แต่เรื่องจริงก็คือเธอได้บอกชื่อจริงของเธอกับเขาแล้ว แต่ปกปิดมันไว้ด้วยการทำเป็นใช้ชื่อปลอม!
เขามองข้ามเงื่อนงำที่สำคัญขนาดนี้ได้อย่างไร?
“จอมราชันย์หลินชีคือจอมราชันย์ของน่านฟ้าเสรี เพราะฉะนั้นเธอต้องอยู่ที่น่านฟ้าเสรีแน่!” นกฟีนิกซ์สีดำตอบด้วยสีหน้าที่ยังคงสงสัย
คุณรับผมเป็นอสูรของคุณ แต่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเก้าจอมราชันย์อย่างนั้นหรือ?
“น่านฟ้าเสรี?” จางเซวียนหน้าตาเคร่งเครียดขณะพึมพำกับตัวเอง “ไม่สิ เราน่าจะรู้นะ…”
เขารู้ชื่อของแปดจอมราชันย์จากฟู่เจียงเฉินแล้ว แต่คนเดียวที่ยังคงเป็นความลับก็คือจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรี ซึ่งเขาก็น่าจะรู้ทันทีที่ได้ยินชื่อ ‘จอมราชันย์หลินชี’
ลงท้าย ผู้ที่เขาตามหาก็ไม่ได้อยู่ที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด แต่เป็นที่ใจกลางน่านฟ้าเสรี
เห็นท่าทีของจางเซวียน นกฟีนิกซ์สีดำนึกอะไรได้บางอย่าง “การดวลแบบชี้เป็นชี้ตายระหว่างจอมราชันย์หลินชีกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์จะเกิดขึ้นในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อไป…”
ถึงมันจะเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของเจตจำนงที่ถูกกักขังอยู่ในประติมากรรมนกฟีนิกซ์หิน แต่ก็รับรู้ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสรวงสวรรค์ โดยเฉพาะการต่อสู้ระหว่าง 2 จอมราชันย์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“การดวลแบบชี้เป็นชี้ตายในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อไป? อีก 5 วัน…นับจากนี้?” จางเซวียนตัวสั่นขณะหรี่ตาด้วยความตกตะลึง
เขาพอได้ยินเรื่องการดวลครั้งนี้อยู่บ้างหลังจากที่มาถึงสรวงสวรรค์ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยใส่ใจ และคิดว่าปรมาจารย์ขงคงได้ชัยชนะอย่างแน่นอน
นึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายคือหลัวลั่วชิง!
และที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือมันเป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตายด้วย!
นั่นหมายความว่าจะต้องมีใครคนหนึ่งที่ไม่อาจเอาชีวิตรอดจากการดวล?
“ใช่ ที่ผ่านมา การต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์ไม่เคยรุนแรงถึงขั้นที่เป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย แต่ทั้งคู่ตัดสินใจร่วมกันว่าจะทำแบบนั้น ผมเชื่อว่าจะต้องมีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านี้แหละ แต่เกรงว่าสิ่งที่ผมรู้จะมีจำกัด” นกฟีนิกซ์สีดำตอบ
“เราต้องเดินทางไปน่านฟ้าเสรีเพื่อยับยั้งพวกเขา” จางเซวียนพึมพำ
หลัวลั่วชิงเป็นคนเดียวที่เขามีความรู้สึกผูกพันฉันชู้สาวกับเธอ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยพบปรมาจารย์ขง แต่ก็ได้ฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายมามาก ทั้งยังรู้สึกเคารพยกย่องอย่างจริงใจด้วย
เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นอะไรเกิดขึ้นกับทั้งคู่!
“ยับยั้งพวกเขา? สองคนนั้นตัดสินใจแล้ว ใครจะห้ามได้?”
นกฟีนิกซ์สีดำก้มลงมองไก่น้อยและส่ายหัว “แม้เมื่อครั้งที่ตัวผมอยู่ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุด ก็ยังสู้กับพวกเขาไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับตอนนี้…”
จางเซวียนอึ้งไปเมื่อพลันคิดอะไรได้บางอย่าง
ด้วยความวุ่นวายใหญ่โตต่างๆนานาที่เขาสร้างขึ้นในน่านฟ้าหลิงหลง หลัวลั่วชิงในฐานะจอมราชันย์คนหนึ่งก็น่าจะรู้เรื่องนี้ แต่กลับไม่มีข่าวคราวหรือการเคลื่อนไหวจากเธอเลย
หรือนี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธอไม่เต็มใจจะพบเขา?
แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
มีอะไรเกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับปรมาจารย์ขงที่กำลังใกล้เข้ามาหรือเปล่า?
ซึ่งสิ่งนี้ก็นำเขากลับไปสู่คำถามแรก คือทำไมทั้งคู่ถึงใช้การดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย?
เหตุผลที่ลั่วชิงลงไปยังทวีปแห่งปรมาจารย์ก็เพื่อยึดครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งนั่นคือของล้ำค่าที่ปรมาจารย์ขงอุทิศเวลาหลายปีในการสร้างมัน และเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะถ่ายทอดอำนาจของลิขิตสวรรค์เข้าไปในนั้นด้วย
แม้หลัวลั่วชิงจะไม่เคยบอกเขาตรงๆถึงเหตุผลที่เธอลงมายังทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่จางเซวียนก็พอเดาได้
เพราะทันทีที่เธอได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ก็ฝ่าปราการแห่งมิติและออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ทันที ไม่ต้องใช้หัวสมองมากมายก็พอจะรู้
ที่ผ่านมา จางเซวียนนึกสงสัยมาตลอดว่าทำไมผู้ที่มาจากสรวงสวรรค์อย่างเธอถึงยอมเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อครอบครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง เพราะในสรวงสวรรค์มีของล้ำค่าที่ทรงพลังกว่านั้นมากมาย
แต่เมื่อคิดดูอีกที ก็ชัดเจนแล้วว่าเธอกำลังเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้กับปรมาจารย์ขงที่กำลังจะมาถึง
“แล้วทำไมเธอต้องสังหารปรมาจารย์ขง?” จางเซวียนพึมพำ
คำถามมากมายอัดแน่นอยู่ในหัวสมองของเขาจนรู้สึกเหมือนมันจะระเบิด
อย่างที่นกฟีนิกซ์สีดำบอกไว้ ปรมาจารย์ขงท้าทาย 8 จอมราชันย์ไปแล้ว ซึ่งทุกครั้งก็เป็นการดวลกันฉันมิตร และจนถึงวันนี้ จอมราชันย์คนอื่นก็ยังมีชีวิตสุขสบายดี
แต่ทำไมการดวลครั้งสุดท้ายกับจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีถึงต้องเป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย?
“ต่อให้ผมยับยั้งพวกเขาไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องรู้เหตุผลให้ได้ว่าทำไม” จางเซวียนพูดพร้อมกับกำหมัดแน่น
ด้วยพละกำลังของเขาในเวลานี้ เขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเข้าไปก้าวก่ายการต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์ได้เลย แต่แล้วอย่างไรล่ะ?
ไม่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ขนาดไหน ก็ต้องลองสักตั้ง ต่อให้ไม่ได้ผล อย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!
นกฟีนิกซ์สีดำพอเดาได้ว่าจางเซวียนคิดอะไร มันให้คำแนะนำ “นายท่าน ถ้าคุณอยากเข้าไปยับยั้งพวกเขา คุณก็จะต้องมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับจอมราชันย์เป็นอย่างน้อย หากไม่เป็นแบบนั้นล่ะก็ คุณทำอะไรไม่ได้หรอก”
“คุณพูดถูก ผมต้องแข็งแกร่งกว่านี้ถึงจะมีปากมีเสียงได้ ไม่อย่างนั้น แค่ขอเข้าพบพวกเขาก็คงไม่ได้ด้วยซ้ำ” จางเซวียนตอบอย่างเคร่งขรึม
จะต้องมีเหตุผลสำคัญไม่เบาที่ทำให้ปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงตัดสินใจแบบนี้ เพียงแค่คำพูดของเขาคงไม่อาจหว่านล้อมทั้งคู่ให้เปลี่ยนใจได้
ถ้าเขาอยากสร้างความแตกต่าง ก็ต้องมีพละกำลังมากพอที่จะทำให้มันเกิดขึ้น
แต่นั่นแหละ วรยุทธของเขายังอ่อนด้อยเหลือเกิน
จางเซวียนอยู่ในสรวงสวรรค์มา 1 เดือนแล้ว แต่ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณเพิ่งถึงขั้นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดเท่านั้น
หากเขาได้เป็นจอมราชันย์เหมือนปรมาจารย์ขงในอีก 5 วันข้างหน้า จะยับยั้งการดวลที่กำลังจะเกิดขึ้นได้หรือเปล่า?
แต่จางเซวียนก็รู้ดีว่าเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้
เขายังไม่ได้ทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าเลยด้วยซ้ำ จึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้น
จางเซวียนรู้สึกได้ถึงอาการอับจนปัญญาที่ถาโถมเข้าใส่จนหนักอึ้ง
“นายท่าน เป็นไปไม่ได้ที่วรยุทธของคุณจะเทียบเท่ากับจอมราชันย์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จริง…แต่คุณยังมีอมตะตัวน้อยอยู่กับคุณนะ” นกฟีนิกซ์สีดำพูดอย่างอายๆ
จางเซวียนตาโตขึ้นมาทันที ประกายของความหวังปรากฏเด่นชัด
จริงด้วย เขาไม่มีทางกลายเป็นจอมราชันย์ได้ภายใน 5 วัน แต่เขาสามารถช่วยฟื้นฟูพละกำลังของไก่น้อยให้กลายเป็นจอมราชันย์อมตะได้!
แม้พละกำลังของมันจะเป็นรองปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ยังให้ความรู้สึกว่ามีจอมราชันย์อยู่ข้างกาย
“เมื่อ 40 ปีก่อน ตอนที่ผมมีพละกำลังแข็งแกร่งสูงสุด เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดเกิดการพังทลายจากภายใน เกิดเป็นหลุมดำที่อยู่ใต้เมืองลอยได้อย่างทุกวันนี้ หากเราพบเมืองที่ถูกทำลายและเรียกพละกำลังของผมกลับคืนมาได้ การฟื้นฟูความทรงจำเพื่อกลับสู่สภาพแข็งแกร่งสูงสุดดังเดิมก็คงไม่ยากเกินไป” จอมราชันย์อมตะพูด
จางเซวียนตัวสั่นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
บังเอิญว่าเขารู้ว่าเมืองที่ถูกทำลายตั้งอยู่ที่ไหน-มันคือเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายของมิติเบื้องบน!
ขอแค่พวกเขาหาทางไปที่นั่นได้ ก็จะสามารถเรียกอำนาจของไก่น้อยกลับคืนมาและทำให้มันหวนคืนสู่สภาพแข็งแกร่งสูงสุด
แต่ก็ยังมีปัญหา
ระหว่างมิติเบื้องบนกับสรวงสวรรค์มีปราการแห่งมิติขวางกั้นอยู่ แล้วพวกเขาจะลงไปยังมิติเบื้องบนได้อย่างไร?
“คุณก็เป็นจอมราชันย์นี่ อย่างน้อยก็น่าจะพอรู้อะไรบ้าง เพราะจอมราชันย์หลินชีก็ลงไปยังโลกเบื้องล่างได้นี่ ใช่ไหม?” จางเซวียนถามนกฟีนิกซ์สีดำ
“ผมไม่รู้รายละเอียด ตอนนี้เจตจำนงของผมอ่อนแอมาก ผมจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนหลับ แต่เมื่อไม่นานมานี้ จอมราชันย์หลินชีมาเยี่ยมผมและขอยืมตราสุดยอดจอมราชันย์ของผมไป มันคือสัญลักษณ์แทนตัวตนของผมในฐานะเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ” นกฟีนิกซ์สีดำตอบ
“ตราสุดยอดจอมราชันย์?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
มันคงคล้ายกับตราสัญลักษณ์ประจำตัวของกษัตริย์ที่ใช้กันในโลกเก่าของเขา เมื่อไหร่ก็ตามที่จอมราชันย์มีบัญชา พวกเขาจะใช้ตราสุดยอดจอมราชันย์เป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจของตัวเอง
ในอีกแง่หนึ่ง มันเป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจที่ไม่มีใครขัดขวางได้
“ผู้ที่ถือครองตราสุดยอดจอมราชันย์ของผมจะถือเป็นตัวแทนของผม ของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ และของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดด้วย” นกฟีนิกซ์สีดำพูดต่อ
“อ้อ…” จางเซวียนตาโต “เป็นไปได้ไหมว่าลั่วชิงขอยืมตราสุดยอดจอมราชันย์ของคุณไปเพื่อเผยแพร่คำบัญชาของเธอต่อประชากรของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่ตอนนี้พำนักอยู่ในมิติเบื้องบนและทวีปแห่งปรมาจารย์ มันคือวิธีที่เธอใช้สั่งการให้พวกเขาประกอบพิธีกรรมเพื่อเปิดปราการแห่งมิติให้เธอลงไปที่นั่น…”
จางเซวียนหวนนึกถึงบทสนทนาของเขากับตู้ชิงหย่วน ซึ่งอีกฝ่ายเคยบอกว่าพวกเธอไม่ได้ข่าวคราวจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเลยตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา เพิ่งจะไม่นานมานี้ที่จู่ๆเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณก็ติดต่อเธอและสั่งการให้เธอประกอบพิธีกรรมเพื่อให้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณสามารถลงมาสู่โลกเบื้องล่าง
ตอนที่จางเซวียนได้ฟังเรื่องนี้ครั้งแรก ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่นั่นเป็นเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าปราการแห่งมิติของสรวงสวรรค์แข็งแกร่งขนาดไหน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ต่อให้จอมราชันย์ก็ยังไม่อาจฝ่าปราการมิติลงไปได้!
จะต้องมีช่องโหว่บางอย่างที่ทำให้ใครสักคนเข้าถึงโลกเบื้องล่าง
เรื่องนั้นยังอธิบายได้ว่าทำไมผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์และมิติเบื้องบนจึงรู้จักหลัวลั่วชิงในฐานะเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ!
ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้ยังยืนยันความถูกต้องของข้อสันนิษฐานของจางเซวียนที่มองว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นคือประชากรดั้งเดิมของเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่ร่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์ เป็นไปได้ว่าร่างกายของคนเหล่านั้นปนเปื้อนพลังจิตวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์ของโลกเบื้องล่าง ทำให้วรยุทธถดถอย อีกทั้งลักษณะทางธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิดก็เปลี่ยนแปลงไป