เมื่อคิดได้ จางเซวียนถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างของชายหนุ่มอีกครั้ง
การถ่ายทอดพลังปราณอย่างดุเดือดของจางเซวียนทำให้ฝงจิ่วเกอตัวพองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จนเมื่อมองไกลๆก็ไม่ต่างอะไรกับลูกบอล
เมื่อเห็นฝงจิ่วเกอใกล้หมดความอดทน จางเซวียนหยุดการถ่ายทอดพลังปราณและสั่งการให้อีกฝ่ายฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่เขาเพิ่งถ่ายทอดให้อีกครั้งเพื่อบรรเทาอาการตัวพอง
วงจรนี้วนไปครั้งแล้วครั้งเล่า
จนเมื่อสิ้นสุดครั้งที่ 4 กลุ่มพลังงานสีเทาในร่างของวงฝงจิ่วเกอก็ถูกชำระล้างออกไปจนหมด จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ตอนนี้คุณน่าจะหายดีแล้วล่ะ ลองดูสิ” จางเซวียนยิ้มให้ฝงจิ่วเกอ
เมื่อกลุ่มพลังงานสีเทาถูกชำระล้างไปหมดแล้ว ฝงจิ่วเกอก็น่าจะเรียกพละกำลังและความปราดเปรื่องอย่างเมื่อก่อนกลับคืนมาได้ แถมยังอาจเก่งกาจกว่าเดิมด้วย!
เพราะฝงจิ่วเกอไม่รู้เรื่องกลุ่มพลังงานสีเทา จึงไม่อาจรับรู้ได้ถึงสภาวะร่างกายของตัวเองที่แตกต่างจากเดิมมากอันเป็นผลจากการรักษาของจางเซวียน เขาทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าที่ยังคงสงสัย จากนั้นก็ตั้งต้นขับเคลื่อนพลังปราณโดยใช้เทคนิควรยุทธของเขา
ไม่ช้าก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านี้ พลังปราณของเขาจะหายวับไปทันทีตั้งแต่ยังไม่ทันควบคุมให้มันไหลเวียนได้จนทั่วทางเดินพลังปราณ ซึ่งไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน ก็มีแต่จะสูญเสียพลังงานมากกว่าเดิม
แต่คราวนี้ พลังปราณของเขาไม่เหือดหาย ไม่เพียงเท่านั้น จุดตันเถียนที่อ่อนล้ามานานก็ได้รับการบ่มเพาะจากพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม ความกระชุ่มกระชวยลุกโพลงขึ้นในร่างของเขาราวกับภูเขาไฟ
อันที่จริง พลังจิตวิญญาณที่เขาเพียรฝึกฝนมาตลอด 2 ปีนั้นไม่ได้หายไป แต่ถูกกลุ่มพลังงานสีเทาบดบังไว้
และเมื่อแม่น้ำปราศจากเขื่อนปิดกั้น มันก็ทะลักล้นออกมาท่วมทั่วร่างของเขา ราวกับได้เกิดใหม่!
ฟิ้วววว!
วรยุทธของฝงจิ่วเกอที่กำลังจะร่วงหล่นจากการเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างเพิ่มสูงขึ้นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ฝ่าด่านคอขวดด่านแล้วด่านเล่าอย่างไม่ลดละ
เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-ขั้นกลาง…
เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-ขั้นสูง…
เทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-ขั้นสูงสุด…
เพียงไม่ถึง 15 นาที เขาก็ก้าวข้ามจุดเดิมไปเป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำ-ขั้นสูงสุดได้
“ผม…”
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลภายในร่างกาย ฝงจิ่วเกอนัยน์ตาแดงก่ำ
ตอนนี้ เขารู้ตัวแล้วว่าจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนที่ขวางทางเพื่อก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดได้อีกครั้ง ซึ่งเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาทำสำเร็จก็คือชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
“ท่านอาจารย์!” ฝงจิ่วเกอทรุดตัวลงคุกเข่าและโค้งคำนับ
ก่อนหน้านี้ เขายอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ก็เพราะคิดว่าไม่มีทางเลือกอื่น แต่มาตอนนี้ก็รู้แล้วว่านี่คือการตัดสินใจอันชาญฉลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมาในชีวิต
“ลุกขึ้นเถอะ!” จางเซวียนพูดขณะพยุงฝงจิ่วเกอ
พร้อมกันนั้นเขาก็เพ่งดูหอสมุดเทียบฟ้า และเห็นว่าเกิดหน้าหนังสือสีทองขึ้นหน้าหนึ่งเหมือนเมื่อครั้งเหตุการณ์ของจัวเหยียน
หน้าหนังสือสีทองสองหน้าตั้งเรียงกันอยู่บนชั้นหนังสือ เปล่งประกายเจิดจรัส
“ฝงจิ่วเกอได้วรยุทธของเขากลับคืนมาแล้วหรือ?”
“ไม่เพียงเท่านั้นนะ ยังพัฒนาจนก้าวหน้ากว่าเดิมด้วย!”
“นายแพทย์คนนั้นเป็นใครกัน? น่าทึ่งจริงๆ!”
ฝูงชนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแทบไม่เชื่อสายตา
ผู้อาวุโสคนเมื่อครู่ก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “อะ…อะไรกัน…”
ลงท้ายก็กลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มพยายามรักษาฝงจิ่วเกอจริงๆ! แล้วตัวเขาก็พล่ามอะไรตั้งมากมาย เฮ่ออออ!
จางเซวียนไม่แยแสความตกตะลึงของฝูงชน เขามองหน้าฝงจิ่วเกอและตั้งคำถาม “เมื่อ 2 ปีก่อนคุณพบอะไร วรยุทธของคุณถึงตกฮวบแบบนี้?”
“ผมปฏิบัติภารกิจที่กำหนดให้ผมต้องเดินทางไปยังหลุมดำที่อยู่ใต้เมืองหลวงแห่งนี้” ฝงจิ่วเกอตอบ “ผมพลัดหลงเข้าไปในมิติที่ซุกซ่อนอยู่แห่งหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็หมดสติ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในสภาพนี้แล้ว ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น…”
“หลุมดำใต้เมืองหลวง?” จางเซวียนทวนคำสำคัญที่อยู่ในคำตอบของฝงจิ่วเกอ
เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็ลอยอยู่เหนือหลุมดำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งจริงๆ หรือว่าจะมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในหลุมดำนั้น?
เห็นจางเซวียนไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ฝงจิ่วเกอตั้งต้นอธิบาย “หลุมดำปรากฏขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำให้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งเมืองทรุดตัวลงไปในนั้น สามราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้ใช้พละกำลังมหาศาลรวมทั้งขนนกของจอมราชันย์อมตะเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดให้กลับมารุ่งเรืองดังเดิม ซึ่งก็เป็นอย่างที่คุณเห็นอยู่ทุกวันนี้…”
ในฐานะอดีตสมาชิกสายหลักของตระกูลนกฟีนิกซ์ไฟ เขาพอรู้เรื่องราวที่เป็นความลับสุดยอดของเมืองหลวงอยู่บ้าง
“เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดทั้งเมืองทรุดตัวลงไปในหลุมดำ?” จางเซวียนชะงัก
พูดกันตามตรง เขาเองก็สงสัยตั้งแต่ได้เห็นเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเป็นครั้งแรก เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เมืองๆหนึ่งจะต้องถูกสร้างขึ้นเหนือหลุมดำ และไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะต้องลอยได้ ลงท้ายก็กลับกลายเป็นว่าที่มันเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
เมืองหลวงของทั้งเก้าน่านฟ้าล้วนตั้งอยู่บริเวณใจกลางดินแดน เพื่อให้เป็นศูนย์รวมความมั่งคั่งและกระแสจิตปรารถนา ดังนั้นจึงไม่อาจเคลื่อนย้ายมันได้ง่ายๆ
ด้วยเหตุนี้ แม้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดจะทรุดตัวเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่มั่นคงใดๆที่อาจเกิดขึ้น พวกเขาจึงเลือกสร้างเมืองใหม่ขึ้นตรงจุดเดิมที่มันทรุดตัวไป
ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเมืองลอยได้
“ถ้าเมืองหลวงทรุดตัวอย่างกะทันหันแบบนั้น แล้วผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นอย่างไร?” จางเซวียนซักไซ้
“ตอนนั้นผมยังไม่เกิด จึงไม่รู้รายละเอียด แต่เท่าที่ได้ฟังจากเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล ดูเหมือนแม้การทรุดตัวจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งก็ยังหนีเอาตัวรอดได้ด้วยการคุ้มกันของจอมราชันย์อมตะ ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่คือผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้าแล้ว”
จากนั้น ฝงจิ่วเกอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเล่าต่อ “แต่ก็อย่างที่คุณรู้นั่นแหละ ในสรวงสวรรค์มีผู้คนอีกมากที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธระดับเทพเจ้า พูดอีกอย่างก็คือ วิกฤตครั้งนั้นคร่าชีวิตประชากรของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดไปเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขายังคงอาศัยอยู่ในหลุมดำหรือเสียชีวิตไปแล้ว หลุมดำนั้นลึกมาก ถึงขนาดที่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟก็ไม่อาจลงไปถึงก้นบึ้งของมัน”
ลำดับขั้นของสิ่งมีชีวิตในสรวงสวรรค์ถูกจัดเรียงกันเป็นรูปพีระมิด
ประชากรส่วนใหญ่คือคนธรรมดา หรือในอีกแง่หนึ่ง คือนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับโอกาสให้ฝึกฝนวรยุทธและพัฒนาตัวเองจนก้าวหน้ากว่าเดิม
“จู่ๆหลุมดำก็ปรากฏ ทำให้ประชากรกว่า 90% ของเมืองหลวงหายวับไป…”
จางเซวียนตัวสั่นขณะที่คำหนึ่งผุดขึ้นในหัว-เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย
ตำนานกล่าวไว้ว่าเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายของมิติเบื้องบนร่วงลงมาจากสรวงสวรรค์ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งปลูกสร้างภายในเมืองนั้นค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นบรรยากาศของการเสื่อมถอยอันเนื่องมาจากการกัดกร่อนของพลังจิตวิญญาณในมิติเบื้องบน ทำให้กลายเป็นดินแดนอันตรายที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน
หรือว่าเรื่องนี้จะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด?
ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ถือว่าไร้เหตุผล เพราะจางเซวียนได้เห็นหลุมศพของจอมราชันย์อมตะที่อยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายมาแล้ว!
เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วน เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกับตำหนักคว้าดาวของมิติเบื้องบนมีต้นกำเนิดเดียวกัน และพวกตำหนักคว้าดาวก็มีแท่นบูชาของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย…
เป็นไปได้ไหมว่าเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดร่วงหล่นลงมาทางรอยแยกของปราการแห่งมิติ แล้วตกลงสู่มิติเบื้องบน ผู้คนส่วนหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่นั่นเอาชีวิตรอดมาได้และก่อร่างสร้างตัวจนเป็นตำหนักคว้าดาวขึ้นมา แต่ก็มีบางส่วนที่ร่วงลงไปจนถึงทวีปแห่งปรมาจารย์ และสุดท้ายก็เป็นที่รู้จักกันในชื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็หมายความว่าบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นและตำหนักคว้าดาวคือเหล่าเทพเจ้าของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด!
เขาจะต้องศึกษาเรื่องนี้ให้ละเอียด
ถ้ามีอำนาจบางอย่างที่สามารถสังหารจอมราชันย์อมตะและผลักดันผู้คนนับไม่ถ้วนให้ผ่านปราการแห่งมิติลงมายังโลกเบื้องล่างได้ เขาก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ เพราะมันอาจเป็นภัยร้ายแรงในอนาคต
การเดินทางผ่านปราการแห่งมิติไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเคยเผชิญกับมันมาแล้ว จึงรู้ดีว่ายากเย็นขนาดไหน ต่อให้เก่งกาจระดับหลัวลั่วชิงก็ยังแทบจะเอาชีวิตไปทิ้ง!
นี่คือเรื่องที่ต้องระวังให้ดี
แต่นั่นแหละ ทุกอย่างล้วนเป็นแค่ข้อสันนิษฐาน บางทีเขาอาจได้รู้ข้อเท็จจริงหลังจากที่พบหลัวลั่วชิงหรือปรมาจารย์ขงแล้ว
“อ้อ! จริงสิ เราถามหมอนั่นได้นี่…ไอ้โหด! มีความเป็นไปได้ไหมที่เหล่าบรรพบุรุษของคุณมีสายเลือดเทพเจ้า?” จางเซวียนถาม
ไอ้โหดที่ถูกกักขังอยู่ในหนังสือเทียบฟ้าได้ติดตามเขามายังสรวงสวรรค์ด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จางเซวียนก็ได้มอบยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าให้อีกฝ่ายเพื่อที่หมอนั่นจะได้ฝึกฝนวรยุทธไปพร้อมๆกับเขา หลายวันมานี้ ไอ้โหดก็ก้าวข้ามด่านคอขวดของวรยุทธระดับเทพเจ้าและได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำแล้ว
“ผมก็ไม่รู้” ไอ้โหดตอบ “แต่หลังจากเข้าสู่สรวงสวรรค์ ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการยกระดับวรยุทธเป็นไปได้รวดเร็วกว่าแต่ก่อน ดูเหมือนทางเดินพลังปราณกับสายเลือดของผมจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้…”
ก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างเครือข่ายทางเดินพลังพลังปราณใหม่ให้จ้าวหย่า จางเซวียนได้ศึกษาเครือข่ายทางเดินพลังปราณหลายรูปแบบ ซึ่งสุดท้ายเขาก็พบว่าเครือข่ายทางเดินพลังปราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นนั้นมีข้อบกพร่องน้อยมาก
และหลังจากมาถึงสรวงสวรรค์ ก็รู้สึกทันทีว่าทางเดินพลังปราณรูปแบบดังกล่าวคล้ายคลึงกับทางเดินพลังปราณของเทพเจ้า