ตอนที่ 2162 เราจะกลับ?
เธอมาจากตระกูลใหญ่ และไม่ชอบใครก็ตามที่มาวางก้ามใส่เธอ แต่ก็แทบไม่อยากเชื่อว่าหยางชวนคนนั้นจะเป็นบุคคลที่น่าทึ่งจริงๆ
“ไร้เทียมทาน? พูดอย่างนั้นก็น้อยไป เขาทรงพลังจนน่าสะพรึงทีเดียวแหละ!” โม่หย่วนตอบพร้อมกับส่ายหน้า “เอาเถอะ พวกคุณจะไปทำอะไรก็ทำ หาอะไรกินแล้วพักผ่อนเสีย พรุ่งนี้เช้าเราจะกลับเมืองตะวันรอน เข้าใจไหม?”
“เราจะกลับ? แต่เราเพิ่งมาถึงที่หมายของการปฏิบัติภารกิจเองนะ!” สาวน้อยชะงัก
ถ้าพวกเขาเดินทางกลับ ก็เท่ากับล้มเลิกการปฏิบัติภารกิจใช่ไหม?
“ผมมีหน้าที่เพียงแค่คุ้มกันพวกคุณและคอยระวังหลังให้ การที่ผมปรากฏตัวต่อหน้าพวกคุณแล้วก็แปลว่าภารกิจล้มเหลว แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ผมจะร้องขอทางสถาบันให้พิจารณาเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อที่พวกคุณจะยังคงได้คะแนน” โม่หย่วนตอบ
ภารกิจที่ทุกคนกำลังจะปฏิบัติใช่ว่าจะปราศจากความเสี่ยงเสียทีเดียว เขาไม่อาจแบกรับความรับผิดชอบได้หากเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาลูกศิษย์ของผู้อาวุโส
ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น กลับเมืองตะวันรอนเลยน่าจะดีกว่า
“ขอบคุณมาก ท่านอาจารย์”
เมื่อได้ยินว่าจะยังคงได้คะแนนจากการปฏิบัติภารกิจ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
เหตุผลเดียวที่พวกเขาออกมาปฏิบัติภารกิจก็เพราะอยากได้คะแนน ซึ่งหากได้คะแนนโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโต้แย้ง
ทั้งกลุ่มจัดเตรียมอาหารและที่พักสำหรับการพักค้างคืน
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงใบไม้เสียดสีกันแสกสากก็ดังขึ้นจากหมู่ไม้ คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“คุณคืออาจารย์โม่หย่วนใช่ไหม? ผมชื่อจางเซวียน ศิษย์ของอาจารย์หยางชวน…ผมทราบจากท่านอาจารย์ว่าคุณรู้จักมักคุ้นกับเขา จึงเดินทางมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ…”
ขณะที่เสียงนั้นดังขึ้น ร่างสูงร่างหนึ่งก็ออกมาจากหมู่ไม้ มีอีก 14 คนตามมาติดๆ
“อ้อ น้องจางเซวียนนี่เอง! เชิญทางนี้” โม่หย่วนประสานมือขณะมองทั้งกลุ่มด้วยสีหน้าที่ออกจะสงสัย
เขาแปลกใจที่พบว่าบรรดาลูกศิษย์ของผู้อาวุโสหยางชวนดูจะอ่อนแอไปสักหน่อย
ไม่แปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายร้องขอให้เขาดูแลความปลอดภัยให้บรรดาลูกศิษย์ เพราะเพียงเท่านี้ก็เป็นปาฏิหาริย์แล้วที่พวกนั้นเอาชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางภูเขาอันตรายได้ด้วยระดับวรยุทธที่มีอยู่
ในเวลาเดียวกัน สาวน้อยที่อยู่ด้านหลังโม่หย่วนก็จับจ้องจ้าวหย่า สีหน้าของเธอบึ้งตึงทันที เธอรีบหันกลับไปมองสหายที่อยู่รอบตัว ซึ่งสายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่จ้าวหย่า
เป็นธรรมดาที่คนหน้าตาสะสวยจะได้การต้อนรับที่ดีกว่า
“พวกเรากำลังเตรียมอาหาร กินอาหารเย็นด้วยกันนะ” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวเชื้อเชิญ
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆชำเลืองมองจางเซวียน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า ก็พากันหาที่นั่ง ทุกคนซ่อนตัวอยู่ในถ้ำมาหลายวันแล้ว จึงแสนจะดีใจที่ได้กลับสู่โลกภายนอกอีกครั้ง
“อาจารย์โม่หย่วน นี่คือข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ท่านอาจารย์ของผมสั่งการให้ผมมอบให้คุณ เขาบอกว่าคุณควรปรับเปลี่ยนการฝึกฝนเทคนิควรยุทธให้เป็นไปตามที่เขียนไว้ด้านบนก่อน แล้วเขาจะมอบฉบับสมบูรณ์ให้ในครั้งต่อไปที่เขาพบคุณที่เมืองตะวันรอน” จางเซวียนพูดขณะยื่นใบไม้ใบหนึ่งให้โม่หย่วน
มีถ้อยคำจำนวนหนึ่งเขียนไว้บนใบไม้ด้วยหมึกสีดำ
หลังจากอ่านรายละเอียดจนจบ โม่หย่วนก็หรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ
การวิเคราะห์ของหยางชวนละเอียดลออกว่าที่เขาคิดไว้มาก ขอแค่เขาแก้ไขข้อบกพร่องตามที่อีกฝ่ายระบุ ก็คงรักษาอาการบอบช้ำได้โดยเร็ว และเมื่อทำสำเร็จ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาจะต้องพุ่งพรวดแน่ๆ
“ช่วยส่งมอบความสำนึกในบุญคุณของผมให้ผู้อาวุโสหยางด้วย!” โม่หย่วนตอบ
แน่นอนว่าเขารู้เหตุผลที่อีกฝ่ายจงใจมอบการวิเคราะห์ให้เพียงครึ่งเดียว โดยตัวเขาต้องปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นเสียก่อนถึงจะได้อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ
แต่ถึงอย่างนั้น โม่หย่วนก็ไม่ได้ขุ่นเคืองหยางชวน กลับรู้สึกมั่นอกมั่นใจกว่าเดิม
คนที่ให้ความใส่ใจแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยเพื่อดูแลความปลอดภัยของลูกศิษย์นั้นคือบุคคลที่น่าเคารพยกย่อง รู้จักคนแบบนี้ไว้ก็ไม่เสียหายอะไร
บรรดาลูกศิษย์ของโม่หย่วนเตรียมเสบียงมาไม่มากสำหรับการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ แต่เขาก็ออกไปล่าอสูรสวรรค์มาเพิ่มอีก 2-3 ตัว นี่จึงเป็นอาหารมื้อแรกที่จางเซวียนกับคนอื่นๆได้อิ่มอร่อยหลังจากที่มาถึงสรวงสวรรค์
หยวนเทาปลดปล่อยความเจริญอาหารออกมาอย่างเต็มที่ อาหารปริมาณมหาศาลที่เขากินเข้าไปทำให้คนอื่นๆพากันสงสัยว่ามีอสูรลึกลับซ่อนอยู่ในไส้พุงของเขาหรือเปล่า
โชคดีที่ไก่น้อยยังจำศีลอยู่ ไม่อย่างนั้น ทุกคนคงถูกแย่งชิงอาหารไปก่อนจะทันได้กิน
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกศิษย์ของโม่หย่วน และสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ก็เป็นบรรยากาศที่แสนจะเหมาะกับการพูดคุย ด้วยเหตุนี้ ไม่ช้าทุกคนก็เริ่มสนทนากัน
ทุกคนรับรู้ต้นสายปลายเหตุจากจางเซวียนแล้ว รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรพูด จึงไม่มีใครทำให้โม่หย่วนกับบรรดาลูกศิษย์เกิดความสงสัย
“สหายของคุณถามผมเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของสรวงสวรรค์ ในเมื่อน้องจางก็เคยถามผมมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมเราไม่มาฟังด้วยกันเสียเลย?”
หลังจากท้องอิ่ม ทุกคนก็นั่งล้อมวงกัน โม่หย่วนเริ่มพูด รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของเขา
สรวงสวรรค์นั้นกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต ขนาดเมืองตะวันรอนก็เป็นเพียงจุดเล็กๆบนแผนที่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ แม้ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ของโม่หย่วนจะมาจากตระกูลใหญ่ของเมืองตะวันรอน แต่ก็ไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับภาพรวมของสรวงสวรรค์
จางเซวียนหันมา
ตลอดมื้ออาหาร เขาพยายามชักนำบทสนทนาให้เป็นไปในทิศทางที่จะได้ข้อมูลจากโม่หย่วน และดูเหมือนเขาจะทำสำเร็จ
“สรวงสวรรค์แบ่งออกเป็น 9 กลุ่มอำนาจใหญ่ เป็นที่รู้จักกันในชื่อเก้าเวหา!” โม่หย่วนพูด
“ผมรู้! ท่านอาจารย์กำลังพูดถึงสิบจอมราชันย์เก้าเวหาใช่ไหม?” เรากับจะอวดภูมิรู้กับสาวๆที่เพิ่งได้พบ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวโพล่งออกมา
ในเวลาเดียวกัน สาวน้อยอีกคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของโม่หย่วนก็กำหมัดแน่นอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นภาพนั้น
“ใช่ ผมกำลังพูดถึงสิบจอมราชันย์เก้าเวหา” โม่หย่วนพยักหน้า
“เก้าเวหาประกอบด้วย น่านฟ้าใจกลางเสรี น่านฟ้าบูรพาของมังกรเมฆ น่านฟ้าอุดรของจิตวิญญาณต้นกำเนิด น่านฟ้าประจิมของทองคำแข็งกล้า น่านฟ้าทักษิณของโลกบาดาล น่านฟ้าอาคเนย์ของตะวันแผดเผา น่านฟ้าอีสานของดาบสรวงสวรรค์ น่านฟ้าหรดีของหลิงหลง และน่านฟ้าพายัพแห่งวิญญาณเร่ร่อนของพวกเรา!”
“เก้าเวหาหมายถึงเก้ากลุ่มอำนาจใหญ่ มีเก้าจอมราชันย์เป็นหัวหน้า ทุกคนมีพละกำลังมหาศาลที่ทำให้สามารถเชิดหน้าใส่คนทั้งโลก คือผู้ที่ใครๆก็ให้ความเคารพ”
ขณะที่โม่หย่วนพูด แววตาของเขาก็ฉายความยกย่อง
เท่าที่จางเซวียนได้ฟัง ดูเหมือนเก้าราชันย์จะทัดเทียมกับเจ้าสำนักของหกสํานักใหญ่แห่งมิติเบื้องบน คือผู้ที่แม่เพียงกระทืบเท้า ทั้งโลกก็สั่นสะท้าน
“ท่านอาจารย์ ผมรู้มาว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เพิ่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเมื่อไม่นานนี้เอง ทำให้ตอนนี้กลายเป็นสิบจอมราชันย์เก้าเวหาแล้ว” ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของโม่หย่วนเสริม
“คุณพูดถูก จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เพิ่งปรากฏตัวขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน” โม่หย่วนพยักหน้า
“พูดถึงจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ต้องยอมรับว่าเขามีสติปัญญาและความปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่ง เพียงไม่กี่ปีหลังจากที่โลกได้รับรู้ชื่อเสียงของเขา เขาก็พุ่งทะยานราวกับดาวตกที่เปล่งประกายเจิดจ้า เขาบีบบังคับจอมราชันย์ 8 คนให้ยอมรับเขาได้แล้ว ขาดก็แต่จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีเท่านั้น ขอแค่ได้การยอมรับจากจอมราชันย์อีกคนหนึ่งที่เหลือ ก็จะหมายถึงการสลับสับเปลี่ยนและจัดสรรอำนาจครั้งใหญ่ในสรวงสวรรค์”
“สิบจอมราชันย์เก้าเวหา?” จางเซวียนพยักหน้า “จอมราชันย์เหล่านั้นสูงส่งกว่าพวกเรามาก ผมอยากรู้เหลือเกินว่าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน…”
ทันทีที่สิ้นเสียง ลูกศิษย์คนหนึ่งของโม่หย่วนก็พยักหน้าขณะตั้งคำถามด้วยความอยากรู้ “ท่านอาจารย์…สิบจอมราชันย์ทรงพลังขนาดไหน? ผมได้ยินว่าพวกเขาสามารถทำลายเมืองใหญ่ๆโดยใช้เพียงนิ้วเดียว เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า?”
“จริงสิ!” โม่หย่วนพยักหน้า “ดูนะ ตอนนี้พวกคุณเป็นเทพเจ้าขั้นต่ำ ขณะที่ผมเป็นเทพเจ้าขั้นกลาง ส่วนเทพเจ้าขั้นสูงก็มีอาจารย์ใหญ่ของเราเป็นตัวอย่าง คุณคงรู้เรื่องนี้แล้วใช่ไหม?”
ทุกคนพยักหน้า
“ที่เหนือไปกว่าเทพเจ้าขั้นสูงคือเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ซึ่งก็แบ่งออกเป็นขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูงเช่นกัน เหนือกว่าเทพเจ้าสวรรค์สร้างคือราชันย์เทพเจ้า พวกเขาไม่ได้แบ่งออกเป็นขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูง แต่แยกเป็นราชันย์เทพเจ้าสามัญกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรตินั้นถือเป็นสุดยอดของสรวงสวรรค์ น่านฟ้าแห่งวิญญาณเร่ร่อนของพวกเรามีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอยู่ไม่ถึง 10 คนด้วยซ้ำ” โม่หย่วนอธิบาย
“และผู้เดียวที่อยู่เหนือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็คือจอมราชันย์…มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ได้การยอมรับจากสรวงสวรรค์ การถือกำเนิดของพวกเขาจะมีสรวงสวรรค์เป็นผู้กำหนดไว้ก่อนแล้ว จะไม่มีมากหรือน้อยกว่านี้อีก และคงเป็นอย่างนี้ไปชั่วนิรันดร์…มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะมีจอมราชันย์ถือกำเนิดขึ้นใหม่ นั่นคือการที่นักรบสักคนได้การยอมรับจากจอมราชันย์ที่อยู่มาก่อน และนั่นคือเหตุผลที่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เข้าท้าทายจอมราชันย์คนอื่นๆคนแล้วคนเล่า!”
เทพเจ้า, เทพเจ้าสวรรค์สร้าง, ราชันย์เทพเจ้าสามัญ, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ, จอมราชันย์…จางเซวียนบันทึกระดับขั้นต่างๆเข้าสู่หัวสมอง
สงสัยเหลือเกินว่าหลัวลั่วชิงอยู่ขั้นไหน…
เธอสามารถขึ้นสู่สรวงสวรรค์จากมิติเบื้องบนได้โดยไม่ต้องผ่านหอเทพเจ้า ฉีกกระชากปราการแห่งมิติเข้าไป…และไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือวีรกรรมที่ไม่มีเทพเจ้าหรือเทพเจ้าสวรรค์สร้างคนไหนทำได้
ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมว่าเธอคือราชันย์เทพเจ้า?
ส่วนเธอจะเป็นจอมราชันย์หรือไม่นั้น พูดกันตามตรง เขาก็ยังไม่กล้าคิดไปไกล เพราะถึงอย่างไรโลกนี้ก็มีจอมราชันย์เพียง 9 คน แต่ละคนเป็นสุดยอดของจักรวาล ไม่น่าเป็นไปได้ที่คนหนึ่งในนั้น จะชอบพอคนจากโลกเบื้องล่างอย่างตัวเขา
ต่อให้เขามีหอสมุดเทียบฟ้า ช่องว่างระหว่างตัวเขากับจอมราชันย์ก็ยังห่างไกลกันเกินไป