“ไม่ต้องหรอก มัวรวบรวมข้อมูลก็ยุ่งยากเกินไป ไปหาอัศวินอิสระและให้พวกนั้นส่งจดหมายท้าดวลไปยังผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็พอ ผมจะสู้กับคนที่อยู่ใกล้เราที่สุด!” จางเซวียนตอบ
เขาไม่แยแสสักนิดว่าคู่ต่อสู้ของเขาเป็นใคร
ถึงตอนนี้เขาจะยังไม่รู้ระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แท้จริงของตัวเอง แต่ก็มั่นใจว่าจะเอาชนะนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างได้สบาย
หลังจากที่กายเนื้อของเขาได้รับการบ่มเพาะจากทะเลสาบจันทร์กระจ่าง มันก็แข็งแกร่งขึ้นมากจนมีประสิทธิภาพดีพอจะต้านทานการโจมตีของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงคนไหนก็ได้ อีกทั้งเวทนาสวรรค์ของเขาก็เหนือชั้นกว่าเทคนิควรยุทธใดๆในสรวงสวรรค์ เขาไม่มีทางพ่ายแพ้นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงคนไหน
แต่นั่นแหละ ต้องยอมรับว่าระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขายังอ่อนด้อยไปสักหน่อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
“คุณจะท้าทายทุกคนที่อยู่แถวนี้?” ฉีหลิงเอ๋ออ้าปากค้าง
สมกับเป็นผู้ครอบครองสายเลือดจอมราชันย์ ช่างบ้าดีเดือดเหลือเกิน!
แต่คำพูดนั้นก็บอกชัดว่าเขามั่นใจว่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้า ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น ความกังวลของเธอก็เปล่าประโยชน์
…..
ตำหนักบาดาลแน่นขนัดกว่าปกติ บรรยากาศของความตึงเครียดอบอวลไปทั่ว
ฉีเยว่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
“ผมคือนักรบคนหนึ่งใน 30 อันดับแรกของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้ามังกรเมฆ ได้รับคำเชิญจากสมาคมนายแพทย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนให้มาแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาเรื่องวิถีทางของการรักษาโรค”
“แต่ในเมื่อสมาคมนายแพทย์ยังไม่พร้อมจะต้อนรับพวกเรา ตอนนี้ผมจึงว่างอยู่ ก็เลยมาที่นี่ด้วยความอยากรู้ว่าผู้ที่อยู่ใน 30 อันดับแรกของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนจะแข็งแกร่งทรงพลังแค่ไหน ผมอยากเปรียบเทียบนักรบของพวกคุณกับนักรบของน่านฟ้ามังกรเมฆ เพราะฉะนั้น ไม่ทราบว่ามีใครเต็มใจจะต่อสู้กับผมหรือเปล่า?”
ชายเสื้อคลุมสีขาวเอาสองมือไพล่หลังขณะกวาดตามองฝูงชนที่อยู่รอบตัว มีเขามังกรคู่หนึ่งงอกออกจากหน้าผากของเขา เปล่งประกายสีทองระยิบระยับ
แม้เขานั้นจะไม่ยาวเท่าไหร่ แต่ก็ดูโดดเด่นมาก
“บังอาจ!”
“ที่ผ่านมา พวกเราจะส่งจดหมายเชิญเพื่อติดต่อกับนักรบจากน่านฟ้าอื่น นายแพทย์อย่างคุณช่างอวดดีเหลือเกินที่กล้าพูดกับพวกเราแบบนี้!”
“ทุกคน ใจเย็นก่อน การที่เขามีเขามังกรสีทองก็บอกชัดว่าตัวเขาคือผู้ครอบครองสายเลือดของจอมราชันย์มังกรเมฆ เป็นผู้สืบเชื้อสายของจอมราชันย์ เรื่องนี้อาจไม่ง่ายอย่างที่พวกเราคิด”
“เขาก็แค่คนที่ดีแต่อาศัยสายเลือดของตัวเอง พวกเราก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทรงพลังขนาดนั้น!”
คำพูดอวดดีของชายเสื้อคลุมขาวทำให้ฝูงชนพากันโกรธเกรี้ยว
อีกฝ่ายคือนายแพทย์ที่มาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนภูมิปัญญากับสมาคมนายแพทย์ของพวกเขา ต่อให้ ติด 1 ใน 30 อันดับของการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้ามังกรเมฆ ก็ดูไม่เหมาะสมและแสนจะอวดดีที่ยั่วยุพวกเขาแบบนี้
ความไร้มารยาทบ่งบอกถึงการไม่ให้ความเคารพต่อน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน
หากไม่ตอบโต้ให้สาสม น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนคงเป็นที่หัวเราะเยาะของน่านฟ้าอื่นๆ
“ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร? และคุณอยู่อันดับไหนในการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าของน่านฟ้ามังกรเมฆ?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน เขาโบกมือให้คนอื่นๆเงียบ จากนั้นก็หรี่ตาเพื่อประเมินชายเสื้อคลุมขาว
เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอัจฉริยะอันดับต้นๆของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน, เสิ่นถูเฟิง!
เขาคือนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักรบรุ่นหลังของตระกูลเสิ่นถู และเคยพยายามฝ่าด่านวรยุทธเป็นราชันย์เทพเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ล้มเหลว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ผ่านการทดสอบมาได้ ทำให้สามารถยกระดับกายเนื้อและวรยุทธของจิตวิญญาณจนเทียบเท่ากับราชันย์เทพเจ้า
เพียงแต่ยังไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณได้สำเร็จก็เท่านั้น
ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาในเวลานี้แทบไม่ได้อ่อนด้อยกว่าราชันย์เทพเจ้าโดยทั่วไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือนักรบหมายเลขหนึ่งในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าระดับราชันย์เทพเจ้า และตำแหน่งของเขาก็ไม่มีใครท้าทายมาหลายปีแล้ว
“ผมชื่ออ้าวหัว ได้รับเกียรติให้อยู่ในอันดับ 9 ของการจัดอันดับของน่านฟ้ามังกรเมฆ!” ชายเสื้อคลุมสีขาวตอบอย่างภาคภูมิใจ
“อันดับ 9?”
ฝูงชนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
ทุกคนรู้อยู่ว่าจอมราชันย์มังกรเมฆคือมังกรสายเลือดบริสุทธิ์ เป็นเจ้าของอสูรทั้งปวง สายเลือดของเขาทรงพลังมากถึงขนาดที่แทบไม่มีใครเทียบชั้นได้ ใครก็ตามที่ได้ครอบครองสายเลือดของเขา, ทันทีที่แปรสภาพไปเป็นมังกรเลือดบริสุทธิ์ ก็จะถือเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานในระดับขั้นของตัวเอง
ก่อนจะเกิดปรากฏการณ์การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ น่านฟ้าทั้ง 9 เคยจัดการประลองของนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขึ้นมาครั้งหนึ่ง ซึ่งนอกเสียจากน่านฟ้าเสรีและน่านฟ้าดาบสวรรค์ เหล่านักรบของน่านฟ้ามังกรเมฆก็มีอัตราการได้ชัยชนะสูงสุด
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาแปรสภาพไปเป็นมังกรสายเลือดบริสุทธิ์ ด้วยร่างกายที่ขยายใหญ่ออกไปหลายร้อยเมตรและเกล็ดที่เป็นเครื่องคุ้มกันชั้นเยี่ยม นักรบที่เป็นมนุษย์ทั่วไปไม่มีโอกาสเอาชนะพวกเขาได้เลย
ด้วยเหตุนี้ การจัดอันดับของน่านฟ้ามังกรเมฆจึงดูจะมีน้ำหนักกว่าน่านฟ้าอื่นๆ
และนี่คือเหตุผลที่ทำให้อ้าวหัวคนนี้กล้าท้าทายพวกเขาด้วยความโอหัง
การรั้งอันดับ 9 แปลว่าพละกำลังของอ้าวหัวจะต้องน่าสะพรึงไม่น้อย
“ในเมื่อคุณเอ่ยปากท้า ก็คงดูไม่ดีหากพวกเราปฏิเสธ ให้ผมเผชิญหน้ากับคุณก็แล้วกัน ผมอยากเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญของน่านฟ้ามังกรเมฆเก่งกาจสมกับความอวดดีหรือเปล่า!”
ขณะที่พูดคำนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุราว 30 ปีก็เดินตรงเข้าหาอ้าวหัว เขาสวมเสื้อคลุมสีดำที่แนบไปกับรูปร่างราวกับชุดเกราะแนบเนื้อ
“คุณชื่ออะไร? ผมไม่สู้กับนักรบนิรนามหรอกนะ” อ้าวหัวตอบอย่างไม่แยแส
เมื่อถูกหยามหน้า ชายหนุ่มกัดฟันกรอดและคำราม “ผมคือผู้รั้งอันดับ 10 ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน, เฉินมู่ ผมขอรับคำท้า โดยผลของการประลองครั้งนี้ไม่จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน!”
เห็นภาพนั้น เสิ่นถูเฟิงกับคนอื่นๆต่างเงียบกริบ ไม่ยับยั้งชายหนุ่ม
ในเมื่ออ้าวหัวรั้งอันดับ 9 ของน่านฟ้ามังกรเมฆ ก็ไม่เสียหายอะไรที่ผู้รั้งอันดับ 10 ของพวกเขาจะท้าทายอีกฝ่าย เพราะหากเอาชนะได้ ชื่อเสียงของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนก็จะขจรขจาย แต่หากแพ้ พวกเขาก็ไม่ได้ดูแย่
นี่คือโอกาสดีที่จะได้ทดสอบความแข็งแกร่งของอ้าวหัว หากเฉินมู่แพ้ ผู้ที่จะเผชิญหน้ากับเขาเป็นคนต่อไปก็จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า
“คุณนี่ไร้สติจริงๆ!” อ้าวหัวคำรามขณะก้าวออกไป
มันเป็นแค่ย่างก้าวธรรมดาก้าวหนึ่ง แต่ดูราวกับเขาทะลุมิติเขาไปปรากฏตัวตรงหน้าเฉินมู่อย่างฉับพลัน จากนั้นก็โถมตัวเข้าใส่
“คุณรนหาที่ตายแล้ว!”
คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจการป้องกันตัว เลือกที่จะใช้ร่างกายล้วนๆเล่นงานเขา เฉินมู่โมโหจนหน้าแดงก่ำ
ดูเหมือนอ้าวหัวจะคิดว่าการโจมตีของเขาไม่อาจทำอันตรายใดๆได้
เฉินมู่เงื้อมือขึ้นและเล่นงานอ้าวหัวที่กำลังพุ่งเข้ามา ฝ่ามือของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวเล็กน้อย
ฝ่ามือเปลวเพลิงแผดเผา!
กว่าจะเชี่ยวชาญพลังฝ่ามือนี้ เฉินมู่ต้องใช้ลาวาใต้ดินที่ไหลพล่านอยู่ในเส้นเลือดปฐพีเพื่อบ่มเพาะฝ่ามือของเขา การสำแดงพละกำลังทำให้ฝ่ามือนั้นร้อนผ่าวเป็นไฟ อะไรก็ตามที่สัมผัสกับฝ่ามือจะต้องมอดไหม้
ก็เพราะอานุภาพโดดเด่นของพลังฝ่ามือนี้ที่ทำให้เขาเอาชนะคู่ต่อสู้มากมายและก้าวขึ้นสู่อันดับ 10 ของการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า
แต่ถึงจะโมโหกับการสบประมาทของอ้าวหัว เฉินมู่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคือคู่ต่อสู้ผู้ไร้เทียมทาน จึงตัดสินใจใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เริ่ม
ชายเสื้อคลุมสีขาวไม่แม้แต่จะหลบการโจมตีของเฉินมู่ เขาปล่อยให้ฝ่ามือเปลวเพลิงแผดเผาปะทะร่างของเขาอย่างจัง
เห็นภาพนั้น เฉินมู่ตาโตด้วยความยินดีปรีดา
แต่ขณะที่เขาคิดว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อม ก็เห็นสีหน้าสะใจของอีกฝ่าย
เวรแล้ว หรือนี่คือกับดัก?
สีหน้าของอ้าวหัวทำให้เฉินมู่เย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง สัญญาณเตือนในหัวของเขาดังไม่หยุด เมื่อรู้แล้วว่าอ้าวหัวมีแผน เฉินมู่รีบถอนฝ่ามือกลับและล่าถอย
ในฐานะผู้รั้งอันดับ 10 ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน สัญชาตญาณการต่อสู้ของเขาย่อมไม่ธรรมดา
แต่แม้จะถอยอย่างไว อ้าวหัวก็เร็วกว่า เขาเพิ่มความเร็วของการโจมตี ตั้งใจจะเล่นงานเฉินมู่ให้แพ้ราบคาบ
เฉินมู่เงื้อมือขึ้นปกป้องตัวเอง แต่แรงปะทะจากการโจมตีทำให้มันแหลกสลายไป ไม่เพียงเท่านั้น หน้าอกของเขายังถูกแรงปะทะหนักหน่วงจนแม้จะพูดสักคำก็ยังไม่ได้ เสียงครางหลุดรอดออกจากปากขณะที่เขาถูกสอยกระเด็นไป
เลือดสดๆกระจายไปทั่วขณะที่กระดูกหัวไหล่กับกระดูกซี่โครงของเขาแหลกละเอียด
“เรียบร้อย!” อ้าวหัวเอาสองมือไพล่หลังอย่างไม่แยแส
ราวกับผู้ที่สู้กับเขาก่อนหน้านี้ไม่มีความหมายเลย เสื้อผ้าของเขาไม่มีแม้แต่รอยยับย่น น้ำเสียงก็ยังสุขุมและผ่อนคลายเหมือนเดิม
ฝูงชนพากันอ้าปากค้างขณะที่ประเมินพละกำลังของอ้าวหัวอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นจนจบ อ้าวหัวใช้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น คือการโถมร่างเข้าใส่ แต่กระบวนท่าเดียวนี้ก็เกินพอจะเล่นงานเฉินมู่ ทำให้อีกฝ่ายสูญเสียพละกำลังไปอย่างสิ้นเชิง
“ผมคือฉีเยว่ ผู้รั้งอันดับ 6!” ฉีเยว่เดินออกมาและแนะนำตัว
การปรากฏตัวของจางเซวียนที่ตระกูลฉีทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจครั้งใหม่ ผลักดันให้ฝึกฝนหนักกว่าที่เคย เพียงสองสามวันเขาก็ขัดเกลาวรยุทธจนก้าวหน้าขึ้นมาก รังสีและพลังปราณเข้มข้นกว่าแต่ก่อน สิ่งนี้ทำให้ฉีเยว่มีพละกำลังสูงกว่านักรบรุ่นเดียวกัน
“ได้สิ ยินดีที่ได้พบคุณ เริ่มกันเลย!” อ้าวหัวตอบอย่างสบายใจขณะพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง
แล้วทั้งคู่ก็สู้กันอุตลุด
…..
จางเซวียนตามฉีหลิงเอ๋อเข้าสู่ห้องขนาดใหญ่ของตำหนักบาดาล แต่ไม่เห็นใครสักคน เขาได้แต่ขมวดคิ้ว “นี่คือสถานที่ที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนใช้คัดเลือกผู้ที่คู่ควรต่อการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าหรือ แล้วทำไมไม่มีใครเลย?”
“มันแปลกนะ ปกติก็น่าจะมีคนอยู่บ้าง เท่าที่ฉันรู้…” ฉีหลิงเอ๋อก็งง
การดวลระหว่างผู้ที่เข้ารับการจัดอันดับจะเกิดขึ้นในห้องนี้ จึงมีผู้คนจำนวนหนึ่งแวะเวียนมาที่นี่ทุกวันเพื่อดูสถิติ หวังว่าจะได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง
ห้องนี้แทบจะไม่เคยว่างเว้นการมีผู้คน จึงออกจะน่าแปลกที่ตอนนี้ไม่มีใครเลย
“ดูเหมือนจะมีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ตรงนั้น” จางเซวียนพูด
เขาออกเดินไปที่นั่นโดยไม่รอคำตอบของฉีหลิงเอ๋อ