อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2085 พูดอีกอย่างก็คือ…
ขณะที่ฉลามหมายเลข 1 พูดถึงเทพเจ้า มันก็ตัวสั่นไม่หยุด ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเพราะความหวาดกลัวหรือความตื่นเต้น
“ผมจำไม่ได้แน่ชัด แต่ดูเหมือนแม้แต่การประกอบพิธีกรรมครั้งที่ 2 ก็เป็นความสำเร็จเพียงส่วนเดียวเท่านั้น บางที อาจเป็นเพราะหัวหน้าตำหนักคว้าดาวยังมีพละกำลังอ่อนด้อยไปหน่อย หรือไม่ ปราการแห่งมิติก็แข็งแกร่งเกินไป แต่เทพเจ้าไม่อาจฝ่าปราการมิติลงมายังโลกของเราได้ เธอจึงใช้กำลังทำลายมัน และในที่สุดก็ทำสำเร็จ แต่ก็ต้องลงเอยด้วยความสูญเสียครั้งใหญ่ พฤติกรรมการใช้ความรุนแรงของเธอทำให้เกิดแรงตีกลับอย่างหนักจากสรวงสวรรค์ของทวีปที่ถูกลืม ทำให้เธอสูญเสียเลือดไม่น้อย”
“ในฐานะเครื่องบรรณาการสำหรับการประกอบพิธีกรรม พวกเราทั้งสามอยู่แถวๆนั้นตอนที่เทพเจ้าฝ่าปราการมิติลงมา เมื่อพวกเราเห็นเลือดของเธอหยดลงสู่มหาสมุทร ก็รู้แล้วว่านี่คือโอกาสทอง จึงรีบดื่มเลือดเข้าไปคนละหยด ยังไม่ทันจะรู้ตัว พวกเราก็สลบไป ไม่รู้เลยจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น…”
“คุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? เดี๋ยวก่อน…คุณเคยบอกว่าหลังจากนั้นเทพเจ้าก็จากไปไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
“ผมเองแหละที่เห็น…” ฉลามหมายเลข 3 โพล่งออกมา “ผมออกจะขี้ขลาดกว่าใครๆ จึงลังเลเล็กน้อยก่อนจะกลืนโลหิตเทพเจ้าลงไป ผมเห็นรางๆว่าเทพเจ้าวางฝ่ามือของเธอลงบนศีรษะของหัวหน้าตำหนักคว้าดาว แล้วอีกฝ่ายก็ค่อยๆกลายสภาพกลับสู่ความสาวดังเดิม ทั้งคู่พูดจากันสองสามคำ และไม่นานหลังจากนั้น ก็ดูเหมือนจะมีอีกพิธีกรรมหนึ่งเกิดขึ้นที่ไหนสักแห่ง รอยแยกแห่งมิติอีกอันปรากฏ แล้วเทพเจ้าก็จากทวีปที่ถูกลืมไปโดยผ่านรอยแยกนั้น”
“มีอีกพิธีกรรมเกิดขึ้นที่ไหนสักแห่ง?” จางเซวียนครุ่นคิดหนัก
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็มีความเป็นไปได้ว่าอีกพิธีกรรมหนึ่งน่าจะเป็นพิธีกรรมที่อำมาตย์เฉินหย่งทำขึ้นเพื่อเรียกหลัวลั่วชิงมาสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์
เมื่อลองคิดดู ก็น่าจะเป็นเพราะแรงตีกลับจากปราการแห่งมิติทั้ง 2 อันที่ทำให้หลัวลั่วชิงมีพละกำลังลดลงมากในครั้งแรกที่เธอมาถึงทวีปแห่งปรมาจารย์ ด้วยเหตุนั้น เธอจึงจำเป็นต้องปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ระดับ 6 ดาวจนกว่าจะเรียกคืนพละกำลังกลับมาได้ดังเดิม
แน่นอนว่านี่เป็นแค่ข้อสันนิษฐาน ส่วนเรื่องจริงจะเป็นอย่างไรนั้น เขาจะแน่ใจได้ก็ต่อเมื่อได้คุยกับหัวหน้าตำหนักคว้าดาว
จางเซวียนนำภาพเหมือนของหลัวลั่วชิงออกมาเพื่อตรวจสอบกับฉลามสามพี่น้องว่ากำลังพูดถึงคนคนเดียวกันอยู่หรือไม่ แต่ก็เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับเต่าหลังดำ แม้ฉลามสามพี่น้องจะพอจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่อาจจดจำรูปร่างหน้าตาของเทพเจ้าได้ รู้เพียงแต่ว่าเธอเป็นผู้หญิง
“ถ้าอย่างนั้น คุณรู้ได้อย่างไรว่านี่คือตราสัญลักษณ์เทพเจ้า?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ในตอนนั้น เทพเจ้าใช้จี้อันนี้ฝ่าปราการแห่งมิติลงมา มันเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์ พวกเราทุกตัวเห็นมันชัดเจน ไม่มีทางที่จะจำไม่ได้” ฉลามหมายเลข 1 ตอบ
พวกมันอาจหลงลืมรูปร่างหน้าตาของเทพเจ้า แต่ไม่มีวันลืมความเจิดจ้าของพละกำลังของเธอ
พิธีกรรมนั้นไม่สมบูรณ์ เทพเจ้าจึงไม่อาจลงมายังทวีปที่ถูกลืมได้ แต่เพราะเธอใช้พละกำลังของจี้อันนั้นฉีกกระชากปราการแห่งมิติ สุดท้ายจึงลงมาที่นี่ได้สำเร็จ
ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้พวกมันหวาดกลัวพละกำลังของจี้และไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ
โลหิตเทพเจ้าเพียงหยดเดียวก็เกินพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของพวกมันแล้ว ในเมื่อชายหนุ่มคนนี้มีตราสัญลักษณ์เทพเจ้าอยู่ในครอบครอง ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาน่าจะมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับเทพเจ้า
หากในอนาคตพวกมันอยากเข้าถึงวรยุทธขั้นที่สูงกว่ากึ่งสรวงสวรรค์ ชายหนุ่มผู้นี้ก็น่าจะช่วยได้
เกียรติยศศักดิ์ศรี?
เรื่องพวกนั้นไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังเหนือชั้นของเทพเจ้า
จี้อันนี้ฉีกกระชากปราการแห่งมิติได้หรือ? จางเซวียนครุ่นคิดขณะกำจี้สีแดงก่ำไว้แน่น
มันยังคงอุ่น เขาพยายามถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย
จางเซวียนเคยลองใช้ทั้งหินโลหิตเทพเจ้า ดวงตาหยั่งรู้ และพลังปราณของเขากับจี้สีแดงก่ำอันนี้ แต่ทุกอย่างก็ล้วนไม่ได้ผล
ถ้าไม่ใช่เพราะความมหัศจรรย์ที่มันสำแดงออกมาเป็นครั้งคราว เขาคงจะสงสัยว่าแท้ที่จริงแล้วมันอาจเป็นแค่จี้ธรรมดาหรือเปล่า?
คงเป็นเพราะวรยุทธของเรายังอ่อนด้อย จางเซวียนส่ายหน้าขณะหวนนึกถึงช่วงเวลาที่วรยุทธของเขาเกือบถูกธาตุไฟเข้าแทรก
เพราะหลัวลั่วชิงไว้ใจมอบของล้ำค่าชิ้นนี้ให้ ตัวมันจึงน่าจะมีบางอย่างที่สำคัญมาก การที่มันสามารถกดข่มปีศาจใต้สำนึกและอาจทำลายได้แม้แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็บ่งบอกอะไรหลายอย่างแล้ว
“ในเมื่อพวกคุณทั้งสามยอมจำนนให้ผม คุณก็จะต้องติดตามผมนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มีหลายอย่างที่ผมต้องการความช่วยเหลือ วางใจได้เลยว่าพวกคุณจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม” จางเซวียนพูดขณะนำจี้สีแดงก่ำใส่กลับเข้าไปในอกเสื้อ
ด้วยการสวามิภักดิ์ของฉลามสามพี่น้อง เขาจะอยู่ภายใต้การคุ้มกันของอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึง 4 ตัว ซึ่งเมื่อรวมกับของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เขามีอยู่ในครอบครอง ต่อให้หอเทพเจ้าก็ต้องคิดให้ดีถ้าอยากจะเล่นงานเขา!
จางเซวียนน้ำซุปไก่ออกมาขวดหนึ่ง แล้วยื่นให้ฉลามที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อจะได้เยียวยาอาการบาดเจ็บของมัน
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อเกี่ยวกับโลหิตเทพเจ้า
จางเซวียนได้รู้ว่าทั่วทั้งทะเลว่างเปล่าแห่งนี้ เผ่าพันธุ์อสูรที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จมีแต่ฉลามสามพี่น้องกับเต่าหลังดำเท่านั้น เพราะพวกมันอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุมากที่สุด ฉลามหมายเลข 1 ไหวตัวทันและเก็บโลหิตของเทพเจ้าไว้ได้อีกหนึ่งหยด แต่ลงท้ายก็กลายเป็นอาหารไก่
ส่วนเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่เหลือ พวกมันอาศัยอยู่กระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งทะเลว่างเปล่า แม้หยดเลือดที่แผ่ซ่านไปทั่วท้องทะเลจะทำให้เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำและพืชพรรณในบริเวณนี้แข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ไม่เข้มข้นพอที่จะทำให้พวกมันฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์
จางเซวียนตั้งใจจะศึกษาโลหิตเทพเจ้าอีกหยดหนึ่งที่เหลืออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ในเมื่อไม่มีเหลือแล้ว ก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้น
ยังมีอีกทางหนึ่ง คือบีบคอไก่น้อยให้คายหยดเลือดออกมา…แต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้
จากนั้น จางเซวียนถ่ายเลือดจำนวนหนึ่งจากฉลามสามพี่น้องและมอบให้มังกรอสรพิษ นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวกับตัวอื่นๆที่เหลือ แต่พวกมันก็ยังฝ่าด่านวรยุทธไม่สำเร็จ
ดูเหมือนการจะได้เป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นั้นไม่ง่าย ต้องใช้มากกว่าหยดเลือดของอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึงจะก้าวข้ามขั้นสุดท้ายได้
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น จางเซวียนเก็บฉลามหมายเลข 2, หมายเลข 3 และเต่าหลังดำกลับเข้าไปในกระสอบอสูร ก่อนจะขี่หลังฉลามหมายเลข 1 มุ่งหน้าไปยังเกาะคว้าดาว
…..
ขณะที่จางเซวียนกำลังสำรวจทะเลว่างเปล่า เหล่าสมาชิกจากหอนานาอสูรที่กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังเกาะคว้าดาวก็ได้รับข่าวจากสำนักดาวเจ็ดดวง
“ผู้อาวุโสฉิงหย่วน มีอะไร?” ผู้อาวุโสเลี่ยวตั้งคำถาม
ผู้อาวุโสฉิงหย่วนตอบขณะที่นัยน์ตายังจ้องเขม็งที่ตราหยกสื่อสารในมือ “ผมได้ข่าวว่าสำนักดาวเจ็ดดวงเพิ่งคัดเลือกเจ้าสำนักคนใหม่…”
ผู้อาวุโสเลี่ยวประหลาดใจกับข่าวกะทันหันนี้ เขาตั้งคำถาม “ใครกัน?”
“เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อหลิวหยาง วรยุทธของเขาคืออมตะขั้นสูงระดับล่าง แต่สามารถฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ทั้งหมดของสำนักดาวเจ็ดดวงจนเชี่ยวชาญได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ความปราดเปรื่องในศิลปะการต่อสู้ของเขานั้นเรียกว่าไม่มีใครเทียบได้ แถมวรยุทธก็ยอดเยี่ยม” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูด
ใครจะไปคิดว่าหลังจากพวกเขาพบหัวหน้าคนใหม่ผู้ปราดเปรื่องได้ไม่นาน สำนักดาวเจ็ดดวงก็ได้ตัวผู้สืบทอดคนใหม่เช่นกัน
อย่างคำพูดที่ว่ากันว่า ‘สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ’ บางทีสิ่งนี้อาจเป็นลางร้ายที่กำลังบอกพวกเขาว่าวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่รออยู่
“หลิวหยาง…ผมไม่เคยได้ยินชื่อนั้นเลย” ผู้อาวุโสเลี่ยวพึมพำ
ข่าวเดียวกันนี้เข้าหูสำนักดาบเมฆเหินที่กำลังรุดหน้าสู่เกาะคว้าดาวเช่นกัน
กลุ่มของสำนักดาบเมฆเหินมีหานเจี้ยนชิว ผู้อาวุโสที่ 1 เหอเทียน และคนอื่นๆ
สิ่งหนึ่งที่น่าจับตาก็คือหวู่เฉิน, เด็กชายวัยรุ่นคนนั้นที่เดินทางไปถึงสำนักดาบเมฆเหินเพื่อตามหาจางเซวียน เขาอยู่ในกลุ่มด้วย
“หลังจากที่พวกเราแต่งตั้งจางเซวียนให้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่ได้ไม่นาน หอนานาอสูรกับสำนักดาวเจ็ดดวงก็รีบร้อนทำแบบเดียวกัน…” หานเจี้ยนชิวส่ายหน้าเมื่อได้ข่าว
“รีบร้อนทำแบบเดียวกัน? คุณหมายความว่าอย่างไร?” ผู้อาวุโสเหอเทียนถามด้วยความสงสัย
“เมื่อ 2-3 วันก่อน หอนานาอสูรแต่งตั้งชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ชื่อเจิ้งหยางให้เป็นหัวหน้าคนใหม่ ส่วนเมื่อครู่นี้ ผมได้ข่าวจากสำนักดาวเจ็ดดวงว่าคุ่ยเฉี่ยวลงจากตำแหน่งแล้ว เขามอบตำแหน่งให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อหลิวหยาง!” หานเจี้ยนชิวพูด
“จางเซวียน เจิ้งหยาง หลิวหยาง…” ได้ยินสามชื่อที่คุ้นหู หวู่เฉินเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นทันที เขาอ้าปากค้าง จากนั้นก็พึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “คงไม่ใช่ว่า…พวกเขาเป็นคนเดียวกันหรอกนะ?”
ผู้คนในทวีปที่ถูกลืมมีหลายพันล้าน จึงไม่แปลกอะไรหากจะมีบางส่วนใช้ชื่อเดียวกัน แต่ดาวเด่นดวงใหม่ 2 ดวงของอีก 2 สำนักมีชื่อเดียวกันกับศิษย์สายตรงของจางเซวียนหรือ?
ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้!
ถึงคนอื่นๆในทวีปที่ถูกลืมจะไม่รู้จักศิษย์สายตรงของจางเซวียน แต่หวู่เฉินคุ้นเคยกับพวกเขาดี การเข้าสู่ทวีปที่ถูกลืมไม่ใช่เรื่องง่าย เท่านี้ก็เหลือเชื่อเต็มทีแล้วที่จางเซวียนหาทางมาถึงที่นี่ได้ด้วยพละกำลังของตัวเอง แล้วเขาจะพาศิษย์สายตรงมาด้วยได้อย่างไร?
แถมยังยากที่จะทำใจให้เชื่อว่าศิษย์สายตรงเหล่านั้นพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วอย่างอาจารย์
พูดอีกอย่างก็คือ…หวู่เฉินสงสัยว่าเจิ้งหยางกับหลิวหยางคนนั้นคือชื่อปลอมของจางเซวียน!
เมื่อหวนนึกถึงวันคืนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนมักใช้ชื่อและตัวตนใหม่ๆเสมอ เช่นหยางชวน หลัวเทียนหยา ซุนฉาง…คนแบบเขาจะใช้วิธีอื่นใดได้นอกจากวิธีนี้?
หานเจี้ยนชิวได้ยินเสียงพึมพำของหวู่เฉิน เขาหันมาถาม “พวกเขาเป็นคนเดียวกันหรือ? คุณหมายความว่าอย่างไร?”
“อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอก” หวู่เฉินส่ายหน้า “ผมก็แค่ตั้งข้อสังเกตตามธรรมดา”
“อือ” หานเจี้ยนชิวพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “ดูเหมือนคราวนี้จะต้องเกิดความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ที่สะพานเบื้องบนแน่ ผมสงสัยว่าจางเซวียนจะสู้กับเจิ้งหยางและหลิวหยางได้หรือไม่ บอกตามตรงนะ ผมอยากเห็นอัจฉริยะทั้ง 3 คนสู้กันในสังเวียนประลอง”
จะต้องเป็นการดวลที่น่าสนใจมาก” ผู้อาวุโสเลี่ยวพยักหน้า
หวู่เฉินหลบตา เขาพึมพำออกมาด้วยเสียงที่เบาจนมีแต่ตัวเขาเท่านั้นได้ยิน “ถือว่าควรค่าแก่การรอคอย แต่ผมแค่อยากรู้ว่าเขาจะคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า…”
…..