไม่แยแสชื่อเสียงหรือความรุ่งโรจน์…แต่กลับกลายเป็นว่าเขาหมกมุ่นอยู่กับการหาเงินจนไม่สนใจเรื่องอื่น!
เหตุผลที่ฉันท้าทายพวกนั้นก็เพื่อพิสูจน์ศิลปะเพลงดาบของฉันเอง แต่แล้วคุณก็กลับทำเหมือนกับว่าฉันโง่เง่าที่ยอมพลาดโอกาสงามในการฉกฉวยเงินของพวกเขา
ตัวฉัน, หลานสาวของ 1 ใน 3 ผู้อาวุโสใหญ่…จำเป็นต้องปล้นเงินของคนอื่นด้วยหรือ?
จางเซวียนไม่รู้ว่าภาพลักษณ์อันสวยหรูของตัวเองแตกสลายไปหมดแล้ว เขาถามไป๋เหรินชิง “คุณยังมีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดเหลือหรือเปล่า? เอามาให้ผมอันหนึ่ง ผมจะเข้าไปท้าทายพวกนั้น บรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดน่าจะร่ำรวยไม่เบานี่ ถูกไหม?”
เขารู้สึกว่าควรหาข้อมูลเรื่องต่างๆให้แน่ใจ เพื่อจะได้ไม่ต้องผิดหวังกับผลที่เกิดขึ้นภายหลัง
“อะ-เอ่อ…ฉันคิดว่ามี” ไป๋เหรินชิงได้แต่ยกมือปิดหน้า
จะว่าไป ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดส่วนใหญ่ในสำนักดาบเมฆเหินก็ล้วนแต่มั่งคั่ง เพราะแม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะ ไม่มีทางที่ศิษย์สายตรงฝ่ายในจะร่ำรวยเทียบชั้นกับพวกเขาได้เลย
“ดี ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของผมอยู่ไหน?” จางเซวียนยื่นมือออกมา
“ขนาดศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นนักรบเสมือนอมตะระดับล่าง พูดอีกอย่างก็คือ มีข้อกำหนดเข้มงวดว่าเฉพาะผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นเสมือนอมตะขึ้นไปเท่านั้นถึงจะเข้าสู่หอนิรันดร์ได้ กฏนี้ตั้งขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีศิษย์สายตรงฝ่ายในคนไหนลักลอบเข้าไปที่นั่น” ไป๋เหรินชิงตอบอย่างลังเล
ตอนที่เธอสู้กับจางเซวียนเมื่อ 4 ชั่วโมงก่อน อีกฝ่ายเป็นแค่นักรบผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าระดับวรยุทธของเขายังไม่สูงพอที่จะเข้าสู่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด!
“เรื่องนั้นน่ะไม่ใช่ปัญหาแล้ว ผมเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จเมื่อเร็วๆนี้” จางเซวียนพูดขณะแผ่รังสีของเขาออกมา
“เสมือนอมตะสรวงสวรรค์?” ไป๋เหรินชิงแทบลมจับ
เธอแน่ใจเหลือเกินว่าอีกฝ่ายเป็นแค่นักรบผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกเมื่อตอนที่เธอสู้กับเขา แต่เพียง 4 ชั่วโมงผ่านไป เขาก็ยกระดับวรยุทธได้ถึง 1 ขั้นใหญ่เต็มๆ…บ้าบออะไรอย่างนี้!
ต่อให้ยาเม็ดก็ยังยกระดับวรยุทธอย่างรวดเร็วแบบนี้ไม่ได้!
“น่าทึ่งจริงๆ!” เฉาเฉิงลี่พึมพำ นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ตั้นเฉี่ยวเทียนก็กำหมัดแน่น
พวกเขารู้ดีว่าจางเซวียนทรงพลังมาก แต่ไม่คิดว่าจะไร้เทียมทานขนาดนี้!
“ด้วยพละกำลังและศิลปะเพลงดาบอันเหนือชั้นของนายน้อย เขาน่าจะเอาชนะผมน่ะถ่อมตัวได้สบาย!” เฉาเฉิงลี่อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
2-3 ชั่วโมงก่อน เขาฟังจนหูชาถึงสิ่งที่คนอื่นๆพูดกันว่าผมน่ะถ่อมตัวทรงพลังแค่ไหน แต่ไม่ว่าหมอนั่นจะแข็งแกร่งอย่างไร ก็จะแข็งแกร่งกว่านายน้อยของเขาหรือ?
ดูวิธีการที่นายน้อยยกระดับวรยุทธจากผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกมาเป็นนักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ได้ภายในวันเดียวสิ มีใครในสำนักดาบเมฆเหินทำได้แบบนี้หรือเปล่า?
พลั่ก!
แต่ทันทีที่เฉาเฉิงลี่พูดจบ ก็เจ็บแปลบที่ท้ายทอยขึ้นมาทันที เขาหันไปมองรอบๆอย่างหงุดหงิด เห็นนายน้อยกำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เมื่อครู่นี้ผมเห็นคุณใช้เท้าขวาก้าวเข้าบ้านพัก คุณฝ่าฝืนกฎของผม สมควรถูกลงโทษ!”
“แต่คุณสั่งไว้ว่าไม่ให้ใช้ขาซ้ายนี่นา แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะเข้าบ้านพักได้อย่างไร?” เฉาเฉิงลี่แทบปล่อยโฮ
ดูเหมือนไม่เคยมีคำตอบที่ถูกต้องเลย!
“ไปได้แล้ว!” จางเซวียนไม่แยแสจอมโจรผู้บ้ากามและหน้าหนา เขาเดินกลับเข้าห้องไปพร้อมกับไป๋เหรินชิง ด้วยการกระดิกนิ้วครั้งหนึ่ง เขาหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนตราหยก
สติสัมปชัญญะของเขาเลือนหายไปจากโลกของความเป็นจริง ครู่ต่อมา จางเซวียนก็มายืนอยู่ในหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด
เราสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ไปแล้วด้วยสมญานามผมน่ะถ่อมตัว ทางสำนักดาบเมฆเหินจะต้องจับตาดูชื่อนั้นอย่างใกล้ชิดแน่ เราไม่ควรใช้มันอีก
จางเซวียนครุ่นคิดหนัก
ในเมื่อเหล่าผู้อาวุโสฝ่ายในกำลังจับตามองเขา เขาก็ใช้ชื่อเดิมไม่ได้ จำเป็นจะต้องหาสมญานามใหม่ที่เหมาะสม
การหาชื่อเหมาะๆช่างยากเหลือเกิน ในเมื่อเราใช้คำว่าถ่อมตัวไม่ได้ ก็ควรจะหาจุดแข็งจุดอื่นๆของเรามาใช้แทน…จางเซวียนใคร่ครวญครู่หนึ่งขณะพยักหน้าอย่างมั่นใจ เราคิดว่าเราควรเรียกตัวเองว่าผมน่ะหล่อมาก…อาจดูไม่ถ่อมตัวเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นความจริง!
เขาอดพออกพอใจไม่ได้กับสมญานามที่คิดขึ้นใหม่
แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีชื่อไหนจะเทียบชั้นกับชื่อผมน่ะถ่อมตัวได้ มันคือชื่อที่บ่งบอกแนวคิดและความฝันของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ผมน่ะหล่อมากก็แสดงออกถึงบุคลิกของเขาได้เช่นกัน จึงถือว่าพอรับได้
ส่วนไป๋เหรินชิง เมื่อเห็นสมญานามที่อาจารย์ลุงของเธอนำมาใช้ ก็ได้แต่ยกมือขึ้นปิดหน้า ซึ่งเป็นที่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวันนั้น
พี่ชาย…คุณจะช่วยใช้ชื่อที่มันน่าฟังและดูนอบน้อมกว่านี้สักหน่อยได้ไหม?
ไป๋เหรินชิงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนและทำอะไรไม่ถูก เธอมุ่งหน้าไปยังสังเวียนประลองพร้อมกับผมนะหล่อมาก
ขณะที่เดินไป ไป๋เหรินชิงส่งโทรจิตหาจางเซวียน “ฉันกำลังสู้กับโม่เชียงอวิ๋น แต่สู้เธอไม่ได้ ฉันควรทำอย่างไรดี?”
เธอกลับมาหลังจากที่ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย จึงไม่มีทางที่ผลการดวลจะแตกต่างไปจากครั้ง