หากจะลำดับเหตุการณ์อีกครั้ง…เมื่อ 40 ปีก่อน หายนะครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ทำให้มันร่วงหล่นลงสู่มิติเบื้องบนและกลายเป็นที่รู้จักในชื่อเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย
นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จำนวนหนึ่งที่ร่วงหล่นลงไปพร้อมกับเมืองนั้นเอาชีวิตรอดมาได้และก่อตั้งตำหนักคว้าดาวขึ้นมา และในเวลาเดียวกัน ผู้รอดชีวิตอีกจำนวนหนึ่งที่ร่วงหล่นลงสู่รอยแยกแห่งมิติไปถึงทวีปแห่งปรมาจารย์ก็กลายเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
นี่คือเหตุผลว่าทำไมตำหนักคว้าดาวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจึงใช้แท่นบูชาอันเดียวกัน ทั้งยังมีความสามารถในการสื่อสารกับโลกใบอื่นเหมือนกันด้วย
สิ่งนี้ยังเป็นคำตอบให้กับเรื่องของไก่น้อย ว่าทำไมไก่น้อยที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากจอมราชันย์ถึงลงเอยด้วยการไปอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์
เป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ขงพบไก่น้อยอยู่ในดินแดนของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นและกักขังมันไว้ในอาณาบริเวณของปูชนียสถานนักปราชญ์ ซึ่งลงท้าย หลัวฉีฉีก็พบมันจากแผนที่และบอกกล่าวให้หลัวชวนฉิงรู้
สี่สิบปีผ่านไปในสรวงสวรรค์, สี่พันปีในมิติเบื้องบน และสี่หมื่นปีในทวีปแห่งปรมาจารย์…ช่วงเวลานั้นลงตัว!
เป็นไปได้ว่ากุญแจของการฝ่าปราการแห่งมิติก็คือตราสุดยอดจอมราชันย์ของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ!
เมื่อคิดได้ จางเซวียนหันไปถามนกฟีนิกซ์สีดำ “แล้วตอนนี้ตราสุดยอดจอมราชันย์ของคุณอยู่ไหน? ลั่วชิง…ไม่ใช่ ผมหมายถึงจอมราชันย์หลินชี เธอนำกลับมาคืนคุณหรือเปล่า?”
“ตอนนี้ตราอยู่กับผม เธอนำไปใช้ไม่นานก็นำกลับมาคืน”
นกฟีนิกซ์สีดำอ้าปากกว้าง แล้วตราสัญลักษณ์อันหนึ่งที่มีขนาดพอๆกับจานใบกลมก็ลอยออกจากปากของมัน
จานใบนั้นลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบเชียบ จางเซวียนรู้สึกราวกับว่าพลังงานทั้งหมดภายในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดกำลังสั่นคลอนเพราะการเคลื่อนไหวของมัน
หากราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคือผู้มีอำนาจเหนือดินแดนใดสักแห่งภายในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด ตราสัญลักษณ์อันนี้ก็บ่งบอกถึงอำนาจของใครคนหนึ่งที่ครอบคลุมทั่วทั้งน่านฟ้า ไม่ใช่เฉพาะพื้นดิน แต่รวมถึงท้องฟ้าด้วย
“คุณจะให้ผมยืมได้ไหม?” จางเซวียนถาม
“ได้แน่นอน! ทุกอย่างที่อมตะตัวน้อยมีเป็นของคุณทั้งนั้น เจ้านาย!” นกฟีนิกซ์สีดำตอบพร้อมกับยิ้มอย่างประจบประแจง
มันกระพือปีกอันใหญ่โต แล้วตราสัญลักษณ์ก็ลอยเข้าสู่ฝ่ามือของจางเซวียน
จางเซวียนพิจารณาตรานั้นอย่างถี่ถ้วน เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
จางเซวียนเห็นอักษรจารึกมากมายนับไม่ถ้วนถูกจารึกไว้บนตราสัญลักษณ์รูปกลม อักษรจารึกเหล่านี้คือฉบับย่อของอักษรที่เขาได้เห็นบนแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น
ก่อนหน้านี้ จางเซวียนยังไม่เข้าใจว่าอักษรจารึกพวกนี้หมายความว่าอย่างไร แต่หลังจากใช้เวลาในสรวงสวรรค์มาระยะหนึ่ง ก็พอจะคุ้นตากับภูมิประเทศของทั้งเก้าน่านฟ้า ดังนั้นจึงบอกได้ว่าอักษรจารึกที่เห็นคือผังเมืองและแผนที่กลุ่มดาวของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด!
ตราสัญลักษณ์นี้ก็ถูกสร้างขึ้นจากการหลอมรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พิธีการต่างๆของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่อยู่ที่น่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด
ถ้าเขาไม่เคยเห็นแผนที่ของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดมาก่อน ก็คงสรุปแบบนี้ไม่ได้
“ผมขอลองดูสักหน่อยว่าจะใช้มันสื่อสารกับมิติเบื้องบนได้หรือไม่!”
จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาขับเคลื่อนพลังงานเข้าสู่ตราสุดยอดจอมราชันย์
แสงเจิดจ้าแผ่ออกมาจากตราสัญลักษณ์ เป็นสัญญาณว่ามันถูกเปิดใช้งานแล้ว
เมื่อเห็นภาพนั้น จางเซวียนตั้งต้นใช้ภาษาบางอย่างที่ออกจะคลุมเครือ มันคือภาษาเดียวกันกับที่ตู้ชิงหย่วนใช้ในพิธีกรรมของเธอ
เขาได้เรียนรู้ภาษานี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์และมิติเบื้องบน
“นั่นคือภาษาฟีนิกซ์สวรรค์สร้างของจอมราชันย์อมตะ” ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟพูดอย่างเคร่งขรึม
คนอื่นอาจไม่เข้าใจภาษานี้ แต่ในฐานะราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ หนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เขารู้ว่ามันคืออะไร
มันคือภาษาฟีนิกซ์สวรรค์สร้างของจอมราชันย์อมตะ ศักยภาพของมันที่มีต่อสรวงสวรรค์นั้นเทียบได้กับแปดโน้ตมังกรสวรรค์เลยทีเดียว!
ตราสุดยอดจอมราชันย์ส่งเสียงหึ่งครู่หนึ่ง ก่อนลำแสงเจิดจ้านั้นจะค่อยๆจางลง
จางเซวียนขมวดคิ้ว
ตามทฤษฎีของเขา เขาน่าจะสื่อสารกับตู้ชิงหย่วนและคนอื่นๆได้ผ่านการประกอบพิธีกรรมด้วยแท่นบูชา แต่เพราะเหตุผลอะไรสักอย่าง เขาไม่อาจเข้าถึงคนเหล่านั้น ราวกับมีบางสิ่งขวางกั้นไม่ให้เขาส่งข้อความได้
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น หลัวลั่วชิงสื่อสารกับตู้ชิงหย่วนและคนอื่นๆได้อย่างไร?
“จะง่ายกว่าไหมถ้าเรามุ่งหน้าเข้าสู่มิติที่บิดเบี้ยวอย่างคราวก่อน?” ไก่น้อยซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดโพล่งออกมา
ตัวมันก็อยู่กับจางเซวียนด้วยเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในมิติเบื้องบน จึงดูออกว่าอีกฝ่ายวางแผนจะทำอะไร
“มิติที่บิดเบี้ยว…” จางเซวียนทวนคำก่อนจะพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น
จริงด้วย!
ถ้าข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของเขาถูกต้อง หลุมดำที่อยู่ใต้เมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิดน่าจะเชื่อมต่อกับมิติเบื้องบนได้ ต่อให้ยังมีปราการแห่งมิติอยู่ที่นั่น แต่ก็น่าจะเปราะบางกว่าที่อื่น
บางที อาจเป็นเพราะสิ่งนี้ก็ได้ที่ทำให้หลัวลั่วชิงลงไปยังมิติเบื้องบนและทวีปแห่งปรมาจารย์ได้สำเร็จ
“ไปดูกันเถอะ” จางเซวียนพูด
ไก่น้อยพยักหน้าขณะขย้อนเอาประติมากรรมนกฟีนิกซ์หินที่มันกลืนลงไปเมื่อครู่นี้ออกมา
นกฟีนิกซ์สีดำรีบผลุบเข้าไปในประติมากรรมชิ้นนั้นโดยไม่ลังเล มันอ่อนแรงไม่น้อยจากการสำแดงพละกำลังเมื่อครู่ก่อน และดูเหมือนไม่น่าจะอดทนได้นานนัก
เมื่อเห็นว่าแม้แต่เจตจำนงของจอมราชันย์อมตะคนเก่าก็ยังยอมรับจางเซวียนเป็นเจ้านาย ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติขนนกไฟกับคนอื่นๆไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ทุกคนต่างโค้งคำนับด้วยความยำเกรงขณะส่งจางเซวียนออกเดินทาง
จางเซวียนออกจากเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณต้นกำเนิด เขากำลังจะเข้าสู่หลุมดำ ก็พอดีกับที่เจอกับหลัวฉีฉีโดยบังเอิญ
“พาฉันไปด้วย” หลัวฉีฉีพูดด้วยแววตามุ่งมั่น
จางเซวียนรู้ว่าหลัวฉีฉีคิดอะไร จึงพยักหน้ารับ
หากพวกเขาลงไปยังมิติเบื้องบน หลัวฉีฉีก็จะสามารถกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อเยี่ยมเยียนหลัวชวนฉิงกับสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวของเธอได้ นี่คือหนึ่งในความเสียใจใหญ่หลวงที่สุดของเธอตลอดเวลาที่ผ่านมา ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้แก้ไขมัน
มนุษย์ 2 คนกับไก่ตัวหนึ่งรุดหน้าสู่เส้นทางที่นำไปสู่หลุมดำ ราว 1 ชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าคลื่นพลังงานวนแห่งมิติ
“ผมจะลงไปก่อน!”
เพราะมีประสบการณ์มาแล้ว ไก่น้อยจึงดำดิ่งลงไปโดยไม่ลังเล
“ฉันก็จะลองเหมือนกัน!” หลัวฉีฉีเสริมขณะหัวเราะเบาๆ
ยังไม่ทันที่ร่างของหลัวฉีฉีจะเข้าถึงคลื่นพลังงานวนแห่งมิติ มิติที่อยู่รอบตัวเธอก็เริ่มบิดเบี้ยวในลักษณะที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของคลื่นพลังงานวนนั้น ด้วยเหตุนี้ เธอจึงทำตัวกลมกลืนไปกับคลื่นพลังงานวนแห่งมิติได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
ในฐานะจิตวิญญาณของเครื่องเก็บงำมิติ เธอมีความรู้สึกไวมากต่ออำนาจของกฎเกณฑ์แห่งมิติ อีกทั้งวรยุทธของเธอก็ถึงขั้นราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดแล้ว ทุกอย่างจึงไม่ยากเกินไป
“สงสัยจะเหลือเราคนเดียว” จางเซวียนพึมพำขณะสูดหายใจลึก
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่เขามาที่นี่พร้อมกับฝงจิ่วเกอ เพราะระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาเข้าถึงราชันย์เทพเจ้าขั้นสูงสุดแล้ว ทั้งยังมีตราสุดยอดจอมราชันย์อยู่กับตัวด้วย
การเข้าสู่คลื่นพลังงานวนแห่งมิติคงไม่อันตรายเกินไป
จางเซวียนรวบรวมพลังจิตวิญญาณเพื่อสร้างปราการขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวเองไว้ก่อนกระโจนเข้าสู่คลื่นพลังงานวนแห่งมิติ เขากำตราสุดยอดจอมราชันย์ไว้แน่น
ฟึ่บ!
ทันทีที่สัมผัสกับคลื่นพลังงานวนแห่งมิติ ร่างของเขาก็บิดงอราวกับเส้นบะหมี่
แม้จะยืดตัวให้ตรงดังเดิมแล้ว จางเซวียนก็ยังเห็นเท้าของเขาบิดงอเหมือนภาพสะท้อนในกระจกเงาที่บิดเบี้ยว เขาควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้
หลัวฉีฉีว่ายเข้ามาอยู่ข้างๆและพูดว่า “มิติที่อยู่ภายในคลื่นพลังงานวนแห่งมิติน่ะไม่ต่างกับมิติโดยทั่วไปสักเท่าไหร่หรอก อย่าเชื่อในสิ่งที่คุณเห็น”
“อย่าเชื่อในสิ่งที่ผมเห็นกับตานี่นะ?”
“ดวงตาและการรับรู้ของคนเราบอกเราว่าสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสได้ในมิติทั่วไปนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องเพราะเราคุ้นชินกับมัน ดังนั้น ในพื้นที่ที่มิติเกิดการบิดเบี้ยว เราก็ต้องมองโลกจากมุมมองที่บิดเบี้ยวเหมือนกัน เพื่อให้ทำความเข้าใจมันได้…” หลัวฉีฉีสาธยายคุณสมบัติเฉพาะตัวของคลื่นพลังงานวนแห่งมิติให้จางเซวียนฟัง
ในฐานะจิตวิญญาณของเครื่องเก็บงำมิติ หลังจากเข้าสู่คลื่นพลังงานวนแห่งมิติได้ไม่นาน เธอก็เรียนรู้ความลับของมัน
เมื่อได้ฟังหลัวฉีฉี จางเซวียนรีบปรับเปลี่ยนมุมมองของเขา สุดท้ายก็พบว่าโลกที่เห็นก็เป็นแบบเดิมอย่างที่เขาคุ้นชิน
เห็นจางเซวียนปรับตัวได้ หลัวฉีฉีทอดสายตาไปไกลและพูดว่า “คลื่นพลังงานวนแห่งมิติไม่ได้มีสภาพเหมือนกันทุกแห่ง ระดับของความบิดเบี้ยวอาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเมื่อเราย้ายจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็ยังประสบปัญหาหากจะสำรวจให้ลึกเข้าไป”
จางเซวียนมองตามสายตาของหลัวฉีฉี โลกตรงหน้าเขาบิดเบี้ยวในรูปแบบพิสดารพันลึกจนนับไม่ถ้วน บางพื้นที่ก็กว้างขวางใหญ่โตอย่างน่าทึ่ง ขณะที่บางส่วนมีพื้นที่น้อยนิดราวกับเส้นบะหมี่
ดูเหมือนกฎเกณฑ์ต่างๆของโลกถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงภายในพื้นที่แห่งนี้
แถมทุกอย่างยังเลวร้ายหนักขึ้นอีก เพราะมิติไหลเวียนไปอย่างไม่หยุดหย่อน สิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่สามารถแปรสภาพจนแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงภายในเวลาเพียง 2-3 อึดใจ
ด้วยกฎเกณฑ์ของมิติที่เปลี่ยนแปลงได้มากมายและหลากหลาย ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าก็ยังต้องเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวงหากเข้ามาที่นี่
จะบอกว่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติพวกนั้นไม่แข็งแกร่งพอก็ไม่ได้ แต่กฎเกณฑ์ที่ควบคุมคลื่นพลังงานวนแห่งมิติที่นี่แตกต่างกับกฎเกณฑ์อื่นๆในสรวงสวรรค์ อำนาจทรงเกียรติของพวกเขาใช้การไม่ได้ในดินแดนนี้ เหล่าราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติจึงเหลือพละกำลังในระดับของราชันย์เทพเจ้าเท่านั้น นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าจางเซวียนกับหลัวฉีฉี