การที่เขาสามารถทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบที่เหนือกว่าสวรรค์ก็บ่งบอกอะไรได้มาก
ศิลปะเพลงดาบของหลัวลั่วชิงบรรจุเอาความปรารถนาที่จะปกป้องคุ้มกันไว้ แต่ในส่วนลึกของหัวใจของเธอ สิ่งที่เธอโหยหาอย่างแท้จริงคืออิสระ แม้เธอจะก้าวข้ามความขัดแย้งนี้ไปได้ แต่มันก็กลายเป็นอุปสรรคในการต่อสู้ที่ไม่อาจหนีพ้น
ซึ่งหากเธอต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน สิ่งนี้คงกลายเป็นข้อบกพร่องข้อใหญ่
ซึ่งหากจางเซวียนดูออก ปรมาจารย์ขงก็คงดูออกเช่นกัน
จางเซวียนใจเต้นโครมครามด้วยความกังวล เขาหันไปมองปรมาจารย์ขงและเห็นอีกฝ่ายชักอาวุธออกมา
มันคือไม้เท้าอันหนึ่ง
เพราะเห็นข้อบกพร่องในศิลปะเพลงดาบของสาวน้อย ไม้เท้าของปรมาจารย์ขงจึงตรงเข้าเล่นงานอีกฝ่ายอย่างเกรี้ยวกราด การปัดป้องมันแทบจะเป็นไปไม่ได้
ทักษะการใช้ไม้เท้าของเขาไร้เทียมทานจริงๆ…จางเซวียนอัศจรรย์ใจ
ในฐานะครูบาอาจารย์ของโลก ปรมาจารย์ขงเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายไม่ใช่เพราะพละกำลังเหนือชั้น แต่เพราะความเข้าใจที่ล้ำลึกในเรื่องวรยุทธของเขา รวมทั้งการพัฒนาระบบปรมาจารย์และค่านิยมที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้น ผู้คนมากมายจึงเห็นเขาเป็นนักปราชญ์ผู้สงบเสงี่ยมคนหนึ่ง
จางเซวียนเคยคิดว่าปรมาจารย์ขงก็คงจะยังสงบเสงี่ยมและสุขุมแม้เมื่ออยู่ในการต่อสู้ แต่หลังจากเห็นภาพนี้ ก็รู้แล้วว่าคิดผิดถนัด
ไม้เท้าของเขาพุ่งตรงเข้าเล่นงานคู่ต่อสู้ด้วยพละกำลังของทั้งโลก ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจต้านทานได้
มันทั้งรุนแรงและเปี่ยมด้วยพละกำลังทำลายล้าง
สิ่งนี้ขัดกันอย่างสิ้นเชิงกับแนวคิดเรื่องตัวตนของปรมาจารย์ขง
แต่นั่นแหละ ผู้ที่เล่นงานเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจนราบคาบจะเป็นคนสงบเสงี่ยมได้อย่างไร?
จางเซวียนเดินตามรอยเท้าปรมาจารย์ขง จึงรับรู้ถึงการกระทำต่างๆของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ปรมาจารย์ขงคือบุคคลผู้ปรารถนาจะสร้างโลกอันชอบธรรมที่ทุกคนมีความแข็งแกร่งและยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเองได้ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น เขาจึงจำเป็นต้องใช้ความรุนแรงในบางครั้ง
ระหว่างยุคสมัยของปรมาจารย์ขงในทวีปแห่งปรมาจารย์ เพื่อให้แน่ใจว่ามวลมนุษยชาติจะมีชีวิตรอด ปรมาจารย์ขงบุกเดี่ยวเข้าเล่นงานเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น สร้างความปั่นป่วนและสังหารพวกนั้นไปมากมาย
เมื่ออยู่ในมิติเบื้องบน เขาปราบคู่ต่อสู้จำนวนมากเพื่อก่อตั้งและวางระบบของหอนิรันดร์ ทำให้มิติเบื้องบนเจริญก้าวหน้า
แน่นอนว่าปรมาจารย์ขงคือนักรบผู้น่าสะพรึง แต่ความไม่เห็นแก่ตัวของเขาทำให้เขาได้รับความเคารพยกย่องจากใครต่อใคร ไม่ใช่ความหวาดกลัว
น่าสะพรึงสำหรับผู้ที่ล้ำเส้น เมตตาปรานีต่อผู้ที่แสวงหาการเรียนรู้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปรมาจารย์ขงกลายเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพอย่างสูงตลอดยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย ทั้งยังเป็นที่จดจำของทั้งโลกแม้เวลาจะผ่านมาแล้วหลายหมื่นปี
แต่ก็นั่นแหละ แม้ในกระบวนท่าของเขาก็ยังมีความขัดแย้ง
ถึงการโจมตีของไม้เท้าจะเป็นไปอย่างรุนแรง แต่ผู้พบเห็นก็ยังรู้สึกได้ถึงเจตนาที่เปี่ยมด้วยความสุขุมและปรานี การโจมตีของเขาดูจะมีเจตนาสังหารเข้มข้น แต่ปรมาจารย์ขงก็จะปรับเปลี่ยนมันในวินาทีสุดท้ายเพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรง
คุณธรรมของเขาไม่อนุญาตให้เขาสังหารผู้บริสุทธิ์ ซึ่งนั่นทำให้ตัวเขาเกิดความขัดแย้งในจิตใจ
จางเซวียนส่ายหน้า นี่ก็ข้อบกพร่องเหมือนกัน…
หลัวลั่วชิงโหยหาอิสระ ขณะที่ปรมาจารย์ขงประนีประนอมต่อโลกใบนี้มากเกินไป
ทั้งสองความรู้สึกล้วนเป็นข้อห้ามเด็ดขาดในการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย
แต่นั่นคือธรรมชาติของพวกเขา ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันได้ โดยเฉพาะระหว่างการต่อสู้
แล้วตัวเราล่ะ?
เมื่อเห็นปัญหาในการโจมตีของปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิง จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะย้อนดูตัวเอง
เวทนาสวรรค์ที่เขาทำความเข้าใจได้สำเร็จมีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ต่อบุคคลผู้เป็นที่รัก ดังนั้น ศิลปะเพลงดาบของเขาจึงเปี่ยมด้วยความรู้สึกและพันธะ
แต่หลังจากได้คำชี้แนะของจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบ จางเซวียนก็รู้ทันทีว่าศิลปะเพลงดาบของเขามีปัญหา
การให้คุณค่ากับความรู้สึกไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าคิดได้แค่นั้นก็คงจะตื้นเขินเกินไป แทนที่จะมัวเวียนว่ายอยู่ในความรู้สึก เขาควรเปลี่ยนอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นให้กลายเป็นแรงผลักดันเพื่อปกป้องคนที่เขารักให้รอดพ้นจากอันตรายให้ได้!
ก็คงเหมือนกับครอบครัวหนึ่ง ที่การจะรักษาครอบครัวเอาไว้ไม่อาจใช้เพียงแค่ความรัก แต่ยังต้องทุ่มเทเวลาและแรงกายเพื่อปกป้องครอบครัวและสืบสานความสัมพันธ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจหรือสถานภาพทางการเงินก็ตาม
ถ้าเราได้เป็นจอมราชันย์ ก็คงจะเข้าไปขัดขวางและยื่นข้อเสนอเพื่อแก้ไขความขัดแย้งครั้งนี้ได้…
คงไม่ต้องนั่งดูใครตายเพราะสงครามสวรรค์โดยไม่อาจทำอะไรได้เลย
ถ้าเรามีพละกำลังมากพอจะปกป้องสรวงสวรรค์ พวกเขาก็คงไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้…
ความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัวสมองของจางเซวียน
เขาทุกข์ทรมานเหลือเกินที่ต้องเห็นทั้งคู่ต่อสู้กัน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ก็ยากจะรับได้
จางเซวียนสลดใจกับความอ่อนแอของตัวเอง เขาไม่อาจปกป้องได้แม้ผู้เป็นที่รัก และคงไม่เหมาะจะปกป้องใครทั้งนั้น…
ในตอนนี้เองที่เขาพลันรู้ตัวว่าเขาไม่เหมาะสมกับศิลปะเพลงดาบที่จอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบชี้แนะให้
เมื่อฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งจากโลกใบเก่า สิ่งหนึ่งที่จางเซวียนรู้ก็คือเขาไม่เต็มใจให้ชะตากรรมของเขาถูกบงการด้วยมือของคนอื่น
นับตั้งแต่เริ่มการเดินทางในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆโดยไม่เคยหวาดกลัว พุ่งเข้าใส่ในสิ่งที่เขาเชื่อ เขามักอยากปกป้องคนรอบตัวให้รอดพ้นจากอันตรายเสมอ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่คิดอยากปกป้องโลกใบนี้
สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่การปกป้องใครต่อใคร แต่เป็นการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเขาอยากเป็น
สำหรับจางเซวียน การใช้ชีวิตแบบเป็นตัวของตัวเองคือวิถีทางที่ดีที่สุด
ตลอดการเดินทางของเขา ขณะที่ตัวโคลนเอาแต่คิดหาวิธีว่าจะคุยโวโอ้อวดอย่างไร ความคิดแบบนั้นกลับไม่เคยผ่านเข้ามาในหัวสมองของเขาเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งหรือสองครั้งที่เขาใช้ความคิดของตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่นั่นก็ทำไปเพื่อให้กลายเป็นตัวเขาในแบบที่ดีที่สุด
ในส่วนลึกของหัวใจ จางเซวียนเป็นคนนอบน้อม ถ่อมเนื้อถ่อมตัว ขยันหมั่นเพียร และซื่อตรงเสมอมา
ขณะที่เกิดความคิดนั้น จางเซวียนก็พลันรู้สึกว่าหัวใจของเขาถูกเปิดออก
ในเวลาเดียวกัน ศิลปะเพลงดาบที่เขาทำความเข้าใจก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
ศิลปะเพลงดาบของเขา…ไม่ว่าจะเป็นหัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปมหรือความภักดีไม่คลอนแคลน ก็ล้วนมีแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการผูกพันกับบางสิ่งบางอย่าง แต่เมื่อสภาวะจิตของเขาเปลี่ยนไป พวกมันก็ได้รับการขัดเกลา เกิดเป็นเจตจำนงที่พร้อมจะพุ่งตรงไปข้างหน้าโดยปราศจากความหวาดกลัว
เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องญาติสนิทมิตรสหายและคนที่เขารัก แต่จะไม่มีวันยอมให้ตัวเองตกเป็นทาสของคนเหล่านั้น
และเช่นเดียวกัน คนคนหนึ่งจำเป็นต้องแสวงหาเงินทองเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว แต่จะต้องไม่ปล่อยให้สิ่งนั้นเป็นเพียงเหตุผลเดียวในการดำรงชีวิตอยู่ การดำรงชีวิตจะต้องมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น
มุ่งหน้าต่อไปอย่างอาจหาญและกลายเป็นตัวเขาในรูปแบบที่ดีที่สุด นั่นคือเส้นทางที่จางเซวียนเลือก
ถ้าเขากลายเป็นตัวเองในรูปแบบที่ดีที่สุด และได้รับความแข็งแกร่งกับความสามารถอย่างที่ปรารถนา ก็จะมีพละกำลังมากพอในการปกป้องบุคคลซึ่งเป็นที่รัก
2 สิ่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน
เมื่อความขัดแย้งในหัวใจถูกขจัดออกไป จางเซวียนก็หันกลับมาเฝ้ามองการต่อสู้ตรงหน้า
การปะทะของสองผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในสรวงสวรรค์ทำให้ผู้ชมพากันเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
“เขาช่างไร้เทียมทานจริงๆ” ไก่น้อยพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “เพียง 40 ปีก็ขัดเกลาวรยุทธได้ถึงระดับนี้ จอมราชันย์พิชิตสวรรค์คืออัจฉริยะที่เก่งกาจอย่างเหลือเชื่อ…”
จอมราชันย์อมตะมีชีวิตมาหลายปีแล้ว แถมยังฟื้นคืนชีพได้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีอะไรใกล้เคียงกับประสิทธิภาพการต่อสู้ของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เลย เพียงเท่านี้ก็เกินพอจะชี้ชัดถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขา
จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ไปไกลจนเขาได้แต่แหงนหน้ามองอย่างสิ้นหวัง
หลังจากรำพึงรำพันกับตัวเอง ไก่น้อยก็หันมามองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ส่ายหัวอีกครั้ง
หากจะคิดถึงเรื่องนี้ ความเก่งกาจของนายน้อยก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าจอมราชันพิชิตสวรรค์ ซึ่งหากต้องเปรียบเทียบกันจริงๆ มันรู้สึกว่านายน้อยน่าจะถือไพ่เหนือกว่า
ภายใน 10 ปีนี้ อีกฝ่ายน่าจะเข้าถึงระดับเดียวกันกับทั้ง 2 จอมราชันย์ที่ปะทะกันอยู่
หลัวลั่วชิงชักดาบกลับและถอยไป 2-3 ก้าวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “น่าประทับใจ คุณก้าวขึ้นมาทรงพลังได้ขนาดนี้ภายในระยะเวลาเพียง 40 ปี แต่ฉันยังมีกระบวนท่าสุดท้ายอยู่ ถ้าคุณเอาชนะมันได้ ก็ถือเป็นความพ่ายแพ้ของฉัน”
“ผมก็มีสิ่งสุดท้ายที่ผมเตรียมไว้เช่นกัน” ปรมาจารย์ขงตอบด้วยทีท่าสุขุมตามปกติของเขา “ถ้าผมแพ้ ผมก็หวังว่าคุณจะเคารพข้อตกลงก่อนหน้านี้ของเรา”
“ฉันไม่ใช่คนที่จะผิดคำพูด” หลัวลั่วชิงตอบ “และฉันก็หวังว่าหากฉันแพ้ คุณจะรักษาข้อตกลงของเราเช่นกัน”
“แน่นอน!” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามัวเสียเวลา”
เมื่อเข้าใจกันแล้ว ทั้งสองสำแดงกระบวนท่าพร้อมกัน
เจตจำนงเพลงดาบที่ทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบได้ระเบิดออกมา ขณะที่ไม้เท้าพุ่งเข้าใส่ด้วยพละกำลังที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง การปะทะกันของทั้งคู่ทำให้เกิดแสงเจิดจ้าจนแสบตา บดบังดวงจันทร์ไว้
เพียงครู่เดียว ทั้งสรวงสวรรค์ก็เจิดจ้าไปด้วยแสงที่ระเบิดออกมาจากการปะทะ
“นั่นอะไร?”
“ผมก็ไม่รู้…”
“ใช่การต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์หรือเปล่า?”
“พวกเขาสู้กันบนดวงจันทร์หรือ?”
“ก็ต้องอย่างนั้นแหละ! คนอื่นจะสร้างความยิ่งใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร?”
ในเวลาเดียวกัน ผู้คนมากมายในสรวงสวรรค์ต่างพากันเงยหน้าจ้องมองดวงจันทร์ที่ตอนนี้ส่องสว่างเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์
ท่ามกลางแสงเจิดจ้าจนแสบตา ไม้เท้าของปรมาจารย์ขงดูจะกลายเป็นแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวที่ปรากฏตรงหน้าเขา มีร่างนับไม่ถ้วนอยู่ในแม่น้ำ บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ของโลกนับตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน
ทุกช่วงเวลาของประวัติศาสตร์มีปรมาจารย์ขงอยู่ในนั้น บางช่วงก็เกรี้ยวกราด บางช่วงมีรอยยิ้มเยือกเย็น บางช่วงสนุกสนานรื่นเริง และบางช่วงก็โศกเศร้า…