น่านฟ้าเสรีไม่มีกฎเกณฑ์ จึงไม่มีข้อบังคับเรื่องการพัฒนาวิชาชีพต่างๆ ดังนั้น หลายสมาคมวิชาชีพจึงเลือกตั้งสำนักงานใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้
ถ้าเปรียบเทียบกับสภาปรมาจารย์ของน่านฟ้าอื่นๆ สภาปรมาจารย์ของเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรีคลาคล่ำไปด้วยผู้คนในจำนวนที่มากกว่ากันหลายเท่า มีนักรบมากมายแวะมาที่สภาปรมาจารย์เพื่อเสาะหาคำชี้แนะจากอาจารย์สักคน
เมื่อเข้าสู่อาคารที่มีผู้คนหนาแน่น จางเซวียนเห็นปรมาจารย์ 2-3 คนกำลังเปิดการบรรยายอยู่ด้านใน ดูไปก็คล้ายกับภาพที่เขาได้เห็นจนชินตาเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์
หลัวฉีฉีเฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา จากนั้นก็ถามจางเซวียน “เราจะไปขอพบประธานสภาปรมาจารย์ไหม?”
ถ้าพวกเขาอยากติดต่อกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องเข้าถึงตัวประธานสภาปรมาจารย์ให้ได้ก่อน
“ทำแบบนั้นจะยุ่งยากเกินไป” จางเซวียนตอบ
เขาสูดหายใจลึกๆก่อนตะโกนก้องด้วยเสียงดังสนั่น “จางเซวียนมาท้าทายประธานสภาปรมาจารย์ ขอให้คุณออกมาพบผมด้วย!”
“มีคนมาท้าทายท่านประธาน? ฮ่า คิดจะเล่นงานสภาปรมาจารย์หรือไง?”
“ท้าทายท่านประธานของเราก็ถือว่ารนหาที่ตายแล้ว!”
“แต่เดี๋ยว-คุณได้ยินชื่อของเขาไหม? เขาเรียกตัวเองว่าจางเซวียนนี่ ใช่นักปรุงยาที่อยู่เบื้องหลังยาเม็ดเพิ่มความงามกับยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธหรือเปล่า?”
“ทั่วทั้งสรวงสวรรค์ ก็มีจางเซวียนคนเดียวนะที่ผมรู้จัก…”
“ผมได้ยินว่าเขาสังหารราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไป๋เย่ฉิงหงแห่งน่านฟ้าหลิงหลงไปเมื่อ 2-3 วันก่อน…”
…..
ฝูงชนส่งเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่
บรรดาปรมาจารย์ที่พุ่งออกมาโดยหมายจะปกป้องชื่อเสียงของสภาปรมาจารย์ของพวกเขาต่างอึ้งไปเมื่อรู้ว่าแม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไป๋เย่ฉิงหงก็ยังสู้กับชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ พวกเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา ต่างคนค่อยๆล่าถอยขณะรอให้ใครสักคนที่มีอำนาจมากกว่ามารับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผู้ที่สังหารได้แม้แต่ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติย่อมเก่งกาจเกินกว่าที่พวกเขาจะต้านทานได้อย่างแน่นอน
“ผมคือประธานสภาปรมาจารย์ของเมืองหลวงแห่งน่านฟ้าเสรี เชิญทางนี้!”
ชายชราเคราสีเทาคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมห้องและเชื้อเชิญจางเซวียนให้เข้าไปข้างใน
วรยุทธของเขาเข้มข้นและทรงพลัง เป็นราชันย์เทพเจ้าเหมือนจางเซวียน
จางเซวียนพยักหน้าขณะเดินตามอีกฝ่ายเข้าสู่ห้องชั้นในของสภาปรมาจารย์
หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง ชายชราเหลือบมองด้านหลัง และเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอื่น ก็หยุดเดินและหันมาเผชิญหน้ากับจางเซวียน
“นักปรุงยาจาง ผมรอการมาเยือนของคุณอยู่นะ ผมจะพาคุณไปพบฝ่าบาทเดี๋ยวนี้แหละ”
“คุณรู้ว่าผมจะมาที่นี่เพื่อพบจอมราชันย์พิชิตสวรรค์อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนประหลาดใจ
เขาคิดว่าคงต้องลงไม้ลงมือกันสักหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายยอมพาเขาไปพบจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ใครจะไปรู้ว่าจะได้ฟังคำตอบแบบนี้?
“ฝ่าบาทสั่งการไว้ให้ผมพาคุณไปพบเขาทันทีหากคุณปรากฏตัวที่นี่” ชายชราตอบพร้อมกับยิ้มให้
เขาโบกมือ แล้วค่ายกลทะลุมิติอันหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าทั้งคู่
“ไปกันเถอะ!”
จากนั้นชายชราก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลทะลุมิติ จางเซวียนกับหลัวฉีฉีรีบตามไปติดๆ
ฟึ่บ!
เกิดลำแสงสว่างวาบ ทั้งสามถูกนำตัวไปยังห้องที่ดูธรรมดาสามัญห้องหนึ่ง
ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าพวกเขาคือผู้อาวุโสคนหนึ่งซึ่งมีทีท่าและสีหน้าอ่อนโยน
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปรมาจารย์ขง!
ยังมีราชันย์เทพเจ้ากับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอีกกลุ่มหนึ่งตั้งแถวขนาบทั้ง 2 ข้าง
เมื่อมองไปรอบๆ จางเซวียนถึงกับเลิกคิ้ว
เขาจำได้อยู่หลายคนทีเดียว
นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน, นักปราชญ์โบราณหรันชิว, นักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง, นักปราชญ์โบราณจื่อก้ง…
10 สุดยอดสาวกและ 72 นักปราชญ์ต่างรวมตัวกันอยู่ที่นี่!
แม้ผู้ที่มีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดก็ยังเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง
มีมากกว่า 10 คนที่มีวรยุทธสูงกว่าระดับราชันย์เทพเจ้า ซึ่งหมายความว่าอิทธิพลของปรมาจารย์ขงไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าน่านฟ้าอื่นๆเลย
เพียงแต่…จางเซวียนได้เห็นศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนกับนักปราชญ์โบราณอีกสองสามคนแล้วก่อนที่จะเข้าสู่มิติเบื้องบน? แล้วทำไมพวกเขาถึงยังดูปกติดี?
จางเซวียนงุนงง แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่เวลาตั้งคำถาม จึงเดินตรงไปยังใจกลางห้อง โค้งคำนับอย่างงามและพูดว่า “ศิษย์น้องจางเซวียนคารวะปรมาจารย์ขง”
ด้วยการมองเพียงแวบเดียว เขาก็ดูออกว่าอีกฝ่ายคือครูบาอาจารย์ผู้เป็นที่ยำเกรงของคนทั้งโลกจริงๆ คราวนี้ไม่มีทางเป็นตัวปลอมไปได้
“ในที่สุดคุณก็มาถึงที่นี่” ปรมาจารย์ขงพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เขาชำเลืองมองบรรดาศิษย์สายตรงที่ยืนอยู่รอบห้องและพูดว่า “พวกคุณที่เหลือออกไปได้”
“ขอรับ ท่านอาจารย์!” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพยักหน้าขณะส่งสัญญาณให้คนอื่นๆตามไป
“ฉีฉี คุณก็ออกไปรอข้างนอกเถอะ” จางเซวียนพูด
“ได้ ถ้าคุณต้องการอะไร เรียกฉันได้ทันที” หลัวฉีฉีตอบพร้อมกับพยักหน้า
ไม่ช้า ในห้องนั้นก็เหลือแต่จางเซวียนกับปรมาจารย์ขง
“นั่งสิ”
ปรมาจารย์ขงโบกมือ แล้วเก้าอี้ตัวหนึ่งก็ลอยมาตั้งอยู่ด้านหลังจางเซวียน
แต่จางเซวียนก็ยังไม่นั่ง เขากลับก้มศีรษะอย่างขอโทษขอโพยและพูดว่า “ปรมาจารย์ขง ผมเป็นหนี้บุญคุณที่คุณช่วยชี้แนะให้ระหว่างที่ผมยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ด้วยเรื่องราวสลับซับซ้อนหลายอย่าง สุดท้าย ผมก็กลับกักขังตัวโคลนของคุณไว้”
จางเซวียนสะบัดข้อมือ จากนั้นก็ปล่อยตัวโคลนของปรมาจารย์ขงที่เขาจับตัวไว้ในเมื่อครั้งอยู่ในมิติเบื้องบนออกมา
“เขาคืออะไรบางอย่างที่ถูกตัดทอนออกมาจากเจตจำนงของผม เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากตัวผม ผมนึกว่าผมกักขังเขาไว้ในมิติเบื้องบนแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะฝ่าฉนวนของกาลเวลาออกมาได้” ปรมาจารย์ขงตอบ
ตัวเขาก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติเบื้องบน แต่ไม่ได้หงุดหงิดอะไรกับการกระทำของจางเซวียน
ปรมาจารย์ขงกระดิกนิ้ว แล้วตัวโคลนของเขาก็สลายกลายเป็นควันสีเขียว ก่อนจะหายวับไปกับตา
จากนั้นปรมาจารย์ขงก็ยิ้มออกมาก่อนจะเปรย “ผมตั้งใจว่าจะส่งเจตจำนงอีกเสี้ยวหนึ่งของผมลงไปยังมิติเบื้องบนเพื่อจัดการเขา แต่ก็ล้มเลิกความคิดนั้นหลังจากที่รู้ว่าคุณเข้าสู่มิติเบื้องบนแล้ว การกระทำของคุณไม่ได้ทำให้ผมไม่พอใจนะ”
“คุณ…รู้เรื่องของผมในมิติเบื้องบนด้วยหรือ?” จางเซวียนประหลาดใจ
มิติเบื้องบนกับสรวงสวรรค์ถูกแยกออกจากกันด้วยปราการแห่งมิติ ทำให้การเดินทางหรือการสื่อสารระหว่างสองโลกแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ปรมาจารย์ขงก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในมิติเบื้องบน?
ปรมาจารย์ขงตอบข้อสงสัยของจางเซวียน “ผมก็เหมือนคุณนั่นแหละ ผมมาถึงที่นี่ได้โดยเริ่มจากทวีปแห่งปรมาจารย์และมิติเบื้องบน ผมทิ้งเจตจำนงและมือไม้จำนวนหนึ่งของผมไว้ในทั้งสองโลกเผื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน แม้การจะลงไปสู่โลกเบื้องล่างจากที่นี่จะเป็นเรื่องยากเอาการ แต่ผมก็ยังติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกทั้ง 2 ใบได้อย่างละเอียด”
ด้วยระดับวรยุทธของเขาที่แม้แต่จอมราชันย์หลินชีก็ยังไม่กล้ายืนยันว่าตัวเธอแข็งแกร่งกว่า ก็เป็นธรรมดาที่ปรมาจารย์ขงจะมีวิธีการมากมายอยู่ในมือ
“เรื่องนั้นฟังดูสมเหตุสมผลดี” จางเซวียนพยักหน้า
แม้จอมราชันย์อมตะจะไม่ได้เก่งกาจใกล้เคียงกับจอมราชันย์หลินชีกับปรมาจารย์ขง แต่อีกฝ่ายก็สามารถส่งข้อความลงไปหาตู้ชิงหย่วนได้โดยผ่านตราสุดยอดจอมราชันย์
ส่วนปรมาจารย์ขงก็ขึ้นชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในหลากหลายอาชีพ อีกทั้งลูกศิษย์ลูกหาของเขาก็มีความปราดเปรื่องไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ การที่เขาจะทำแบบนั้นได้สำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ภายในระยะเวลาอันสั้น คุณก้าวข้ามขีดจำกัดของทั้ง 3 โลกได้ โดดเด่นเจิดจรัสยิ่งกว่าผมเสียอีก” ปรมาจารย์ขงลูบเคราและยิ้มอย่างสบายใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาสอดส่องพฤติกรรมของจางเซวียนมาตลอด
ในตอนแรก เขาคิดว่าชายหนุ่มคงเหมือนพลุที่ฉายแสงเจิดจ้าเพียงวูบเดียว แต่อีกฝ่ายกลับประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งทำให้ผู้คนรอบตัวเขาล้วนอัศจรรย์ใจ ในระยะเวลาเพียง 2 ปี ชายหนุ่มก็ก้าวจากทวีปแห่งปรมาจารย์มาจนถึงสรวงสวรรค์ และตอนนี้ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในฐานะราชันย์เทพเจ้าคนหนึ่ง
ปรมาจารย์ขงไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นไปได้ที่ใครสักคนจะเติบโตและพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วขนาดนี้
“คุณก็ชมเชยผมเกินไป” จางเซวียนตอบด้วยใบหน้าที่ออกจะแดงเรื่อ
เขารู้สึกว่าเหตุผลที่ทำให้เขาก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้ก็เป็นเพราะบรรพบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าคอยชี้ทางให้
ถ้าไม่ใช่เพราะปรมาจารย์ขงได้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์และคิดค้นเทคนิควรยุทธมากมายอย่างเคล็ดวิชาถอดรหัสเซียน เขาก็คงไม่มีทางพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วจนมาถึงจุดนี้ได้
“เอาล่ะ เลิกคุยเรื่องสัพเพเหระและตรงเข้าประเด็นเสียทีดีไหม? ผมเข้าใจเหตุผลที่คุณมาที่นี่” ปรมาจารย์ขงพูด “คุณกำลังกังวลเรื่องการดวลระหว่างตัวผมกับจอมราชันย์หลินชีที่กำลังใกล้เข้ามา และตั้งใจมาบอกผมให้ล้มเลิกความคิดนี้ ใช่หรือเปล่า?”
“ใช่ นั่นคือความตั้งใจของผม” จางเซวียนพยักหน้า
เขาไม่คิดว่าตัวเองจะปกปิดความคิดจากปรมาจารย์ขงได้อยู่แล้ว จึงตัดสินใจตรงเข้าประเด็น
“ผมจะตอบคุณแบบชัดๆเลยนะ-เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ การดวลครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ผมหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ คุณก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน” ปรมาจารย์ขงตอบพร้อมกับส่ายหน้า
“ผมก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน?” จางเซวียนผงะ
นี่คือการดวลระหว่างจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กับจอมราชันย์หลินชีไม่ใช่หรือ? แล้วตัวเขาเข้าไปเกี่ยวอะไร?
ปรมาจารย์ขงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม “คุณทำความเข้าใจเรื่องมลทินสวรรค์ได้สำเร็จแล้วใช่ไหม?”
“ใช่” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า
“ความสามารถของผมคือลิขิตสวรรค์ ผมเชื่อว่าคุณคงรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว” ปรมาจารย์ขงพูด
จางเซวียนพยักหน้าอีกครั้ง
เขารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วจากเจตจำนงที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ในหอเทพเจ้าของมิติเบื้องบน จึงไม่ใช่ความลับ
“ไม่ว่าจะเป็นลิขิตสวรรค์หรือมลทินสวรรค์ ก็ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ทั้งนั้น มันคือเศษเสี้ยวที่ปะติดปะต่อเข้าด้วยกันเป็นสรวงสวรรค์” ปรมาจารย์ขงพูดขณะเหม่อมองท้องฟ้าข้างนอกด้วยสายตาที่ทอดยาวออกไปแสนไกล
จางเซวียนใจหายวาบขณะเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
“หรือว่าลั่วชิง…จอมราชันย์หลินชีก็ครอบครองเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์เช่นกัน?”
หรือว่านี่คือ ‘สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้’ ที่ทุกคนพากันพูดถึงตลอดมา?
หรือนี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาผูกพันกับหลัวลั่วชิงทั้งที่ไม่เคยมีความรู้สึกฉันชู้สาวกับผู้หญิงคนอื่น?
หรือนี่คือเหตุผลที่ทำให้หลัวลั่วชิงดูเหมือนจะรู้เรื่องการมีอยู่ของหอสมุดเทียบฟ้าตั้งแต่แรก?
บางที เศษเสี้ยวของสวรรค์อาจรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณถึงการปรากฏตัวของแต่ละคน และพวกเขาก็ถูกดึงดูดเข้าหากัน