“น้องจาง ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไป๋เย่เคยชินกับการทำตัวแบบนี้เสียแล้ว ต่อให้ผมเข้าข้างคุณ เธอก็จะต้องหาทางเล่นงานคุณอยู่ดีทันทีที่คุณออกจากเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าหลิงหลงไป ถ้าคุณคิดจะสู้ ผมสามารถรายงานเรื่องนี้ต่อราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติชางกวนเพื่อให้เธอพิพากษาแทนเราได้ แต่สุดท้าย ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติทั้งคู่ก็มีสถานภาพทัดเทียมกัน หากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไป๋เย่ยืนกรานในการตัดสินใจของเธอ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี! เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าน่าจะดีที่สุดหากคุณยอมรับความพ่ายแพ้…”
“คุณกำลังบอกว่าผมควรปล่อยให้เธอทำอะไรตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนแค่นเสียง
“เราไม่มีทางเลือก! นั่นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรตินะ พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก! ต่อให้เธอนำราชายาเม็ดไป คุณก็ยังเหลือยาอีก 4 เม็ดให้ใช้ แต่ถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ ผมเกรงว่าเธออาจใช้กำลังสร้างความรุนแรง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงแต่คุณจะต้องกลับไปมือเปล่า ชีวิตของคุณยังอาจตกอยู่ในอันตรายด้วย” ฟู่เจียงเฉินอุทานด้วยความเป็นห่วง
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าพลเมืองธรรมดาสามัญไม่มีวันเอาชนะอำนาจของผู้มีตำแหน่งใหญ่โตในบ้านเมืองได้ ไป๋เย่ฉิงหงคือหนึ่งในผู้กุมอำนาจของเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าหลิงหลง ทั้งยังเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติซึ่งมีพละกำลังเป็นรองแค่จอมราชันย์เท่านั้น
รู้ดีว่าเถียงกับฟู่เจียงเฉินไปก็ไม่มีประโยชน์ จางเซวียนหันกลับไปมองไปไป๋เย่ฉิงหงและเชิดหน้าถาม “ถ้าผมปฏิเสธล่ะ?”
เพราะตั้งรกรากอยู่ในน่านฟ้าหลิงหลง ฟู่เจียงเฉินจึงมีเรื่องให้ต้องใคร่ครวญมากมายหากจะทำตัวเป็นอริกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ แต่จางเซวียนไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น!
จริงอยู่ว่าสุภาพสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขามีหน้าตาสวยงดงาม แต่ความสวยจะมีประโยชน์อะไรหากสิ่งที่อยู่ภายในคือหัวใจที่เหม็นเน่าราวกับยาพิษ?
เขาพยายามเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างที่สุดแล้วเพื่อไม่สร้างความวุ่นวายหรือก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมใดๆ แต่นี่คือหนึ่งในสิ่งที่เขาทนไม่ได้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องความถ่อมตัวและการเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบอีกแล้ว
ถ้าเขาปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าจะต้องมีซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องประกาศให้ใครรู้ว่าแม้ตัวเขา, จางเซวียน จะเพิ่งมาถึงสรวงสวรรค์ได้เพียงเดือนเดียว แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ!
“ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไป๋เย่” เมื่อตัดสินใจแล้ว จางเซวียนระงับความโกรธไว้ขณะจ้องหน้าไป๋เย่ฉิงหงด้วยแววตาสุขุมเยือกเย็น “ผมจะให้โอกาสคุณนะ ยอมรับความจริงและสารภาพผิดเสีย”
“ทั้งๆที่รู้แล้วว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไป๋เย่เป็นใคร ยังกล้าพูดจาวางโตแบบนั้นออกมา เขาสติดีหรือเปล่า?”
“สมงสมองคงไปหมดแล้ว!”
ผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่พากันอุทานด้วยความตกใจ
“ฉันสุภาพกับคุณมาตลอดเพราะเห็นว่าคุณเป็นแขกของน่านฟ้าหลิงหลงของเรา แถมยังช่วยจับยาเม็ดของฉันไว้ แต่ดูเหมือนคุณจะทดสอบความอดทนอดกลั้นของฉันเหลือเกิน คิดว่าฉันไม่กล้าเล่นงานคุณหรือไง?” ไป๋เย่ฉิงหงจ้องจางเซวียนด้วยสายตาเลือดเย็น
แรงกดดันมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานได้แผ่ซ่านออกจากร่างของเธอ ครอบคลุมทั้งเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าหลิงหลงไว้ ท้องฟ้ามืดมิด บรรยากาศหนักอึ้งขึ้นมาทันที
ทุกคนที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าหลิงหลงรับรู้ถึงแรงกดดันนี้ได้ แต่สำหรับจางเซวียน เขารับศึกหนักกว่าคนอื่นเพราะเป็นเป้าหมายโดยตรงที่ถูกแรงกดดันพุ่งเข้าใส่ เขาเริ่มหายใจขัด พลังปราณก็ดูจะแข็งทื่อ
ถ้าไม่ใช่เพราะดาบระดับราชันย์เทพเจ้าที่เขาถืออยู่ในมือช่วยปัดป้องแรงกดดันบางส่วนออกไป เขาคงร่วงลงจากกลางอากาศแล้ว
นี่เป็นพละกำลังที่แม้แต่ราชันย์เทพเจ้ายังไม่อาจต้านทานได้ นับประสาอะไรกับนักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง!
อำนาจของราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติช่างน่าสะพรึงจริงๆ
จางเซวียนรีบขับเคลื่อนเวทนาสวรรค์ ในที่สุดแรงกดดันที่พุ่งเข้าใส่เขาก็ค่อยบรรเทาลง เขาส่ายหัวและเปรยอย่างเบื่อหน่าย “ผมให้โอกาสคุณแล้วนะ แต่คุณก็ไม่เห็นคุณค่าของมันเอาเสียเลย ผมคงทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วล่ะ”
เห็นจางเซวียนยังคงพูดจาโอหังทั้งที่ยืนอยู่หน้าประตูนรกแล้ว ไป๋เย่ฉิงหงคำราม “ฮึ่มมม! เจ้าคนอวดดีที่ไม่รู้จักเจียมกะลาหัว!”
เนิ่นนานมาแล้วที่ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเธอแบบนี้ เธอยกมือขึ้น หมายจะสั่งสอนบทเรียนให้ชายหนุ่ม แต่ยังไม่ทันจะได้เคลื่อนไหว ร่างของเธอก็แข็งทื่อ
พละกำลังมหาศาลตรึงร่างของเธอไว้อย่างปุบปับ สกัดกั้นพละกำลังของเธอไว้หมด
ไป๋เย่ฉิงหงรีบเงยหน้ามองด้วยความตกใจ เห็นหนังสือสีทองเล่มหนึ่งลอยอยู่เงียบๆเหนือศีรษะของเธอ
“นะ…นั่นมันอะไรกัน?” ไป๋เย่ฉิงหงพึมพำ
หนังสือที่ลอยอยู่เหนือศีรษะทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก ราวกับมีผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่ากำลังจับจ้องเธออยู่ เธอไม่อาจถอยหรือหลบหนีได้ ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน
ดูเหมือนสรวงสวรรค์จะปฏิเสธการมีอยู่ของตัวเธอด้วย
“มันก็แค่หนังสือเล่มหนึ่ง” จางเซวียนตอบ
เขาไม่อยากทำขนาดนี้ แต่ทนไม่ไหว เขาให้โอกาสเธอมาแล้วหลายหน ในเมื่อเธอไม่ยอมเปลี่ยนใจ ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องปรานี
จางเซวียนรู้ดีว่าการกระทำแบบนี้จะต้องทำให้เทพธิดาหลิงหลงขุ่นเคือง แต่เขาไม่แยแสแล้ว
“คุณใช้กำลังข่มขู่ทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า ทั้งยังไม่มีความละอายหรือสำนึกผิดในการกระทำของตัวเองสักนิด ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าตลอดชีวิตอันยาวนานที่ผ่านมาของคุณ คุณทำเรื่องชั่วร้ายใดไว้บ้าง ในเมื่อไม่มีใครพิพากษาคุณได้ ผมนี่แหละจะเป็นคนทำเอง!” จางเซวียนประกาศลั่นขณะโบกมืออย่างวางมาด
โครมมมม!
เกิดเสียงโครมราวกับภูเขาถล่ม หนังสือเทียบฟ้าร่วงลงมาจากกลางอากาศ
“มะ…ไม่!”
ไป๋เย่ฉิงหงคิดว่าคู่ต่อสู้ของเธอเป็นแค่นักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงธรรมดาคนหนึ่งที่เธอสามารถเล่นงานได้สบาย ไม่นึกไม่ฝันสักนิดว่าอีกฝ่ายจะมีของล้ำค่าทรงพลังระดับนี้อยู่กับตัว
เธอพยายามรวบรวมพละกำลังทั้งหมดเพื่อต้านทานหน้าหนังสือสีทอง แต่ด้วยแรงกระแทกหนักหน่วงของหนังสือเล่มนั้น แขนของเธอหักเป็นท่อนๆทันที
ไป๋เย่ฉิงหงไม่อาจต้านทานได้แม้เพียงหนึ่งอึดใจ
“นะ…นั่นมันอะไร?” ไป๋เย่ฉิงหงโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความพรั่นพรึง
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าผู้เดียวที่ยับยั้งราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติได้ก็คือจอมราชันย์ ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ไป๋เย่ฉิงหงกล้าทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่ห่วงเรื่องผลที่จะเกิดตามมา
เธอไม่เคยคาดคิดว่านักรบระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูงคนหนึ่งจะมีของล้ำค่าที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่กับตัว
ไป๋เย่ฉิงหงรู้สึกราวกับถูกน้ำหนักทั้งหมดของสรวงสวรรค์กดทับอยู่บนร่าง มันคือพละกำลังที่เทียบชั้นได้กับเรี่ยวแรงของจอมราชันย์ แม้เธอจะเป็นถึงราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ แต่ก็ไม่อาจต้านทานพละกำลังระดับนี้ได้
“ฉันจะไม่ยอมตายแบบนี้! ทำลาย…ทำลายมันซะ!”
ไป๋เย่ฉิงหงกรีดร้องออกมาสุดเสียงขณะพยายามปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดที่มีเข้าใส่หนังสือที่ลอยอยู่เหนือร่างของเธอ เกิดคลื่นพลังงานที่ปรากฏเป็นแรงกระเพื่อมอยู่กลางอากาศขณะที่เธอพยายามดึงดูดกระแสจิตปรารถนาทั้งหมดที่มีอยู่ในน่านฟ้าหลิงหลงเข้ามาคุ้มกันตัวเอง
ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ส่วนตัว ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไม่ได้แตกต่างจากราชันย์เทพเจ้าโดยทั่วไปมากนัก ความเหนือชั้นกว่าของพวกเขาคือความสามารถในการควบคุมกระแสจิตปรารถนาภายในอาณาเขตของตัวเองและแปรเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นพละกำลัง
สิ่งนั้นทำให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติมีอำนาจที่แทบไม่มีใครต้านทานได้ในดินแดนของตัวเอง
แต่ไม่ว่าไป๋เย่ฉิงหงจะพยายามดึงดูดกระแสจิตปรารถนาเข้ามามากแค่ไหน ก็ไม่อาจประชันกับพละกำลังของสรวงสวรรค์ได้ ปราการที่เธอสร้างขึ้นจากกระแสจิตปรารถนาแตกสลายไปโดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
สิ่งนี้ทำให้ไป๋เย่ฉิงหงประหวั่นพรั่นพรึงอย่างหนัก
เธอรู้ดีว่าหากไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อยับยั้งหนังสือเล่มนั้น คงได้กลายเป็นเนื้อบดภายในอีก 2-3 อึดใจแน่
“วะ-ไว้ชีวิตฉันเถอะ! ฉันผิดไปแล้ว ฉันเห็นว่ายาเม็ดนั้นมีพลังงานเข้มข้น จึงเกิดความละโมบโลภมากขึ้นมา ฉันไม่ควรทึกทักเอาว่ามันเป็นของตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัวแบบนั้น เรื่องจริงก็คือฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายาเม็ดนั้นคืออะไร และมาจากไหน…”
ไป๋เย่ฉิงหงตัดสินใจสละชื่อเสียงของเธอและยอมรับผิดโดยไม่ลังเล เพราะหากต้องเลือกระหว่างชื่อเสียงกับชีวิต ชีวิตก็ย่อมสำคัญกว่า
“ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไป๋เย่พยายามขโมยยาเม็ดของคนอื่นหรือ?”
“เมื่อครู่นี้เธอพูดออกมาได้น่าเชื่อถือเสียจนผมเชื่อสนิท ไม่นึกเลยว่าเป็นแค่การแสดง!”
“ผมมองเธอเป็นเทพธิดาตลอดสองสามร้อยปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กหนุ่มอายุ 20 ปีนู่นน่ะ! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติผู้น่าภาคภูมิจะทำอะไรชั่วร้ายแบบนี้…”
“แหม แต่คุณก็เห็นแล้วนี่ว่ายาเม็ดนั้นมีพลังงานมากแค่ไหน คุณแน่ใจหรือว่าจะไม่ทำแบบเดียวกับเธอถ้าทำได้?”
“อะ-เอ่อ…ผมก็พอเข้าใจเหตุผลที่เธอทำแบบนั้นอยู่นะ แต่มันก็…”
ผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์โดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณต่างพากันอึ้ง
เพราะไป๋เย่ฉิงหงปรากฏตัวขึ้นทันทีที่ยาเม็ดถูกจับได้ แถมยังพูดจาด้วยความมั่นอกมั่นใจมาตลอด ทุกคนจึงเชื่อสนิทว่ายาเม็ดเป็นของเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าเธอคือนักฉวยโอกาส…
การยอมรับครั้งนี้ทำลายชื่อเสียงของเธอในฐานะเทพธิดาของชายนับไม่ถ้วนจนป่นปี้
สุดท้าย ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีทางที่จะปราศจากความละโมบได้อย่างสิ้นเชิง
“คำพูดของคุณไม่มีความหมายอะไรกับผมแล้วล่ะ การแสดงความเสียใจน่ะทำได้ง่ายจะตายเมื่อรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ผมก็ให้โอกาสคุณแล้ว แต่คุณไม่รับมันไว้เอง ตอนนี้ก็รับผิดชอบกับการตัดสินใจของคุณไปก็แล้วกัน” จางเซวียนตอบอย่างไม่แยแส
ต่อให้วายร้ายที่ร้ายกาจที่สุดในโลกก็ย่อมกล่าวคำขอโทษอย่างไม่ลังเลหากมีดาบจ่ออยู่ที่คอหอย แล้วการยอมรับคำขอโทษแบบนี้ไว้จะมีประโยชน์อะไร?
ด้วยการยกระดับครั้งล่าสุดของหอสมุดเทียบฟ้า ระยะเวลาที่หน้าหนังสือสีทองคงอยู่จึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จางเซวียนใช้เจตจำนงของเขาสั่งการให้มันพุ่งเข้าใส่ร่างของไป๋เย่ฉิงหงด้วยพละกำลังที่หนักหน่วงกว่าเดิม