อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2063 นักรบผู้ไร้เทียมทาน
ในฐานะผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า เขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากปีศาจใต้สำนึกอยู่แล้ว จึงไม่ต้องการใช้ห้องส่วนตัวที่หลอมขึ้นจากหินสงบใจ
ครั้งเดียวที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นถือเป็นความโชคร้ายโดยบังเอิญ ซึ่งจี้ที่หลัวลั่วชิงมอบให้ก็แก้ไขปัญหานั้นได้
“คุณอยากดูหนังสือ?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวคิดว่าชายหนุ่มคงจะรีบกินยาเม็ดเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธทันที ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะอดทนถึงขนาดรอคลี่คลายข้อสงสัยในหัวใจของเขาก่อน?
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวได้แต่พยักหน้าอย่างยอมรับ
สามารถระงับความต้องการฝ่าด่านวรยุทธไว้ แล้วยื้อมันออกไปจนกว่าจะพบวิธีการที่เหมาะสมที่สุด…ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทาน!
สิ่งนี้ทำให้เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวรู้สึกมั่นอกมั่นใจกว่าเดิม เขาหันไปพูดกับผู้อาวุโสที่ 1 “ผู้อาวุโสที่ 1 ผมขอรบกวนคุณให้พาผู้อาวุโสหลิวไปที่นั่นด้วย”
ถึงตอนนี้ เจ้าสำนักคุ่ยครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะกล่าวเสริม “ถ้ามีความจำเป็นล่ะก็ เขาได้รับอนุญาตให้ดูหนังสือที่เป็นความลับสุดยอดยอดที่อยู่ในห้องลับด้วยนะ”
“ขอรับ เจ้าสำนักคุ่ย” ผู้อาวุโสที่ 1 ตอบพร้อมกับพยักหน้า
สำนักดาวเจ็ดดวงมีคำสอนและมรดกตกทอดของตัวเอง แต่ก็เก็บรักษาหนังสือจำนวนหนึ่งไว้เพื่อการประมูลด้วย คลังหนังสือของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่เปิดให้เข้าชมได้
เพียงแต่การประมูลที่พวกเขาจัดขึ้นมักมีไว้เพื่อเหล่าชนชั้นสูงของทวีปที่ถูกลืม หนังสือที่พวกเขานำออกประมูลจึงมักเป็นศาสตร์ลับของสำนักอื่น ด้วยเหตุนี้ บรรดาศิษย์สายตรงและผู้อาวุโสจึงถูกห้ามไม่ให้เข้าถึงเนื้อหาพวกนั้น เพราะไม่อย่างนั้น อาจเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ
แต่ด้วยวุฒิภาวะของชายหนุ่ม เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวไม่คิดว่าการอนุญาตให้ชายหนุ่มเข้าถึงหนังสือพวกนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาใด โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายต้องการใช้หนังสือเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูง
แน่นอนว่าเรื่องนี้ถูกพิจารณาพร้อมกับความจริงที่ว่าสะพานเบื้องบนใกล้จะลงมาแล้ว ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ยกเว้นให้แบบนี้
หอสมุดตั้งอยู่ที่ตำหนักอำนาจสวรรค์สร้าง จางเซวียนตามผู้อาวุโสที่ 1 ไป ไม่ช้าก็เข้ามาอยู่ในหอสมุดของผู้อาวุโส
“เชิญดูรอบๆได้ตามสบาย ผมขอตัวก่อน แต่กรุณาแจ้งศิษย์สายตรงคนไหนก็ได้ที่อยู่ใกล้ๆให้ไปเรียกผมหากคุณต้องการความช่วยเหลือ” ผู้อาวุโสที่ 1 พูดก่อนจะออกไป
ในที่สุดจางเซวียนก็มีโอกาสพินิจพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบตัว
หอสมุดแห่งนี้ใหญ่โตกว่าที่สำนักดาบเมฆเหินมาก ทั้งขนาดและจำนวนหนังสือ หนังสือเทคนิควรยุทธทุกชนิดถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบไว้บนชั้น ทั้งหมวดหมู่และประเภทของมันหลากหลายกว่าที่หอนานาอสูรและสำนักดาบเมฆเหินมาก
ไม่ช้าจางเซวียนก็ถ่ายโอนหนังสือทั้งหมดในชั้น 1 ได้สำเร็จ
เขารีบขึ้นสู่ชั้น 2 จากนั้นก็ชั้น 3
ภายในเวลา 6 ชั่วโมง จางเซวียนก็ถ่ายโอนหนังสือทุกเล่มที่มีเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าจนครบถ้วน จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ใกล้ๆเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ได้มา
“มีหนังสือเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณขั้นอมตะตัวจริงอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ไม่มากพอจะทำให้เราประมวลศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าได้…”
หนังสือที่อยู่ในสำนักดาวเจ็ดดวงครอบคลุมหลากหลายสาขา รวมแล้วก็มีหนังสือหลายร้อยเล่มที่เกี่ยวข้องกับเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณ แต่ก็ยังไม่มากพอสำหรับจางเซวียน
ส่วนหนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงนั้น แม้ที่สำนักดาวเจ็ดดวงจะมีมากกว่า แต่ก็มีเพียง 30 กว่าเล่ม ยังอีกไกลกว่าจะประมวลเป็นศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าได้
“เท่าที่เห็น เรายังไม่น่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้เร็วๆนี้…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะนวดหว่างคิ้ว
ดูเหมือนว่าถึงอย่างไรเขาก็ต้องเดินทางไปตำหนักคว้าดาวอยู่ดี
…..
ขณะที่จางเซวียนอยู่ในหอสมุด บรรยากาศที่ตำหนักกระบวยสวรรค์ก็ตึงเครียด
“เจ้าสำนักคุ่ย คุณตั้งใจจะเอาคนนอกคนนั้นมาแทนที่ผมจริงๆหรือ?” ผู้อาวุโสหงอู่หน้าดำคร่ำเครียด “ต้องขออภัยในความกระด้างกระเดื่องของผมด้วย แต่ผมไม่อาจยอมรับคำตัดสินของคุณได้!”
“คุณเคยต่อสู้กับเหล่านักรบของหอเทพเจ้ามาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้านทานการโจมตีของเขาไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว แล้วคำตัดสินของผมตรงไหนที่คุณยอมรับไม่ได้?” เจ้าสำนักคุ่ยขมวดคิ้ว
“เขาไม่ได้มาจากสำนักดาวเจ็ดดวงของเรา มีสิทธิ์อะไรที่จะคว้าโอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวในรอบ 100 ปีเพื่อท้าทายสะพานเบื้องบน?” ผู้อาวุโสหงอู่ตอบอย่างไม่พอใจ
“ชายผู้นั้นบอกว่าตัวเขาคือนักรบพเนจรที่ชื่อหลิวหยาง แต่เรื่องจริงก็คือเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภูมิหลังของเขาเลย เราสั่งการให้ทีมสืบเสาะข้อมูลตรวจสอบเขาแล้ว แต่พวกนั้นก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรสักอย่าง หากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญจากหอเทพเจ้าที่ปลอมตัวมาล่ะก็ เรื่องนี้จะกลายเป็นความเสียหายหนัก ไม่ได้การ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้แน่! ผมต้องบังคับให้เขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาให้ได้!”
ไม่มีทางที่นักรบผู้เก่งกาจระดับนี้จะอยู่ได้โดยไม่เป็นที่รู้จักของใครต่อใคร ด้วยเครือข่ายข้อมูลข่าวสารอันกว้างขวางของสำนักดาวเจ็ดดวง หากพอมีอะไรเกี่ยวกับหลิวหยางที่จะเปิดเผยได้ พวกเขาก็คงรู้ไปนานแล้ว
ราวกับหมอนี่โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้!
สถานการณ์แบบนี้น่าเป็นห่วงเหลือเกิน
เพราะการมาถึงของสะพานเบื้องบนจะเป็นเครื่องกำหนดว่าในอีก 100 ปีข้างหน้า สำนักของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็มีโอกาสสูงที่สำนักดาวเจ็ดดวงจะร่วงลงจากตำแหน่งหนึ่งในหกสำนักใหญ่
“ผมเคยสู้กับนักรบของหอเทพเจ้ามาแล้ว เทคนิคการต่อสู้และเทคนิควรยุทธของเขาไม่ได้เหมือนคนพวกนั้นเลย” เจ้าสำนักคุ่ยตอบพร้อมกับสายหน้า
“แต่ก็นั่นแหละ หลิวหยางอาจปลอมตัวมาก็ได้ ผมสั่งการให้ผู้อาวุโสที่ 1 ตรวจสอบข้อมูลโดยใช้รูปร่างหน้าตาของเขาแล้ว ไม่ช้าก็คงได้อะไรมาบ้าง”
ในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง เจ้าสำนักคุ่ยไม่ได้เพิกเฉยหรือละเลยการไขข้อสงสัยเหล่านี้
การเสนอชื่อหลิวหยางเป็นตัวแทนเพื่อเข้าสู่การท้าทายสะพานเบื้องบนเท่ากับเป็นการประกาศเจตนารมณ์ของเขาว่าจะแต่งตั้งอีกฝ่ายให้เป็นผู้สืบทอดของสำนักดาวเจ็ดดวง จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนที่สุด
ทันทีที่พูดจบ ผู้อาวุโสที่ 1 ก็เดินเข้ามาในห้อง
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวถาม
“ผมสั่งการไปยังสำนักดาวเจ็ดดวงทุกสาขาแล้ว แต่ไม่มีใครมีข้อมูลเกี่ยวกับอัจฉริยะที่มีรูปร่าง หน้าตาและรังสีจิตวิญญาณตามแบบของหลิวหยางเลย” ผู้อาวุโสที่ 1 ตอบ
สำนักดาวเจ็ดดวงแตกต่างจากสำนักดาบเมฆเหิน โดยถึงแม้จะเป็นสำนัก แต่ก็มีสาขามากมายนับไม่ถ้วนกระจายกันอยู่ทั่วทวีปที่ถูกลืม ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายข้อมูลข่าวสารของพวกเขาจึงพัฒนาก้าวหน้าไปมาก
“ไม่มีเลย?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “แล้วภาพเหมือนกับรังสีจิตวิญญาณของเจ้าสำนักจางเซวียนกับหัวหน้าเจิ้งหยางล่ะ?”
“อยู่นี่” ผู้อาวุโสที่ 1 พูดขณะยื่นตราหยก 2 อันให้
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเคาะตราหยกนั้น สองร่างปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศทันที ทั้งคู่คือจางเซวียนและเจิ้งหยางที่เป็นร่างปลอม!
เพราะจางเซวียนอยู่ในสำนักดาบเมฆเหินมาระยะหนึ่งแล้ว จึงไม่แปลกที่กลุ่มอำนาจอื่นๆจะได้ภาพเหมือนกับรังสีจิตวิญญาณของเขามา แต่เขาพำนักอยู่ที่หอนานาอสูรได้เพียงวันเดียวและแทบไม่ได้พบใครเลย แต่ถึงอย่างนั้น สำนักดาวเจ็ดดวงก็ยังเก็บรายละเอียดของเขามาได้
พูดได้เลยว่าเครือข่ายข้อมูลข่าวสารของที่นี่น่าสะพรึงมาก
เห็นเจ้าสำนักคุ่ยตรวจสอบรูปลักษณ์และรังสีของทั้งคู่อย่างถี่ถ้วน ผู้อาวุโสที่ 1 ตั้งคำถาม “เจ้าสำนักคุ่ย คุณสงสัยว่าหลิวหยางคนนี้อาจเป็นเจ้าสำนักจางหรือหัวหน้าเจิ้งปลอมตัวมาใช่ไหม?”
เจ้าสำนักคุ่ยพยักหน้า
“ผมรู้ว่าเจ้าสำนักจางคนนั้นเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ ซึ่งตรงกับข้อมูลของหลิวหยาง แต่เจ้าสำนักจางขึ้นชื่อเรื่องศิลปะเพลงดาบไร้เทียมทาน ขณะที่หลิวหยางเอาชนะทั้งคุณและผมได้ด้วยการใช้กำปั้น พวกเขาจึงไม่น่าจะเป็นคนเดียวกัน” ผู้อาวุโสที่ 1 พูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ส่วนหัวหน้าเจิ้ง จากข้อมูลที่เราได้มา ระดับวรยุทธของเขาคือนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ด้วยสิ่งนี้ เขาจึงทำให้มังกรอสรพิษ นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวและอสูรตัวอื่นๆยอมจำนนได้ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่น่าจะใช่หลิวหยาง อีกอย่าง ผมตรวจสอบรังสีจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เห็นได้ชัดว่าทั้งสามมีรังสีจิตวิญญาณที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
ผู้อาวุโสที่ 1 ไม่เข้าใจเหตุผลที่เจ้าสำนักคุ่ยตั้งข้อสงสัย
“มีพืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่เฉพาะในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย มีชื่อว่าพืชแปลงร่าง มันทำให้นักรบสามารถปรับเปลี่ยนทั้งรูปร่างหน้าตาและรังสีจิตวิญญาณของพวกเขาได้” เจ้าสำนักคุ่ยอธิบาย “ผมเคยเห็นพืชชนิดนั้นครั้งหนึ่ง แต่ไม่อาจนำมันมาได้”
“เจ้าสำนักคุ่ย คุณกำลังสงสัยว่าหลิวหยางอาจกินพืชแปลงร่างหรือ?” ผู้อาวุโสที่ 1 ตั้งคำถาม
ผมก็ไม่ได้ด่วนสรุปแบบนั้น แค่กำลังบอกคุณว่ามันก็เป็นไปได้ที่ใครสักคนจะปลอมแปลงรูปลักษณ์และรังสีจิตวิญญาณ การที่ทั้งคู่มีรูปร่างหน้าตาและลักษณะที่ดูต่างกันอย่างสิ้นเชิงอาจไม่ได้หมายความว่าพวกเขาคือคนสองคนเสมอไป” เจ้าสำนักคุ่ยตอบอย่างสุขุม “เพียงแต่…ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันแปลกๆ”
“แปลกๆ?”
“ 2-3 วันก่อนนี่เองที่สำนักดาบเมฆเหินพบเจ้าสำนักคนใหม่ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ และหลังจากนั้นไม่นาน อัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่งที่มีทักษะการฝึกอสูรอันเหนือชั้นก็ปรากฏตัวขึ้นที่หอนานาอสูร จากนั้น นักรบอมตะตัวจริงผู้ไร้เทียมทานถึงขนาดที่ไม่มีใครในหมู่พวกเราเทียบชั้นได้ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองของเรา…” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวส่ายหน้า
“คุณไม่รู้สึกว่ามันบังเอิญเกินไปหรือที่พวกเขาปรากฏตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้?”
คำพูดนั้นทำให้ผู้อาวุโสที่ 1 ชะงัก
เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้มาก่อน แต่เมื่อคิดดู ก็น่าสงสัยมาก
ภายใต้สถานการณ์ปกติ คงถือเป็นความโชคดีครั้งใหญ่หากอัจฉริยะระดับนี้ปรากฏตัวขึ้นครั้งหนึ่ง ในทุกๆสองสามร้อยปี แต่ในระยะเวลาเพียง 10 วัน กลับมีอัจฉริยะระดับนั้นปรากฏตัวขึ้นถึง 3 คน
“เจ้าสำนักคุ่ย คุณรู้สึกว่าหลิวหยางก็น่าสงสัยใช่ไหม?” ผู้อาวุโสหงอู่ตาโตอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินคำพูดนั้น