ตอนที่ 2160 เราต้องหาทางออกไปกับพวกนั้น…
นอกจากจางเซวียน ในเวลานี้ยังมีอีก 14 ชีวิตอยู่กับเขา คือศิษย์สายตรงทั้ง 11 คน, ซุนฉาง และเซียนดาบชิงเหมิง
“นายน้อย มีผลไม้อยู่ 8 ผล, คุณรับไปผลหนึ่ง แล้วพวกเราที่เหลือจะกินคนละครึ่งลูก” ซุนฉางรีบจัดการคิดคำนวณ
“ผมกินไปลูกหนึ่งแล้วตอนอยู่ข้างนอก ที่เหลือนี่…พวกคุณแบ่งกันได้เลย” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ “อ้อ เก็บส่วนหนึ่งไว้ให้ไก่น้อยด้วยนะ ถึงมันจะหลับอยู่ แต่ถ้าตื่นเมื่อไหร่ มันต้องบ่นอุบแน่ถ้าเราไม่เก็บไว้ให้”
ซุนฉางรีบจัดการแบ่งสรรปันส่วนผลไม้
แม้ผลไม้เหล่านี้จะยังไม่สุกดี แต่พลังจิตวิญญาณที่อยู่ในนั้นก็มีมากกว่าในหญ้าป่า ทันทีที่กัดเข้าไป ความอ่อนล้าที่พวกเขาสะสมมาหลายวันก็หายวับไป ราวกับมีใครสักคนถ่ายทอดพลังงานและพลังชีวิตเข้าสู่ร่างกาย
จางเซวียนยืนอยู่ที่ปากถ้ำ เขามองรอยยิ้มของคนเหล่านั้นแล้วพยักหน้าอย่างโล่งใจ
หวังหยิ่งเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ คุณกินส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของฉันก็ได้…”
“ไม่ต้องหรอก ก่อนหน้านี้ผมกินไปผลหนึ่งแล้ว คุณกินเสีย และรีบยกระดับวรยุทธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากคุณเข้าถึงระดับของเทพเจ้าเมื่อไหร่ ก็จะช่วยผมได้มาก…” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ
จากนั้น สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นทันทีขณะกำชับหวังหยิ่ง “บอกทุกคนให้อยู่กันเงียบๆนะ ถ้าไม่ใช่ผมเรียก ห้ามออกไปโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”
ทันทีที่พูดจบ จางเซวียนก็พุ่งปราดออกจากถ้ำ หายวับไปท่ามกลางหุบเขาในชั่ว 2-3 อึดใจ
เมื่อจางเซวียนจากไปแล้ว หวังหยิ่งรีบนำเถาวัลย์ที่ห้อยระเกะระกะอยู่ด้านนอกมาอำพรางปากถ้ำไว้ไม่ให้ใครเห็น จากนั้นก็หันกลับมามองคนอื่นๆที่อยู่ในถ้ำด้วยนัยน์ตาแดงเรื่อ
รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จ้าวหย่ารีบเดินเข้ามาไต่ถามอย่างวิตก “มีอะไร?”
“ไม่มีอะไรหรอก” หวังยิ่งรีบก้มหน้า “ท่านอาจารย์บอกพวกเราให้ระวังตัว และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามออกไปข้างนอกโดยเด็ดขาด ฉันคิดว่าท่านอาจารย์คงออกไปหาอาหารอีกรอบ”
หวังหยิ่งจ้องผลไม้ครึ่งซีกในมือของเธอ น้ำตาปริ่มลูกตาโดยไม่อาจกลั้นไว้ได้ เธอก้มหน้างุดแล้วเดินไปที่มุมหนึ่งของถ้ำ
คนอื่นอาจไม่ทันสังเกตเห็น แต่ด้วยความละเอียดลออและช่างสังเกตสังกาของเธอ เธอดูออกว่าท่านอาจารย์ยังไม่ได้กินผลไม้พวกนี้แม้แต่คำเดียว
ด้วยสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดของสรวงสวรรค์ ท่านอาจารย์จึงมักกลับถึงถ้ำด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ถึงอย่างนั้น ก็เก็บอาหารที่ดีที่สุดไว้ให้พวกเธอเสมอ
ท่านอาจารย์ทำงานหนักที่สุด แต่ก็ต้องหิวโซกว่าคนอื่นๆ
แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เธอแสนปวดใจ
ในชีวิตของหวังหยิ่ง ไม่มีการตัดสินใจครั้งไหนที่ดีไปกว่าการเดินเข้าไปในชั้นเรียนนั้นและยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ของเธอ!
น้ำตาของหวังหยิ่งไหลอาบแก้ม เธอรู้สึกว่าชีวิตในสรวงสวรรค์ก็ไม่ได้ขมขื่นเสียทีเดียว มันมีความหวานปนอยู่เช่นกัน
จางเซวียนไม่รู้ว่าหวังหยิ่งรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ตอนนี้เขากำลังซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้สูงและแอบดูบริเวณโดยรอบ
มนุษย์
มีอยู่หลายคน ล้วนแต่เป็นวัยรุ่น
เมื่อครู่นี้เขาได้ยินเสียงอึกทึกวุ่นวายดังมาจากระยะไกล จึงกำชับหวังหยิ่งให้อยู่เงียบๆและซ่อนตัวให้ดี ก่อนจะรีบออกมาด้วยความร้อนใจ
ในกลุ่มนั้นมีทั้งเด็กชายและเด็กหญิงวัยรุ่น ทุกคนสะพายเป้เหมือนพวกเดินป่า ดูเหมือนกำลังเสาะหาอะไรบางอย่าง
คนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มวัยรุ่นทั้งเจ็ดคนดูจะมีอายุราว 17 ปี แต่วรยุทธของเขาแข็งแกร่งและมั่นคง อีกฝ่ายเป็นเทพเจ้าเหมือนจางเซวียน!
สิ่งที่จางเซวียนสังเกตเห็นก็คือแม้ภูมิประเทศในหุบเขาแห่งนี้จะทุรกันดาร แต่วัยรุ่นทั้งกลุ่มก็ดูจะคุ้นเคยกับมันดี ทุกคนเดินลัดเลาะไปโดยแทบไม่มีปัญหาใดๆ
เห็นพระอาทิตย์สีแดงก่ำกำลังจะลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มหันไปมองรอบๆ เขาสั่งการพร้อมกับยิ้มออกมา “ใกล้ค่ำแล้ว ค้างแรมที่นี่เถอะ หลังจากที่เราปฏิบัติภารกิจสำเร็จในวันพรุ่งนี้ ก็จะเดินทางกลับทันที ตกลงไหม?”
“ได้สิ!”
เมื่อรู้ว่าจะได้พัก คนที่เหลือดูจะโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด พวกเขารีบวางสัมภาระหนักอึ้งก่อนจะแยกย้ายกันทำงาน
บางคนโปรยผงยาไว้รอบบริเวณนั้นเพื่อป้องกันแมลงและอสูรไม่ให้เข้าใกล้ บางคนเริ่มออกสำรวจหาแหล่งน้ำ บางคนนำเสบียงออกมาและเริ่มประกอบอาหาร…
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารวมตัวกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคนมีบทบาทหน้าที่ของตัวเองและเชี่ยวชาญเรื่องนั้นเป็นอย่างดี
เราต้องหาทางออกไปกับพวกนั้น…จางเซวียนรุ่นคิดหนัก
เขาไม่รู้ว่าสันเขาแห้งแล้งที่เห็นอยู่ในเวลานี้คือที่ไหน แต่แทบไม่มีพลังจิตวิญญาณอยู่เลย อย่าว่าแต่ฝึกฝนวรยุทธ แค่จะหาอาหารก็ยังยาก
ถ้าเขาอยู่ที่นี่คนเดียวก็เป็นเรื่องหนึ่ง แค่ตัดสินใจเดินไปทางไหนสักทางแล้วมุ่งหน้าไปจนกว่าจะได้ออกจากสันเขา แต่เมื่อมีท่านพ่อท่านแม่และศิษย์สายตรงของเขาอยู่ด้วย จางเซวียนก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงใช้เวลา 2-3 วันที่ผ่านมาออกตระเวนสำรวจพื้นที่ และได้รู้ว่าแม้ที่นี่จะมีพลังจิตวิญญาณเบาบางเต็มที แต่ก็พอมีอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังเพ่นพ่านอยู่บ้าง
เป็นการยากที่จะรับมือกับอสูรสวรรค์ โดยเฉพาะหากพวกมันรวมกลุ่มกัน นั่นทำให้เขาเรียนรู้ว่าการออกสำรวจพื้นที่พร้อมกันหลายๆคนเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะเขาไม่อาจรับรองความปลอดภัยให้คนเหล่านั้นได้
แน่นอนว่าหากยังพักแรมที่สันเขาแห่งนี้ก็คงไม่ดี แต่อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องหาเส้นทางที่เหมาะสมให้ได้ก่อน
จางเซวียนจึงตรวจตราทุกตารางนิ้วเพื่อดูว่ามีมนุษย์กลุ่มอื่นพักค้างอ้างแรมอยู่หรือไม่ การได้พบคนกลุ่มใหญ่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงไม่อาจปล่อยให้โอกาสครั้งนี้หลุดมือไป
ปัญหาเดียวก็คือวัยรุ่นกลุ่มนี้ไม่ได้อ่อนแอ หากจางเซวียนพรวดพราดเข้าไปหาคนเหล่านั้น อีกฝ่ายอาจมองว่าเขามีเจตนาร้ายและโจมตีเขาก็ได้ ในเมื่อตอนนี้เขายังไม่หายดี แถมร่างกายยังกระเสาะกระแสะเพราะได้กินแต่หญ้าป่าตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา จึงไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับพวกนั้นได้
อีกอย่าง…
จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ เขาเพ่งมองตรงหน้าและส่ายหัวช้าๆ
ดวงตาหยั่งรู้เป็นเครื่องมือที่พึ่งพาได้ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา มันคือกุญแจที่ทำให้เขาตรวจจับอันตรายได้ล่วงหน้า และเคลื่อนที่ไปรอบหุบเขาได้โดยอิสระ
ส่วนหอสมุดเทียบฟ้า มันเงียบกริบตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เขามาถึงสรวงสวรรค์ และเพิ่งจะฟื้นคืนสภาพขึ้นมาในวันนี้ เป็นไปได้ว่ามันอยู่ระหว่างกระบวนการรวบรวมพละกำลังและอำนาจบางอย่างจากสรวงสวรรค์ เพื่อให้จางเซวียนสามารถนำมันมาใช้ในภายหลัง
ดวงตาหยั่งรู้ทำให้จางเซวียนรู้ว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้ไม่ได้มากันตามลำพัง แต่มีผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งติดตามพวกเขามาในระยะที่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร
เป็นไปได้ว่าอีกกลุ่มมาดูแลความปลอดภัยให้พวกเขา
ไม่อย่างนั้น คนๆหนึ่งจะต้องบ้าบิ่นแค่ไหน ถึงเห็นดีเห็นงามกับการส่งวัยรุ่นทั้งกลุ่มเข้าสู่สันเขาที่แสนจะขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ?
เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งคอยปกป้อง การที่เขาจะใช้พละกำลังเพื่อเสวนากับวัยรุ่นกลุ่มนั้นก็คงไม่เหมาะ แต่ควรจะหาทางเอาชนะใจอีกฝ่ายให้ได้เพื่อจะได้ออกจากสันเขาไปพร้อมกับพวกนั้น แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ ขอแค่เขาได้รู้ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองที่อยู่ใกล้บริเวณนี้มากที่สุดก็ถือว่ายังดี
ดูเหมือนจะมีทางเดียว…
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองของจางเซวียน
เขารีบปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ก่อนจะเดินออกจากพุ่มไม้อย่างเงียบๆ
เมื่ออยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่เครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้จะมีประสิทธิภาพดี ยังดูเหมือนจะทรงพลังกว่าเดิมด้วย ด้วยระดับวรยุทธของเขาในเวลานี้ ต่อให้ใช้ดวงตาหยั่งรู้ก็ไม่อาจมองทะลุการปลอมตัวของตัวเองได้
จางเซวียนเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นสุภาพบุรุษหน้าตาอ่อนโยนที่มีอายุราว 30 ต้นๆ แผ่รังสีอันอบอุ่นออกมา และมีวรยุทธล้ำลึกเกินหยั่งในสายตาของคนอื่นๆ
อย่างน้อยที่สุด จางเซวียนก็แน่ใจว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้ไม่อาจมองทะลุการปรับตัวของเขาได้
เมื่อเตรียมการเรียบร้อย จางเซวียนปรากฏตัวและเอ่ยถาม “ใครกันที่บุกรุกอาณาเขตของผม แถมยังรบกวนความสงบสุขของผมด้วย?”
“นั่นใคร?”
กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังทำอาหารและพักผ่อนต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พวกเขารีบหยิบอาวุธขึ้นมาก่อนจะหันไปทางต้นเสียง
ทุกคนเห็นชายอายุราว 30 ปีคนหนึ่งยืนจังก้าอยู่บนโขดหิน เสื้อคลุมของเขาพริ้วไหวอย่างสง่างาม เมื่อปะทะกับกระแสลมแรง เกิดเป็นภาพอันน่าประทับใจ ราวกับเขาคือเทพเจ้าที่ลงมาสู่โลกใบนี้
นัยน์ตาของชายผู้นั้นเปล่งประกายเย็นเยียบ บ่งบอกความไม่พอใจ
“วางท่าอะไรอย่างนั้น…”
สาวน้อยคนหนึ่งคำรามขณะก้าวออกมา แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาวก็รีบยกมือขึ้นยับยั้งเธอไว้
“ผู้อาวุโส พวกเราคือศิษย์ของสถาบันตะวันรอน มาที่นี่เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ผมต้องขออภัยด้วยหากรบกวนการพักผ่อนของคุณ”
“สถาบันตะวันรอน?” จางเซวียนรีบบันทึกชื่อนั้นไว้ในหัว
เขายังคงวางสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะย้อนถาม “อย่างนั้นหรือ? บังเอิญเสียจริง ผมก็พาลูกศิษย์ของผมมาปฏิบัติภารกิจที่นี่เหมือนกัน”
“อ้อ!” ได้ยินคำนั้น ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาวถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ตั้งคำถามด้วยแววตาที่บ่งบอกความสงสัย “ไม่ทราบว่าคุณมาจากสถาบันไหน?”
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นอาจารย์ ก็น่าจะมีคุณธรรมและหลักการประจำใจ คงไม่โจมตีพวกเขาโดยปราศจากเหตุผล
“พวกนั้นเป็นแค่ลูกศิษย์หัวทื่อไม่กี่คนที่ผมพบระหว่างการเดินทาง จึงพาพวกเขามาสำรวจที่นี่”
เกรงว่าจะพูดอะไรที่ทำให้จบเห่ จางเซวียนจึงใช้คำพูดคลุมเครือไว้ก่อน
ส่วนชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาวก็ดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังส่งสัญญาณบอกว่าไม่เต็มใจจะเปิดเผยเรื่องส่วนตัว จึงประสานมือและพูดว่า “ผู้อาวุโส ในเมื่อคุณมาถึงก่อน พวกเราก็จะหาที่พักใหม่ จะได้ไม่รบกวนคุณ”
เขาออกจะยำเกรงชายที่อยู่ตรงหน้า เพราะไม่อาจหยั่งถึงระดับวรยุทธของอีกฝ่ายได้
เป็นธรรมดาที่เขาจะหวาดกลัวนักรบผู้ทรงพลังสักคนที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นในสันเขาห่างไกล
“ไม่ต้องหรอก คุณบอกว่าคุณมาจากสถาบันตะวันรอนใช่ไหม? ผมบังเอิญรู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ใหญ่ของพวกคุณ และมี 2-3 เรื่องที่อยากสอบถามคุณด้วย”
กว่าจางเซวียนจะพบคนพวกนี้ก็ไม่ง่าย แล้วจะปล่อยไปดื้อๆได้อย่างไร?
“ผู้อาวุโส คุณรู้จักอาจารย์ใหญ่ของพวกเราหรือ?”
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ