ถ้าพวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าทั้งเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณและจอมราชันย์มังกรเมฆล้วนเป็นชาย คงสงสัยว่าทั้งคู่แอบมีความสัมพันธ์ลับๆกันหรือเปล่า!
ส่วนจางเซวียนที่อยู่บนสังเวียนประลองก็ยังไม่รู้ตัวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงครั้งใหญ่ เขาเดินตรงเข้าหามังกรตัวมหึมาที่ยังคงชักกระตุกและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายซึ่งแทบจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาเสียอีก จากนั้นก็เอ่ยถาม “ว่าอย่างไร? จะยอมแพ้ไหม? ผมน่ะอยากเล่นกับคุณอีกสักรอบ แต่พอดีมีธุระต้องทำ…”
ทั้งๆที่ยังชักกระตุก แต่มังกรตัวมหึมาก็เริ่มลดขนาดลงจนสุดท้ายก็กลายร่างกลับเป็นมนุษย์
อ้าวหัวกัดริมฝีปากอย่างร้อนใจ เขารีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับ “ศิษย์น้องอ้าวหัวคารวะบรรพบุรุษ!”
“บรรพบุรุษ?” จางเซวียนงง
เกิดอะไรขึ้นล่ะนี่?
เขาก็แค่ทดสอบดูว่าแปดโน้ตมังกรสวรรค์มีผลต่อมังกรสายเลือดบริสุทธิ์หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะใช้ได้ผลดีขนาดนี้ เพราะไม่เพียงแต่คู่ต่อสู้ของเขาจะร่วง ยังแถมเรียกเขาว่าบรรพบุรุษด้วย
การต่อสู้เมื่อครู่นี้ทำให้สมองของหมอนี่กระทบกระเทือนหรือไง?
จางเซวียนงง แต่ก็คุ้นชินกับสถานการณ์พิลึกพิลั่นแบบนี้ จึงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เขาพยักหน้า “ตอนนี้ผมเข้าแทนที่อันดับ 9 ของคุณในการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้าได้แล้วใช่ไหม?”
“เอ่อ…” อ้าวหัวมองหน้าจางเซวียนด้วยแววตาสงสัยระคนหวาดกลัว เขาเอ่ยถามอย่างลังเล “คะ-คุณไม่เคยเข้าร่วมการทดสอบที่น่านฟ้ามังกรเมฆเลยหรือ?”
อีกฝ่ายมีสายเลือดที่บริสุทธิ์กว่าตัวเขาหลายเท่า ถ้าชายผู้นี้เคยเข้าร่วมการทดสอบ ก็น่าจะรั้งอันดับสูง แต่อ้าวหัวรู้ว่าทั้ง 8 อันดับก่อนหน้าเขาเป็นใคร ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ใช่หนึ่งในคนเหล่านั้น!
เขาไม่เคยเข้าร่วมการทดสอบมาก่อนเลยหรือ?
จางเซวียนมองอ้าวหัวและนิ่งไปครู่หนึ่ง “ผมอยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน จะเข้ารับการทดสอบที่น่านฟ้ามังกรเมฆได้อย่างไร?”
การต่อสู้เมื่อครู่นี้คงเขี่ยสมองของหมอนี่กระเด็นกระดอนไปหมดแล้ว! มันเรื่องอะไรถึงถามคำถามประหลาดแบบนั้น?
“ฮะ?” อ้าวหัวงงอีกครั้งกับคำตอบของจางเซวียน
หรือว่าชายหนุ่มคือบรรพบุรุษคนหนึ่งที่บังเอิญอยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน?
เมื่อลองคิดดู ในทุกๆปี น่านฟ้ามังกรเมฆของเขาจะพบคนจำนวนหนึ่งจากน่านฟ้าอื่นที่มีสายเลือดมังกร เพียงแต่สายเลือดของคนเหล่านั้นมักจะเบาบางมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอคนนอกซึ่งมีสายเลือดบริสุทธิ์กว่าตัวเขาเสียอีก
อ้าวหัวอยากถามต่อ แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มมองเขาอย่างหงุดหงิดราวกับเขาเป็นพวกนักต้มตุ๋นที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้ จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่และตอบว่า “ผมรั้งอันดับ 9 ของน่านฟ้ามังกรเมฆ ดังนั้น การดวลของเราจึงไม่ส่งผลต่อการจัดอันดับของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน…ผู้รั้งอันดับ 1 ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน, เสิ่นถูเฟิง คือชายผู้นั้นที่ผมเพิ่งเอาชนะไป ใช่…คุณชี้ถูกคนแล้วล่ะ คนที่มีเลือดกรังที่มุมปากนั่นแหละ ใช่แล้ว…”
เห็นสายตาทุกคู่เปลี่ยนมาจับจ้องเขา เสิ่นถูเฟิงพยายามวางมาดสุขุมที่สุดและพูดว่า “ใช่ ผมคือผู้รั้งอันดับ 1 ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน!”
คงดูดีกว่านี้มากถ้าริมฝีปากของเขาไม่เปรอะเลือดและใบหน้าไม่บวมเป่งแบบนี้
จางเซวียนอ้าปากค้าง
หมอนั่นคือผู้รั้งอันดับ 1 จริงๆหรือ?
เพราะฉะนั้น พูดง่ายๆก็คือก่อนที่ตัวเขาจะมาถึงที่นี่ อีกฝ่ายก็ถูกเล่นงานไปแล้วใช่ไหม?
เรื่องนี้อธิบายได้เลยว่าทำไมคู่ต่อสู้ของเขาถึงกลายร่างเป็นมังกรสายเลือดบริสุทธิ์ได้! หลังจากงุนงงอยู่นาน สุดท้ายก็กลับกลายเป็นว่าเขามาจากน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆนี่เอง
ฉีหลิงเอ๋อพูดไม่ออก
เธอเพิ่งกลับเมืองหลวงได้ไม่นาน ยังไม่รู้จักมักคุ้นกับผู้ติดโผการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ จึงไม่รู้ว่าผู้รั้งอันดับ 1 ก็อยู่ที่นี่ด้วย
เธอคิดว่าพวกที่นอนแผ่ล้วนแต่อ่อนแอกว่าฉีเยว่ ใครจะไปรู้ว่าแม้แต่ผู้รั้งอันดับ 1 ก็อยู่ที่นี่?
เพราะฉะนั้น ชายที่จมูกหักและหน้าตาบวมเป่งคนนี้ก็คือนักรบอันดับ 1 ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน…ผู้ที่เป็นสเปกในฝันของหญิงสาวมากมายนับไม่ถ้วน!
แย่สิ้นดี!
ไม่แปลกใจแล้วที่นายน้อยจางบอกไว้ว่าเขาจะท้าทายใครก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสุดท้ายเขาก็มีพละกำลังมากพอจริงๆ…
นอกจากใช้เวลาฝ่าด่านวรยุทธเพียงสองอึดใจ ยังเอาชนะผู้รั้งอันดับ 1 ที่ฝึกฝนวรยุทธมาไม่รู้กี่ปีได้อย่างง่ายดาย
สายเลือดจอมราชันย์ช่างน่าสะพรึงเสียจริงๆ!
ฉีหลิงเอ๋ออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับความเหลื่อมล้ำของผู้คนที่มีมาแต่กำเนิด
ดูเหมือนถึงเวลาแล้วที่เธอจะเปลี่ยนวิธีคิด ควรเลิกใช้สามัญสำนึกทำความเข้าใจจางเซวียนเสียที
จอมราชันย์คือความผิดปกติของธรรมชาติ เพราะพวกเขาทำในสิ่งที่คนอื่นไม่อาจทำได้ ทุกคนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากให้ความยำเกรง
“ในเมื่อคุณเอาชนะผู้รั้งอันดับ 1 ได้ และจากนั้นผมก็ชนะคุณ แสดงว่านับรวมกันได้ใช่ไหม?”
หลังจากได้สู้กันแล้ว จางเซวียนก็ไม่คิดว่าคู่ต่อสู้ของเขาเป็นอะไรที่พิเศษไปกว่าไม้ประดับ เขามีสีหน้ายุ่งยากใจ จากนั้นก็ชำเลืองมองบรรดานักรบที่นอนระเกะระกะอยู่กับพื้นขณะพึมพำ “ผมควรท้าดวลกับคนพวกนี้เพื่อความแน่ใจด้วยหรือเปล่า?”
เหล่าอัศวินอิสระก็ไม่ได้อยู่ดูแลการดวลที่นี่ เขาจึงไม่แน่ใจว่าการต่อสู้เมื่อครู่นี้จะได้การยอมรับไหม ถึงอย่างไร ปลอดภัยไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย เพราะไม่อย่างนั้น คงยุ่งยากไม่น้อยหากเขาต้องกลับมาดวลอีกครั้ง
“อะ-อะไรนะ? ยะ-อย่าทำแบบนั้นเลย!” เสิ่นถูเฟิงโพล่งออกมา “ผมจะรายงานเรื่องนี้อย่างละเอียดต่อเหล่าอัศวินเสรีและยอมแพ้คุณ”
เขายินดียอมแพ้และสละตำแหน่งมากกว่าจะพ่ายแพ้ยับเยินให้ใครคนหนึ่งที่เห็นกันชัดๆว่าเหนือชั้นกว่าเขา
ขนาดอ้าวหัวยังไม่ต่างอะไรกับเด็กทารกเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้ และตัวเขาเองก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กทารกเมื่ออยู่ต่อหน้าอ้าวหัว…
ต่อให้เขาฝึกฝนวรยุทธอีกร้อยปี ก็มองไม่เห็นหนทางที่จะเอาชนะชายหนุ่มได้ เว้นเสียแต่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นราชันย์เทพเจ้าได้สำเร็จ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น รีบยอมแพ้เพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้ต้องทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นจะดีกว่า
“อย่างนั้นหรือ? ถ้าได้แบบนั้นก็ดี” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
เรื่องนี้จบง่ายกว่าที่เขาคิดไว้มาก แต่ทันทีที่เขาหวนนึกถึงเงื่อนไขของการเข้าถึงความเป็นเลิศในวิชาชีพ ก็พลันปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง
ใช่สิ เดี๋ยวก่อน…
จางเซวียนหันไปถามอ้าวหัว “เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าคุณมาจากน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆ?”
“ใช่แล้ว บรรพบุรุษ” อ้าวหัวตอบอย่างนอบน้อม
“ผมรู้มาว่าน่านฟ้ามังกรเมฆส่งนายแพทย์กลุ่มหนึ่งมาที่นี่เพื่อท้าทายสมาคมนายแพทย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน นั่นเป็นความจริงหรือเปล่า?”
“เป็นความจริง ผมคือคนหนึ่งในกลุ่มนั้น” อ้าวหัวตอบ
“ผมอยากเข้ารับการประเมินทักษะการรักษาโรคเพื่อให้ได้รับสิทธิ์เข้าใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ แต่พวกสมาคมนายแพทย์กำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวรับมือกับพวกคุณในการประลองนายแพทย์ จึงไม่มีเวลาจัดการเรื่องอื่น ถ้าผมจะขอให้กลุ่มของคุณทำการทดสอบผมแทน…จะเป็นไปได้ไหม?” จางเซวียนถาม
หลังจากถามรายละเอียดจากฉีหลิงเอ๋อ เขาก็รู้ว่าเพียงแค่ได้การรับรองจากใครสักคนที่มีชื่อเสียงในสาขาวิชาชีพนี้ก็เพียงพอแล้ว
ในเมื่อกลุ่มนายแพทย์ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อนติดภารกิจอื่น ขอความช่วยเหลือจากน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆก็ได้!
เป้าหมายของเขาคือการได้ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่เท่านั้น ใครจะเป็นผู้ทดสอบก็ไม่สำคัญ
“คุณอยากเข้ารับการประเมินทักษะการรักษาโรคหรือ?” อ้าวหัวถาม
จางเซวียนพยักหน้า “ถูกต้อง”
อ้าวหัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ผมคิดว่าน่าจะทำได้ เพราะประธานสมาคมนายแพทย์และเหล่าผู้อาวุโสก็มากับพวกเรา ด้วยสถานภาพของพวกเขาในแวดวงนายแพทย์ ก็น่าจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้เปิดการทดสอบ…ผมจะพาคุณไปหาพวกเขาก็แล้วกัน”
แม้น่านฟ้ามังกรเมฆจะมีมังกรสายเลือดบริสุทธิ์เป็นผู้ปกครอง แต่ก็ไม่ได้มีแต่สมาชิกของเผ่าพันธุ์มังกรเท่านั้น ยังมีมนุษย์ทั่วไปอาศัยปะปนอยู่ด้วย ซึ่งประธานสมาคมนายแพทย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ถึงจะไม่ได้มีสายเลือดมังกร แต่ทักษะการรักษาโรคของเขาก็เป็นเลิศจนได้รับความเคารพจากน่านฟ้าอื่นๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมเลย” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่
เมื่อประตูบานหนึ่งปิด อีกบานก็จะเปิดออก
เมื่อกี้นี้เองที่เขาเพิ่งถูกสมาคมนายแพทย์ปฏิเสธ ใครจะไปคิดว่าจะได้เจอกับนายแพทย์จากน่านฟ้ามังกรเมฆขณะที่เขาพยายามจะเข้าไปเป็น 1 ใน 30 คนของการจัดอันดับศักยภาพของราชันย์เทพเจ้า?
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เขาไม่ต้องเสียเวลาไปหาสมาคมอื่น
ถึงจางเซวียนจะมั่นใจในทักษะวิชาชีพอื่นๆของเขา แต่ก็ยังลังเลที่จะเปิดเผยให้ใครเห็น เขาสำแดงความเก่งกาจเหนือชั้นเรื่องการหลอมยาไปแล้ว ถ้าโชว์เหนือมากกว่านี้ ก็จะดึงดูดสายตาของผู้คนให้มาจับจ้องเขาโดยไม่จำเป็น
จางเซวียนรีบไปพบอัศวินเสรีพร้อมกับเสิ่นถูเฟิงเพื่อยืนยันอันดับของเขาในการจัดอันดับศักยภาพราชันย์เทพเจ้า ก่อนจะตามอ้าวหัวไปยังที่พักของบรรดานายแพทย์จากน่านฟ้าแห่งมังกรเมฆ
โชคดีที่บ้านพักของพวกเขาอยู่ไม่ไกล นั่นคือเหตุผลที่อ้าวหัวมีเวลาแวะมาท้าทายนักรบคนอื่นๆที่นี่
“คุณอยากใช้ทักษะการรักษาโรคของคุณยืนยันว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ใช่ไหม?”
หลังจากเข้าสู่บ้านพักได้ไม่นาน ผู้อาวุโส 2 คนก็เดินออกมา สุภาพสตรีสูงวัยที่อยู่ทางซ้ายมองจางเซวียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นั่นคือความตั้งใจของผม” จางเซวียนตอบ
“สิทธิ์การใช้ค่ายกลทะลุมิติขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทั้ง 9 น่านฟ้า จำนวนผู้ได้รับสิทธิ์นั้นจึงมีจำกัด สำหรับน่านฟ้ามังกรเมฆของเรา มีนายแพทย์เพียง 2 คนเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นี้ คือเราทั้งคู่”
“แต่เราจะให้โอกาสคุณพิสูจน์ตัวเอง ขอแค่คุณเอาชนะเราสองคนได้ เราก็จะมอบสิทธิ์นั้นให้” ชายชราที่อยู่ทางขวาเสริม
“ตกลงตามนั้น!” จางเซวียนพยักหน้า
เขารู้ดีว่าถึงอย่างไรก็ต้องแข่งขันเพื่อให้ได้รับสิทธิ์ จึงเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วก่อนจะเดินทางมาที่นี่
“ดี!” ชายชราพูด
“ผมคือประธานสมาคมนายแพทย์ของเมืองหลวงมังกรเมฆ, เลี่ยวชิง ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร?”
เป็นธรรมเนียมที่จะต้องถามชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายในเมื่อพวกเขากำลังจะดวลกัน
“ผมชื่อจางเซวียน”
“จางเซวียน?” เลี่ยวชิงทวนคำพร้อมกับพยักหน้าก่อนจะตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ตัวสั่นไม่หยุด
“หรือว่า…คุณคือผู้คิดค้นยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธและยาเม็ดเพิ่มความงาม, นักปรุงยาจางเซวียน?”
“ใช่ ผมเอง” จางเซวียนตอบ