อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2012 นั่นคือปรมาจารย์ขง?
เหล่าทายาทของสิ่งมีชีวิตที่นี่ต่างพากเพียรฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน หวังจะล้างมลทินให้บรรพบุรุษของพวกเขาและกลับสู่สรวงสวรรค์ซึ่งเป็นโลกที่เหล่าเทพเจ้าอาศัยอยู่อีกครั้ง
ความหวังของพวกเขาขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าสะพานเบื้องบน มันเป็นเส้นทางเดียวที่นำไปสู่สรวงสวรรค์ แต่จะถูกเชื่อมต่อได้เพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ 100 ปีเท่านั้น แถมหอเทพเจ้ายังตั้งอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของสะพานด้วย
ที่หอเทพเจ้าแห่งนั้น มีเหล่าองครักษ์ที่คอยกีดกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตจากมิติเบื้องบนผ่านเข้าไป
หัวหน้าขงและผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาจากที่นั่น
“หอเทพเจ้าปิดกั้นโลกใบนี้ไว้ กีดกันไม่ให้พวกเราคนไหนกลายเป็นเทพเจ้าตัวจริงได้ ยิ่งกว่านั้น หากใครอาจหาญก้าวล่วงความลับของเหล่าเทพเจ้า หอเทพเจ้าจะตามล่าและเล่นงานผู้นั้นทันที อันที่จริง…”
ถึงตอนนี้ หานเจี้ยนชิวลดเสียงลงราวกับกลัวว่าจะมีใครได้ยิน เขาพูดต่อ “สำหรับคนอย่างคุณที่ทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็จะเป็นที่หวาดกลัวในสายตาของเทพเจ้า หากพวกเขารู้ว่ามีคุณอยู่ อาจเป็นการผลักดันยั่วยุให้เกิดการบุกเข้าโจมตีก็ได้…”
จางเซวียนประหลาดใจกับการเปิดเผยข้อมูลนั้น เขาตั้งคำถาม “ทำไมล่ะ?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน บางที…อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากเห็นใครตั้งคำถามหรือเกิดความสงสัยในอำนาจของสวรรค์ เพราะผู้ใดก็ตามที่ทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ในท้ายที่สุดก็จะมีพละกำลังมากพอที่จะท้าทายพวกเขา เหล่าเทพเจ้าไม่อยากเห็นเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ อยู่ให้ห่างจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าเอาไว้จึงดีที่สุด” หานเจี้ยนชิวพูด
“เพราะฉะนั้น ผมหวังว่าคุณจะหลีกเลี่ยงการทำตัวเป็นจุดสนใจของหอเทพเจ้า จนกว่าคุณจะมีพละกำลังแข็งแกร่งพอที่จะเทียบชั้นกับพวกเขา จะดีที่สุดหากจะปิดบังให้แนบเนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้ไม่ให้ใครๆรู้ตัวตนของคุณ!”
จางเซวียนหลับตาครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ผมจะระมัดระวังคำพูด”
“ไม่ใช่แค่คำพูดของคุณเท่านั้นนะ อย่าเปิดเผยพละกำลังของตัวเองง่ายๆ การโอ้อวดตัวเองเกินไปจะย้อนกลับมาฆ่าคุณเอง!” หานเจี้ยนชิวพูดต่อ
“ไม่ต้องห่วง นิสัยของผมคือถ่อมเนื้อถ่อมตัวอยู่แล้ว” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ
“…แค่ก แค่ก!”
เห็นจางเซวียนไม่รู้เนื้อรู้ตัวเอาเสียเลย หานเจี้ยนชิวหน้าแดงก่ำและไม่รู้จะโต้ตอบคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไร
เพียงวันเดียว จางเซวียนคนนี้ก็ทำให้ประตูขุนเขาพังทลาย จากนั้นก็ท้าทายบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในและศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดในสำนัก และไม่นานหลังจากนั้นก็บุกสภาผู้อาวุโส เอาชนะเจ้าสำนักกับสี่ผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดได้
เขาไปไกลเกินกว่าที่คนธรรมดาสามัญคนหนึ่งจะทำได้ในเวลาชั่วชีวิตด้วยซ้ำ แต่ยังมีหน้าพูดว่าตัวเองเป็นคนถ่อมเนื้อถ่อมตัว?
ทำไปได้!
รู้ดีว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาอาจโมโหจนลมจับแน่ หานเจี้ยนชิวนำตราสัญลักษณ์อันหนึ่งออกมายื่นให้ “หัวหน้าขงจากหอนิรันดร์รู้ว่าคุณทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ จึงขอร้องให้ผมช่วยมอบตราสัญลักษณ์นี้ให้คุณ ด้วยตราสัญลักษณ์นี้ คุณจะมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรทุกรูปแบบในหอนิรันดร์ตามแต่คุณจะต้องการ คุณจะยกระดับวรยุทธได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย!”
“หัวหน้าขงให้มาหรือ?” จางเซวียนตัวแข็งไปเล็กน้อย เขาอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “นั่นคือปรมาจารย์ขง? เขายังอยู่ใน…ทวีปที่ถูกลืม?”
อายุขัยของนักรบขั้นเสมือนอมตะคนหนึ่งยาวนานเพียง 300 ปีเท่านั้น และแม้แต่ผู้ที่สำเร็จวรยุทธเป็นนักรบอมตะขั้นสูงหรือนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ได้มีอายุขัยยาวนานกว่านั้นเท่าไหร่
ปรมาจารย์ขงจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน ซึ่งหากใช้อัตราส่วน 1:10 ก็หมายความว่าเขาอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้วเป็นอย่างน้อย เป็นไปได้หรือที่เขาจะยังมีชีวิตอยู่?
“ปรมาจารย์ขง? ใช่…สมัยก่อนใครๆก็เรียกเขาแบบนั้น” หานเจี้ยนชิวหัวเราะหึๆ “แน่นอนว่าตอนนี้เขาอยู่ในทวีปที่ถูกลืม ส่วนจะพำนักอยู่ที่ไหนนั้น…ผมเกรงว่าผมไม่รู้ ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา เขาตระเวนร่อนเร่ไปทั่วทั้งดินแดน ไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครเห็น เพียงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ที่เขาเริ่มปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีกครั้ง ซึ่งในตอนนั้นเองที่ใครๆก็เพิ่งรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่”
“เอ่อ…” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น
เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีที่สุดที่เขาได้รับในวันนี้! ถ้าปรมาจารย์ขงยังมีชีวิตอยู่ในมิติเบื้องบน ไม่ช้าไม่นานพวกเขาก็คงได้พบกัน
จางเซวียนรับตราสัญลักษณ์จากหานเจี้ยนชิว เขาแตะมันเบาๆ รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย
“เป็นเขาจริงๆ…” จางเซวียนตัวสั่นเล็กน้อย
หากเขาเคยสงสัยว่าหัวหน้าขงคือปรมาจารย์ขงหรือไม่ ในวินาทีที่เขาได้สัมผัสตราสัญลักษณ์ ก็รู้เลยว่าเป็นตามนั้นจริงๆ
ในฐานะปรมาจารย์ฟ้าประทานผู้มีต้นกำเนิดจากทวีปแห่งปรมาจารย์ มีสายสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ผูกพันระหว่างทั้งคู่
“หัวหน้าขงใจกว้างเสมอกับผู้ที่มีความปราดเปรื่องเหนือชั้น และในฐานะเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน ผมคงเสียหน้าแน่หากไม่มอบอะไรให้คุณบ้าง” หานเจี้ยนชิวหัวเราะหึๆ
เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำดาบออกมาเล่มหนึ่ง “นี่คือดาบที่เรียกว่าถงซัง แม้จะเทียบชั้นไม่ได้กับหรวนเทียนของผม แต่ก็เป็นของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ผมจะมอบให้คุณเดี๋ยวนี้ พยายามทำความเข้าใจมันเสีย ถ้าคุณเป็นเจ้าของมันได้ ก็จะเป็นประโยชน์มากต่อวรยุทธและประสิทธิภาพการต่อสู้ของคุณ!”
วิ้งงงง!
ดาบถงซังลอยอยู่ตรงหน้าจางเซวียน แผ่ความกดดันหนักหน่วงออกมา ราวกับมีนักรบอมตะขั้นสูงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“ขอบคุณมาก เจ้าสำนักหาน” จางเซวียนโค้งคำนับอย่างงาม
เขายังกังวลอยู่ว่าอาจจะหมดหนทางหากนักรบอมตะขั้นสูงสักคนเล่นงานเขา แต่เมื่อมีดาบเล่มนี้ในมือ ก็ไม่ต่างอะไรกับการมีนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งคอยปกป้องในทุกย่างก้าว
แต่แน่นอนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อเขาทำให้ดาบถงซังยอมจำนนได้แล้วเท่านั้น ดาบในระดับขั้นนี้มีจิตวิญญาณของตัวเอง และด้วยขีดจำกัดของวรยุทธของเขา การจะเอาชนะมันย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ด้วยหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนน่าจะจัดการได้
จางเซวียนรีบเก็บดาบถงซังเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขา
เป็นไปได้ว่าหานเจี้ยนชิวน่าจะสร้างฉนวนบางอย่างไว้บนดาบถงซัง เพราะไม่อย่างนั้น มันคงไม่ยอมให้เขาเก็บมันเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติโดยง่าย
หานเจี้ยนชิวพยักหน้าขณะเฝ้ามองจางเซวียนเก็บดาบเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติ ครู่ต่อมาก็พลันนึกอะไรได้บางอย่างและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “อ้อ ตอนนี้คุณอยู่ที่ยอดเขาไหน และผู้อาวุโสคนไหนดูแลคุณอยู่?”
ผู้อาวุโสผู้ดูแลยอดเขาจะทำหน้าที่บ่มเพาะศิษย์สายตรงผู้ปราดเปรื่องด้วย แน่นอนว่าผู้อาวุโสที่ดูแลจางเซวียนจะต้องได้รับการตบรางวัลอย่างงาม
“ตอนนี้ผมพักอยู่บริเวณยอดเขาของศิษย์สายตรงฝ่ายใน ส่วนผู้อาวุโส…ผมคิดว่าเป็นผู้อาวุโสลู่อวิ๋น” จางเซวียนตอบ
“ลู่อวิ๋น?” หานเจี้ยนขมวดคิ้ว
เห็นเจ้าสำนักไม่เคยได้ยินชื่อผู้อาวุโสลู่อวิ๋น ผู้อาวุโสเหอรีบให้รายละเอียด “เขาเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกคนหนึ่งที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งวันนี้ ความดีความชอบของเขาคือการนำพาศิษย์สายตรงผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่งเข้ามา เพราะเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงได้แล้ว ผมจึงเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นผู้อาวุโสฝ่ายใน”
บรรดาผู้อาวุโสฝ่ายนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในสภาผู้อาวุโส จึงไม่แปลกที่หานเจี้ยนชิวจะไม่รู้จักผู้อาวุโสลู่อวิ๋น
“ผู้อาวุโสฝ่ายนอก? หมายความว่าคุณเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายนอกหรือ?” หานเจี้ยนชิวมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
ศิษย์สายตรงฝ่ายนอกสามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้?
เอาจริงๆสิ!
ศิษย์สายตรงฝ่ายนอกของสำนักดาบเมฆเหินไร้เทียมทานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เขาเข้าท้าทายบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด และแม้แต่ผู้อาวุโส…เขาคงอึดอัดใจมากที่ต้องถูกกลบฝังความสามารถไว้แบบนี้!
“ศิษย์สายตรงฝ่ายนอก?” ได้ยินคำนั้น จางเซวียนตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ “บอกคุณตามตรงนะผมไม่ใช่ศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินด้วยซ้ำ…”
ทันทีที่พูดจบ จางเซวียนก็รู้สึกว่าทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาพลันเงียบกริบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอ้อมแอ้ม “ผม…ผมควรคืนตราสัญลักษณ์และดาบถงซังให้คุณไหม?”
ผู้อาวุโสไป๋เย่ไม่มีเวลารายงานเรื่องตัวตนที่แท้จริงของจางเซวียนก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้น นำมาซึ่งความเข้าใจผิดครั้งใหญ่
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครในห้องนั้นที่รู้ว่าอัจฉริยะไร้เทียมทานผู้ทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จคนนี้ไม่ใช่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ไม่ใช่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน หรือแม้แต่ศิษย์สายตรงฝ่ายนอก นั่นแหละ…เขาไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินด้วยซ้ำ!
แน่นอนว่าเรื่องนี้สร้างความอิหลักอิเหลื่อมาก
นักรบผู้ไม่ได้เป็นแม้แต่ศิษย์สายตรงของสำนักสามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของผู้ก่อตั้ง และเล่นงานทุกคนนับตั้งแต่ศิษย์สายตรงฝ่ายในขึ้นไปจนราบคาบ
หานเจี้ยนชิว ผู้อาวุโสเหอและคนอื่นๆพากันหน้าแดงก่ำขณะหายใจขัดเล็กน้อย ต่างคนต่างอยากจะหายตัวไปเดี๋ยวนั้น
นี่มันบ้าบออะไร?
พวกเขาคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหากใครๆรู้เรื่องนี้!
“คุณเพิ่งเข้าสู่สำนักของเราได้เพียงวันเดียวใช่ไหม? แถมยังทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้ขณะที่ผ่านดาบเล่มใหญ่เข้ามา?” ผู้อาวุโสเหอร่ำๆจะปล่อยโฮ
เขายืนอยู่นอกประตูขุนเขากว่าสามสิบปีเพื่อพยายามทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบอันลึกซึ้ง แต่ก็ไม่คืบหน้าไปไหน ส่วนชายหนุ่มคนนี้ทำความเข้าใจมันได้สำเร็จขณะที่เดินผ่านประตูเข้าไป
จะมีอะไรในโลกที่น่าเจ็บช้ำยิ่งกว่านี้อีก?
“ผมคิดว่า…ผมก็ใช้เวลาหลายอึดใจอยู่นะ!” จางเซวียนตอบ
ผู้อาวุโสเหอรู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมาทันที
“ดูเหมือนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าจะไม่ใช่สิ่งที่ทำความเข้าใจได้โดยอาศัยเวลา” หานเจี้ยนชิวปลอบเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บช้ำของผู้อาวุโสเหอ
จากนั้นเขาก็หันกลับไปพูดกับจางเซวียน “การที่คุณสามารถทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็หมายความว่าคุณคือเจ้าสำนักของเราคนต่อไป ในอีกแง่หนึ่ง ก็ดีแล้วที่คุณไม่ใช่ศิษย์สายตรง นับจากวินาทีนี้ไป คุณคือผู้อาวุโสขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหิน จะได้รับสิทธิพิเศษตามแบบของผู้อาวุโสขั้นสูงสุดทุกประการ”
สำนักดาบเมฆเหินจะมีโอกาสได้ใช้ชื่อสำนักเทพดาบเมฆเหินหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ชายหนุ่มจากไปง่ายๆ