อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2072 พูดมาได้เลย
โลกของเหล่าอสูรโหดร้ายกว่ามนุษย์มาก อสูรตัวหนึ่งจะต้องมีชีวิตรอดจนสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ให้ได้ ถึงจะมีโอกาสได้เป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์
อสูรที่มีวรยุทธระดับนั้นเรียกได้ว่าเป็นหัวกะทิ มีจมูกที่ไวเป็นพิเศษต่อสิ่งอันตราย ไม่อย่างนั้นพวกมันคงกลายเป็นเหยื่อของอสูรตัวอื่นๆไปนานแล้ว
“เจ้าสำนักคุ่ย ผมติดตั้งค่ายกลเสร็จแล้ว ถ้าเรารอสักหน่อย ไม่ช้าอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จะต้องเข้าโจมตีแน่ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน” ผู้อาวุโสพูด
“ไม่เป็นไร ไปดูกันเถอะ!” เจ้าสำนักคุ่ยตอบขณะลงเรือ
จางเซวียนรีบตามไป
“ผู้อาวุโสหลิว นี่คือผู้อาวุโสเฟิงเฉียนจากสำนักของเรา, ผู้อาวุโสเฟิง ชายหนุ่มคนนี้คือผู้อาวุโสหลิวหยาง เขาจะเป็นตัวแทนจากสำนักของเราเข้าสู่การท้าทายสะพานเบื้องบน” เจ้าสำนักคุ่ยรีบแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน
“ผู้อาวุโสหลิวหยาง!” ผู้อาวุโสเฟิงเฉียนทักทายจางเซวียน แต่มีรอยย่นเล็กน้อยบนหน้าผาก
เขาคิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเจ้าสำนักคงเป็นแค่ศิษย์สายตรงคนหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายคือตัวแทนของพวกเขาที่จะเข้าสู่การท้าทายสะพานเบื้องบน?
การตัดสินใจแบบนี้หมายความว่าชายหนุ่มคือนักรบชั้นยอดในบรรดานักรบที่มีอายุต่ำกว่าร้อยปี
แต่อีกฝ่ายเพิ่งอายุเพียง 20 ต้นๆเท่านั้น!
สำนักดาวเจ็ดดวงกลายเป็นองค์กรที่อ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ในเมื่อผู้อาวุโสหลิวได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนเข้าสู่การท้าทายสะพานเบื้องบน ผมก็เชื่อว่าคุณคงเก่งกาจเหนือชั้นกว่าใครๆ บังเอิญว่าผมมีความสับสนบางอย่างเกี่ยวกับวรยุทธของผมที่อยากขอปรึกษาคุณ” ผู้อาวุโสเฟิงพูดพร้อมกับประสานมือ
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวดูออกว่าผู้อาวุโสเฟิงกำลังพยายามทำอะไร แต่ก็ไม่ขัดขวาง
ขอแค่จางเซวียนเอาชีวิตรอดจากสะพานเบื้องบนได้ ก็น่าจะได้เป็นเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงคนต่อไป ส่วนผู้อาวุโสเฟิงก็เป็นคนสนิทที่สุดของเขา แบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบในภารกิจทั้งหมดเอาไว้โดยไม่เปิดเผยตัวตนกับใคร ถ้าจางเซวียนอยากสืบทอดตำแหน่งด้วยความราบรื่น ก็จะต้องได้การยอมรับจากผู้อาวุโสเฟิงด้วย
นี่จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้อาวุโสหลิวที่จะได้เอาชนะใจผู้อาวุโสเฟิงและสร้างฐานอำนาจภายในสำนัก
หากเขาไม่ได้รับการสนับสนุนแม้แต่จากผู้อาวุโสเฟิง ก็คงยากที่จะได้การยอมรับจากทั้งสำนัก ตำแหน่งเจ้าสำนักของเขาคงไม่มั่นคงแน่
“พูดมาได้เลย” จางเซวียนตอบรับพร้อมกับพยักหน้า
“ผมฝึกฝนฝ่ามือเจ็ดดาวจนถึงขั้น 3 แล้ว แต่พบว่าไม่อาจพัฒนาความเชี่ยวชาญให้สูงขึ้นกว่านี้ได้อีก ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสหลิวมีข้อเสนอแนะดีๆไหม?” ผู้อาวุโสเฟิงตั้งคำถาม
ฝ่ามือเจ็ดดาวคือหนึ่งในเทคนิคการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักดาวเจ็ดดวง มีผู้อาวุโสมากมายที่เคยฝึกฝนมัน
ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้ตอบ เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็ขัดขึ้น “คำถามของคุณออกจะกว้างไปสักหน่อยไหม?”
การที่ผู้อาวุโสเฟิงอยากทดสอบจางเซวียนก็พอเข้าใจได้ เพราะอีกฝ่ายคือว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไป แต่อย่างน้อยที่สุด คำถามก็ควรลงรายละเอียดลึกกว่านี้!
มีหลายร้อยเหตุผลที่ใครสักคนจะไม่อาจฝึกฝนฝ่ามือเจ็ดดาวให้เหนือไปกว่าขั้น 3 ได้ แถมผู้อาวุโสเฟิงก็ไม่ยอมระบุสภาพร่างกายของตัวเองด้วย แล้วใครจะมีปัญญาตอบคำถามของเขา?
แม้แต่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเองก็คงตอบไม่ได้
“ไม่เป็นไร เจ้าสำนักคุ่ย” จางเซวียนยกมือขึ้นพร้อมกับยิ้มให้ จากนั้นก็หันไปพูดกับผู้อาวุโสเฟิง “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เมื่อ 81 ปีก่อน คุณได้รับความบอบช้ำสาหัสภายในจนร่อแร่ปางตายใช่ไหม?”
“ใช่” ผู้อาวุโสเฟิงพยักหน้าขณะสบตาเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวแวบหนึ่ง
เมื่อ 81 ปีก่อน เขาถูกไล่ล่าโดยศัตรูตัวฉกาจของเขาและเกือบเสียชีวิต เป็นเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจึงมอบความจงรักภักดีทั้งหมดให้กับชายผู้นี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเต็มใจรับใช้สำนักดาวเจ็ดดวงโดยไม่เปิดเผยตัวตนกับใคร พร้อมแก้ปัญหาและภัยคุกคามต่างๆนานาที่สำนักต้องเผชิญ
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในความลับสุดยอดของสำนัก ใครจะไปคิดว่าเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจะไว้ใจชายหนุ่มถึงขนาดบอกเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายรู้?
“ผมไม่ได้บอกเขานะ” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของจางเซวียน
เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่รู้จักคุณเสียด้วยซ้ำก่อนที่จะได้พบกันเมื่อครู่นี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้เรื่องเมื่อ 81 ปีก่อนได้อย่างไร!
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกำลังจะถามจางเซวียนว่ารู้ได้อย่างไร ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายพูดต่อ “ผมไม่ต้องรอให้ใครบอก มองแวบเดียวก็เห็นชัดแล้ว ในครั้งนั้น คุณต้องใช้สมบัติล้ำค่าและสมุนไพรมากมาย จึงเรียกวรยุทธกลับคืนมาได้”
“แต่เรื่องจริงก็คืออาการบาดเจ็บที่คุณได้รับทิ้งความบอบช้ำใหญ่หลวงไว้กับร่างกายของคุณ เมื่อพลังปราณของคุณไหลผ่านจุดชีพจรเจินไห่และเจียงหย่ง คุณจะรู้สึกได้ถึงอาการชาและกระตุกทั่วทั้งร่างกาย และจุดชีพจร 2 จุดนี้ก็บังเอิญเป็นจุดสำคัญในการฝึกฝนฝ่ามือเจ็ดดาว อาการชาและการอุดตันของจุดชีพจรเป็นตัวขัดขวางการเคลื่อนไหวของคุณ ทำให้คุณไม่อาจฝึกฝนฝ่ามือเจ็ดดาวขั้น 4 ได้!”
“คุณรู้ได้…” ผู้อาวุโสเฟิงตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความลับสุดยอดของเขา เขาไม่เคยบอกใครมาก่อนแม้แต่กับเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว แต่ชายหนุ่มกลับระบุได้ถูกต้อง หรือว่าอีกฝ่ายมองทะลุสภาวะร่างกายของเขาได้จริงๆ?
“ไม่เพียงเท่านั้นนะ แขนซ้ายของคุณยังติดขัดและแข็งเกร็งขึ้นเรื่อยๆตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนคุณควบคุมมันไม่ได้แล้ว ถูกไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม
ผู้อาวุโสเฟิงหน้าดำคร่ำเครียด
ชายหนุ่มพูดถูกเผง
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มือซ้ายของเขาเริ่มมีปัญหาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะขัดข้องอย่างสิ้นเชิง เขาพยายามแก้ปัญหานี้ทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่ได้ผล ถึงกับปรึกษานายแพทย์ผู้โด่งดังมากมายหลายคนด้วย แต่ไม่มีใครอ่านอาการป่วยของเขาได้เลย แล้วชายหนุ่มคนนี้รู้ได้อย่างไร?
“เทคนิควรยุทธที่คุณเริ่มฝึกฝนคือศิลปะมรกตพลิ้วไหว มันถูกคิดค้นโดยบรรพบุรุษคนหนึ่งตอนที่เขาเกิดแรงบันดาลใจอย่างกะทันหันในการล่องไปตามทะเลมรกตพลิ้วไหว…แต่หลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อ 81 ปีก่อน คุณก็รู้สึกว่าเทคนิควรยุทธนี้ไม่แข็งแกร่งพอสำหรับคุณ และบังเอิญว่าพลังปราณของคุณก็เหือดแห้ง คุณจึงเปลี่ยนไปฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่เรียกว่าศิลปะตะวันผงาด…”
“…พละกำลังจากกระบวนท่าของคุณมีมากขึ้นก็จริง แต่ทางเดินพลังปราณที่เคยได้รับการบ่มเพาะจากองค์ประกอบของน้ำในศิลปะมรกตพลิ้วไหวก็ถูกแทนที่อย่างปุบปับด้วยองค์ประกอบของไฟในศิลปะตะวันผงาด สิ่งนี้เทียบเท่ากับการปล่อยให้แสงอาทิตย์เจิดจ้าแผดเผาทุ่งนาโดยไม่ได้ให้น้ำอย่างเพียงพอ แล้วคุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนอธิบายพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
เมื่อรู้สึกตัวว่าทำพลาด ผู้อาวุโสเฟิงหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ “ทุ่งนาก็จะเหือดแห้งและแตกระแหง เก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้…”
“ทุ่งนาที่ไร้พืชผลยังเป็นเรื่องเล็ก เมื่อเวลาผ่านไป มันจะกลายเป็นดินแดนแห่งความตายที่ไม่มีชีวิตไหนดำรงอยู่ได้เลย!” จางเซวียนพูด
“ดินแดนแห่งความตายที่ไม่มีชีวิตไหนดำรงอยู่ได้เลย? ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นนะ” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขมวดคิ้ว
เขาเองก็รู้ว่าผู้อาวุโสเฟิงเปลี่ยนเทคนิควรยุทธ อันที่จริง ศิลปะตะวันผงาดก็มาจากเขา
ในครั้งนั้น เขาพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ เพราะรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงเทคนิควรยุทธอย่างกะทันหันมีความเสี่ยงสูง แต่ผู้อาวุโสเฟิงตัดสินใจแล้ว เขาพร้อมแบกรับทุกความเสี่ยงตราบใดที่ได้ล้างแค้น
สุดท้าย เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็แนะนำผู้อาวุโสเฟิงให้รู้จักศิลปะตะวันผงาด เขาเฝ้าดูสภาวะร่างกายของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดขณะฝึกฝนวรยุทธเผื่อกรณีที่อาจเกิดความผิดพลาด ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาในฐานะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และยาสมุนไพรล้ำค่ามากมาย เขาแน่ใจว่าจะรักษาอาการบอบช้ำของผู้อาวุโสเฟิงได้
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวคิดว่าปัญหาทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงไม่ได้เป็นแบบนั้น?
“ร่างกายมนุษย์มีขีดจำกัดของความทนทาน” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังขณะเริ่มอธิบาย
“อาการบาดเจ็บสาหัสที่ผู้อาวุโสเฟิงได้รับในครั้งนั้นได้ทำลายอวัยวะสำคัญภายใน ในสภาวะแบบนั้น เขาควรจะบ่มเพาะร่างกายอย่างระมัดระวังเพื่อค่อยๆเรียกพละกำลังกลับคืนมา แต่เขากลับเลือกที่จะเปลี่ยนเทคนิควรยุทธอย่างปุบปับ โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ตายไปตั้งแต่ตอนนั้น ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าคุณต้องสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปมากมายเท่าไหร่เพื่อเยียวยาเขา!”
“ผมจะพูดกับคุณตามตรงนะ อาการขัดและแข็งเกร็งที่แขนของคุณนั้นเป็นแค่อาการเบื้องต้น ภายใน 2 ปีข้างหน้า อาการนี้จะลุกลามไปที่ขา กระดูกสันหลังของคุณจะเริ่มคดงอ ทำให้เดินเหินลำบาก ถ้าคุณไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ภายใน 5 ปีล่ะก็ ทางเดินพลังปราณที่ค่อยๆอ่อนแรงลงก็จะล่มสลาย ทำให้วรยุทธของคุณสาบสูญไปด้วย”
ผู้อาวุโสเฟิงหน้านิ่วคิ้วขมวด “ที่คุณพูดมาน่ะ…เป็นความจริงหรือ?”
จริงอยู่ว่าชายหนุ่มมองเห็นอาการขัดและแข็งเกร็งที่แขนซ้ายของเขา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเชื่อทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูด
เพราะถึงอย่างไร ก็ออกจะเหลือเชื่อเกินไป!
นอกจากปัญหาที่แขนซ้ายที่เขาต้องเจอเป็นครั้งคราว เขาก็ไม่รู้สึกว่าจะมีอาการอื่นใดที่รุนแรงมากนัก จึงทำใจให้เชื่อได้ยากว่าวรยุทธของเขาจะสาบสูญไปภายใน 5 ปี
“ถ้าคุณไม่เชื่อผมล่ะก็ เราทำการทดสอบแบบรวบรัดก็ได้” จางเซวียนพูดขณะกระดิกนิ้วเบาๆ
มันเป็นการเคลื่อนไหวเรียบง่ายที่ปราศจากกระแสดาบฉีหรือกระแสพลังงานใดๆ นิ้วนั้นเคาะเบาๆที่ไหล่ของผู้อาวุโสเฟิง แต่ร่างของอีกฝ่ายกระตุกทันที ราวกับมีใครจี้จุดเขา ร่างนั้นแข็งทื่อ เหงื่อไหลเป็นทางลงมาตามร่องแก้มขณะเตรียมถอยกรูดตามสัญชาตญาณ
แต่ยังไม่ทันจะได้ถอย นิ้วของจางเซวียนก็เคาะเข้าที่กลางอกของเขาอีกครั้ง
การเคาะเพียงครั้งเดียวนั้นทำให้ผู้อาวุโสเฟิงกระตุก เกิดความเจ็บปวดแสนสาหัสในทางเดินพลังปราณ
พลั่ก!
ผู้อาวุโสเฟิงกระอักเลือดออกมา ความเจ็บปวดนั้นทำให้รอยย่นของเขาเพิ่มขึ้น ดูราวกับแก่ไปอีก 10 ปีในชั่วพริบตา
จางเซวียนชักนิ้วกลับและตั้งคำถาม “รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“ผม…ผมรู้สึกเหมือนทางเดินพลังปราณกำลังจะแตกสลาย…” ผู้อาวุโสเฟิงอ้าปากหอบหายใจขณะตอบคำถามด้วยนัยน์ตาที่เบิกโพลงอย่างพรั่นพรึง เขาจ้องชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนจะรีบประสานมือ “ผู้อาวุโสหลิว ผมขอวิงวอนให้คุณชี้ทางให้ผมด้วย ถ้าคุณช่วยชีวิตผม ผมจะมอบความจงรักภักดีให้คุณและอุทิศตัวรับใช้คุณในฐานะเจ้าสำนักคนต่อไปด้วยความเต็มใจสูงสุด!”
การที่ชายหนุ่มมองเห็นปัญหาของเขาและถึงกับรู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังอาการเจ็บป่วยด้วยนั้นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเก่งกาจมาก เขาไม่มีความขัดข้องใจใดๆที่จะรับใช้คนแบบนี้