ตอนที่ 2018 พวกเรายอมแพ้!
เมื่อลองนึกดู เหตุผลที่หอเทพเจ้าโจมตีตำหนักคว้าดาวก็เพื่อกันท่าตู้ชิงหย่วนไม่ให้ใช้แท่นบูชาเพื่อรายงานการเคลื่อนไหวของพวกเขาต่อเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ
บางทีหอเทพเจ้าคงไม่อยากให้เหล่าเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์รับรู้การเคลื่อนไหวของพวกเขา
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจะต้องหาตัวตู้ชิงหย่วนกับแท่นบูชาที่หายไปให้พบโดยเร็วที่สุด!
“เดี๋ยวก่อน แล้วหอเทพเจ้าติดต่อกับสรวงสวรรค์ได้ไหม?” จางเซวียนถาม
ในเมื่อหอเทพเจ้าสนิทชิดเชื้อกับสรวงสวรรค์ของทวีปที่ถูกลืม พวกเขาก็น่าจะสร้างสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสรวงสวรรค์ได้ อันที่จริง มีเรื่องร่ำลือว่าพวกเขาทำหน้าที่อารักขาประตูที่นำไปสู่สรวงสวรรค์ด้วยซ้ำ
หวู่เฉินส่ายหน้าเพื่อบอกว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้
นอกเสียจากสะพานเบื้องบนที่จะลงมาทุกๆ 100 ปี คนของหอเทพเจ้าก็แทบไม่เคยปรากฏตัวในทวีปที่ถูกลืม จึงมีผู้คนเพียงหยิบมือที่รู้เรื่องของคนเหล่านั้น
จางเซวียนถามต่ออีกสองสามคำถาม แต่เพราะหวู่เฉินเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน จึงไม่รู้อะไรมากนัก
ช่างมันเถอะ สะพานเบื้องบนกำลังจะลงมาแล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าเราอาจหาคำตอบได้จากที่นั่น…จางเซวียนคิด
จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าทำไมหอเทพเจ้าถึงจงใจตามล่าตัวเขา แต่เขารู้สึกว่าทุกอย่างจะคลี่คลายเมื่อได้เข้าสู่สะพานเบื้องบน นั่นจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ลุกขึ้นสู้
แต่ถ้าเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่หอเทพเจ้าเลย แม้โลกทั้งใบก็ไม่อาจกักขังเขาไว้ได้อีก!
ถึงเวลานั้น สถานการณ์จะพลิกผัน เขาจะกลายเป็นผู้ตามล่าหอเทพเจ้าเสียเอง
รู้ดีว่าการเสาะแสวงหาพละกำลังให้ได้มากขึ้นเป็นเรื่องสำคัญแค่ไหน จางเซวียนจึงเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าที่มีห้องของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอยู่ เขาพยายามหาเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เหมาะสมกับตัวเอง
ครึ่งวันต่อมา ตัวแทนทั้ง 3 คนจากสำนักดาบเมฆเหิน หอนานาอสูร และสำนักดาวเจ็ดดวงก็มาอยู่ตรงหน้า
ทุกคนล้วนแต่อายุต่ำกว่า 100 ปี แต่สำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แล้ว ผู้อาวุโสหงอู่จากสำนักดาวเจ็ดดวงก็เป็น 1 ใน 3 คนนั้น
“คุณเรียกพวกเราหรือ?”
นอกจากผู้อาวุโสหงอู่ ตัวแทนอีก 2 คนประเมินจางเซวียนด้วยสายตาคมกริบ
พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้กลายเป็นผู้นำของ 4 สำนัก แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเก่งกาจจริงและมีความน่าเชื่อถือพอที่จะรับตำแหน่งนี้หรือเปล่า
“สิบอึดใจ ใช้ทุกวิถีทางที่พวกคุณมีเล่นงานผมให้ถอยไปครึ่งก้าวให้ได้ ถ้าคุณทำได้ คุณก็ยังมีโอกาสเอาชนะเหล่านักรบจากหอเทพเจ้า” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังขณะอธิบาย
“คุณต้องการให้พวกเราผลักดันคุณให้ถอยไปครึ่งก้าวหรือ?”
ทั้งสามงุนงง
ในเมื่อพวกเขามีวรยุทธระดับเดียวกัน ต่อให้ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบและเทคนิคการต่อสู้ของจางเซวียนเหนือชั้นกว่า แต่ถ้าพวกเขาผนึกกำลังกัน ก็แข็งแกร่งเกินพอที่จะผลักดันอีกฝ่ายให้ถอยไปครึ่งก้าว
“ใช่” จางเซวียนตอบ
“แต่ถ้าคุณทำให้ผมถอยไปครึ่งก้าวไม่ได้ล่ะก็ ผมต้องการให้คุณทั้ง 3 ฝึกฝนวรยุทธตามแต่ที่ผมจะสั่งก่อนช่วงเวลาที่สะพานเบื้องบนจะลงมา ผมจะไม่รับฟังเสียงบ่นหรือการออกความเห็นใดๆทั้งสิ้น”
การที่ทั้ง 3 ได้รับเลือกจากเหล่าผู้อาวุโสให้เข้าท้าทายสะพานเบื้องบนก็บ่งบอกแล้วว่าพวกเขามีทักษะเหนือชั้น แต่หากทุกคนหลงตัวเอง ภาคภูมิใจกับความสามารถที่มีอยู่และไม่ยอมฟังคำสั่งของเขา ก็ไม่น่าจะรับมือกับเหล่านักรบของหอเทพเจ้าได้
วิธีเดียวที่จะเอาชนะคนทั้ง 3 ได้อย่างรวดเร็วและทำให้พวกเขายอมทำตามคำสั่งก็คือต้องจัดการให้ยอมจำนน
“ถ้าพวกเราผนึกกำลังกันแล้วยังสู้คุณไม่ได้ล่ะก็ วางใจได้เลยว่าพวกเราจะทำตามคำสั่งของคุณโดยไม่ปริปาก!”
ในฐานะตัวแทนผู้เข้าท้าทายสะพานเบื้องบน พวกเขาคือนักรบผู้มีศักยภาพพอที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำในสำนักของตัวเอง แต่การปรากฏตัวอย่างปุบปับของชายผู้นี้ฉกฉวยความหวังของพวกเขาไปหมด คงเป็นเรื่องโกหกหากจะกล่าวว่าพวกเขาไม่รู้สึกเคืองแค้น
บึ้มมมมม!
ทันทีที่สิ้นเสียง ทั้ง 3 ก็พุ่งเข้าใส่จางเซวียนพร้อมกัน
ผู้อาวุโสหงอู่ถ่ายทอดพละกำลังเข้าสู่ฝ่ามือและสำแดงเทคนิคการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
อัจฉริยะจากสำนักดาบเมฆเหินชักดาบออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วสำแดงศิลปะเพลงดาบที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่ง
ส่วนอัจฉริยะจากหอนานาอสูรนำอสูรของเขาออกมา – อสูรแฝดเสือดำที่มีวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์!
เห็นการเคลื่อนไหวของชายทั้งสาม จางเซวียนหัวเราะหึๆ
ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ เรียกได้ว่าพวกเขาเหนือชั้นกว่านักรบทั่วไป แต่ถ้าจะเทียบกับนักรบของหอเทพเจ้า ก็ยังอ่อนด้อยกว่ามาก
ขนาดตัวเขายังเกือบพ่ายแพ้เมื่อต้องเจอกับนักรบของหอเทพเจ้า ต้องใช้ศักยภาพที่สูงกว่าคำว่า ‘เหนือชั้นกว่าธรรมดา’ ถึงจะรับมือกับปีศาจพวกนั้นได้!
จางเซวียนโบกมือเบาๆโดยไม่ได้ชักดาบออกมา นักรบทั้ง 3 พลันรู้สึกราวกับว่าพวกเขาจมลงสู่ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะพยายามเดินไปทางไหนก็หนีพ้นจากทะเลทรายแห่งนี้ไม่ได้
แล้วจางเซวียนก็กดฝ่ามือลงไปเบาๆ
เคร้ง!
ดาบเล่มหนึ่งร่วงลงไปกองกับพื้น เทคนิคการต่อสู้สลายตัวไป อสูรอมตะอีก 2 ตัวร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด…จากนั้นสามอัจฉริยะก็ทรุดฮวบลงกับพื้น หมดปัญญารับมือกับพละกำลังมหาศาลที่อยู่ตรงหน้า
“นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”
ทั้งสามอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ
ในฐานะนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ พวกเขาคิดว่าต่อให้จางเซวียนแข็งแกร่งกว่า ก็ไม่น่าจะห่างกันมากมายอะไร แต่หลังจากปะทะกันแล้ว ก็รู้ทันทีว่าพละกำลังของพวกเขากับจางเซวียนห่างกันหลายขุม
ขนาดเจ้าสำนักคนก่อนที่เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ยังเทียบชั้นกับชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้!
“พวกคุณยอมแพ้ไหม?” จางเซวียนถามยิ้มๆ
“พวกเรายอมแพ้!”
เพียงกระบวนท่าเดียว จางเซวียนก็ทำลายความหยิ่งผยองของอีกฝ่ายและได้รับความเคารพจากทุกคน
“นี่คือเทคนิควรยุทธที่ผมคิดค้นขึ้นโดยใช้วรยุทธของพวกคุณเป็นพื้นฐาน ขอแค่พวกคุณขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ภายในสามวันนี้ก็จะยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ขึ้นได้อีกมาก ถ้าสงสัยอะไรก็ถามผมได้เลย”
จางเซวียนนำตราหยกออกมา 3 อันและถ่ายทอดความคิดของเขาเข้าไปในนั้น ก่อนจะยื่นตราหยกให้ตัวแทนทั้งสาม
ทั้งสามรับตราหยกมา หลังจากอ่านรายละเอียดก็รู้สึกตกตะลึงกับถ้อยคำเหล่านั้น “อย่าทำให้โอกาสที่ผมมอบให้พวกคุณต้องสูญเปล่า” จางเซวียนพูดก่อนจะปล่อยให้พวกเขาแยกย้าย
เมื่อทุกคนจากไปแล้ว จางเซวียนเพ่งสมาธิกลับสู่หอสมุดเทียบฟ้าอีกครั้งและศึกษาวิธีการยกระดับวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ต่อไป
ในประวัติศาสตร์ของทวีปที่ถูกลืม มีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่พยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ คนเหล่านั้นได้ทิ้งประสบการณ์ล้ำค่าและภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องเอาไว้จำนวนมาก น่าเสียดายที่ไม่มีใครสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้โดยไม่ผ่านการท้าทายสะพานเบื้องบน
“เป็นไปได้ว่าจะต้องมีบางอย่างในบรรยากาศของทวีปที่ถูกลืมที่ยังอ่อนด้อย จึงทำให้เหล่านักรบไม่อาจสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้…”จางเซวียนได้คำตอบ
ไม่ใช่เพราะนักรบของทวีปที่ถูกลืมขาดความสามารถ แต่สถานการณ์ตอนนี้เหมือนกันกับในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่ทำให้เหล่านักรบไม่อาจสำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณได้อีก
เขาพลันนึกถึง ‘รังสีสวรรค์’ ที่ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเคยพูดถึง
ถ้าจางเซวียนเข้าใจถูก ตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จะมีรังสีสวรรค์ที่นักรบต้องการเพื่อใช้ฝ่าปราการขั้นสุดท้ายและเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์
น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้หอนิรันดร์สามารถบ่มเพาะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าท้าทายสะพานเบื้องบน ในขณะที่สำนักอื่นๆนั้นตรงกันข้าม
การฝึกฝนเทคนิควรยุทธไม่ใช่เรื่องง่าย มีหลากหลายประเด็นที่ต้องพิจารณา และแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยที่สุดก็อาจสร้างความแตกต่างใหญ่หลวงได้
มันจึงไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น
จางเซวียนก็รู้ดี จึงไม่คิดจะเร่งรัดกระบวนการใดๆ
หลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็ถึงเวลาที่สะพานเบื้องบนจะลงมา เช้าตรู่วันนั้น จางเซวียนนำคนกลุ่มใหญ่ไปยังบริเวณที่โขดหินสมอสวรรค์ตั้งอยู่
โขดหินสมอสวรรค์อยู่ไม่ไกลจากเกาะคว้าดาวมากนัก เมื่อขี่เต่าหลังดำไป ใช้เวลาราว 4 ชั่วโมงก็เห็นเกาะที่มีหน้าตาเหมือนโขดหินขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า
เกาะนี้โผล่พ้นจากพื้นน้ำราวกับเสาหินต้นมหึมาที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มองไม่เห็นปลายอีกด้านหนึ่ง
“มีตำนานกล่าวว่า ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว สวรรค์เคยพังทลาย ส่งผลให้เกิดหายนะครั้งใหญ่กับบรรดาสิ่งมีชีวิตในทวีปที่ถูกลืม เพื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งนั้น นักรบผู้ทรงพลังคนหนึ่งได้ตัดขาทั้ง 4 ข้างของเต่ายักษ์ แล้วใช้มันแทนเสาเพื่อค้ำจุนสวรรค์ เมื่อเวลาผ่านไป ขาทั้ง 4 ก็แข็งตัวกลายเป็นหินและมีสภาพอย่างที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า” หานเจี้ยนชิวอธิบายขณะมองเสาหินที่ตั้งตระหง่าน
“เรื่องพวกนั้นก็เป็นแค่ตำนาน เกาะนี้มีความสูงอย่างน้อยหลายหมื่นเมตร จะมีเต่าตัวใหญ่ขนาดนั้นอยู่ในโลกได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวส่ายหัว “อีกอย่าง ถ้าสวรรค์พังทลายลงมาจริงๆ ไม่มีทางที่ลำพังแค่ขาเต่าจะปกป้องแผ่นดินไว้ได้หรอก”
“ก็จริง…”
ฝูงชนหัวเราะหึๆ
โลกทุกใบล้วนมีตำนานและเรื่องเล่ากล่าวขานปรัมปรา เรื่องราวเหล่านั้นถูกขัดเกลาเสริมแต่งให้เข้ากันกับธรรมชาติ ซึ่งทวีปที่ถูกลืมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
จางเซวียนจับจ้องโขดหินสมอสวรรค์อย่างถี่ถ้วน
เขารู้ดีว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้ที่เสาหินเหล่านี้จะเคยเป็นขาเต่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังน่าประหลาดมากที่เสาหินพวกนี้ตั้งตระหง่านอยู่ได้ยาวนานหลายปี
จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อตรวจสอบ ไม่ช้าก็พบบางอย่างผิดปกติ เมื่อมองแวบแรก ดูเหมือนโขดหินสมอสวรรค์จะไม่ต่างอะไรกับหินธรรมดาก้อนหนึ่ง แต่บนผิวหน้าของมันมีอักษรจารึกของค่ายกลอยู่เต็มไปหมด
ก็เพราะอักษรจารึกเหล่านี้ที่ทำให้มันท้าแดดท้าลมและการกัดกร่อนของมหาสมุทรได้จนอยู่รอดถึงวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน
“เป็นค่ายกลที่ล้ำลึกอะไรอย่างนี้…”
จางเซวียนประหลาดใจที่พบว่าเขาไม่อาจถอดรหัสอักษรจารึกในค่ายกลได้แม้ด้วยความเชี่ยวชาญด้านค่ายกลที่เขามีอยู่
“นี่คือจุดที่เชื่อมทวีปที่ถูกลืมกับหอเทพเจ้าหรือ?” จางเซวียนตั้งคำถาม
“ใช่” หานเจี้ยนชิวพยักหน้า
ขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังคุยกัน พวกเขาก็เริ่มปีนป่ายเสาหินขึ้นไปโดยเวียนเป็นรูปเกลียว