พูดกันตามตรง พวกเขาออกจะไม่ค่อยพอใจที่จู่ๆท่านอาจารย์ก็สั่งให้ยอมรับจางเซวียนเป็นผู้นำคนใหม่ แต่ด้วยความยำเกรงในตัวท่านอาจารย์ จึงจำเป็นต้องทำตามคำสั่ง
ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มจะมีจอมราชันย์เป็นคนรับใช้?
ทุกคนรู้ดีว่าจอมราชันย์ทรงพลังขนาดไหน จึงนึกไม่ออกว่าชายหนุ่มทำให้จอมราชันย์คนหนึ่งยอมจำนนได้อย่างไร
เหลวไหลสิ้นดี!
“ต่อให้เขามีจอมราชันย์อมตะคอยคุ้มกัน แต่การดวลของ 2 จอมราชันย์ก็ยังถือว่าอันตรายมาก ต่อให้ปรมาจารย์จางไปที่นั่นก็ไม่น่าจะทำอะไรได้หรอก เพราะฉะนั้น รอฟังผลอยู่ที่นี่จะดีกว่า” นักปราชญ์โบราณโป๋ช่างพูด
“จริงด้วย ถ้าจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีรู้ว่าเขาคือผู้สืบทอดของท่านอาจารย์ของเราและคิดร้ายต่อเขา นั่นจะทำให้ท่านอาจารย์เกิดความวอกแวก และอาจต้องเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวงโดยไม่จำเป็น” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนพูด
ปัญหาใหญ่คือจางเซวียนจะกลายเป็นภาระของปรมาจารย์ขงทันทีที่จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ซึ่งสิ่งที่อีกฝ่ายต้องทำก็เพียงแค่จงใจใช้เศษเสี้ยวหนึ่งของพละกำลังของเธอเล่นงานจางเซวียนเพื่อทำให้ท่านอาจารย์ของพวกเขาตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ
“พวกคุณก็กังวลไม่เข้าเรื่อง” รู้ดีว่าบรรดาศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขงกำลังคิดอะไร หลัวฉีฉีส่ายหน้า “จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีไม่มีวันทำร้ายเขาหรอก”
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?” นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว “คุณไม่ควรสบประมาทสิ่งที่มนุษย์จะลงมือทำเมื่อตกอยู่ในอันตรายนะ กฎเกณฑ์และศีลธรรมน่ะไม่มีความหมายหรอกในสถานการณ์แบบนั้น”
จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีลงทุนลงแรงถึงขนาดดั้นด้นเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อเสาะหาคุณสมบัติและความสามารถของท่านอาจารย์ของพวกเขา ในเมื่อเธอหมายมั่นปั้นมือจะเอาชนะการดวลให้ได้ขนาดนี้ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเธอจะไม่ใช้ความรุนแรงเพื่อบีบบังคับปรมาจารย์ขงให้ยอมจำนน?
ในการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย เรื่องสำคัญเรื่องเดียวคือใครชนะ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ การดวลก็สิ้นสุดทันที
“ฉันคงต้องคิดให้ดีก่อนพูดหากเป็นจอมราชันย์คนอื่น แต่ถ้าเป็นจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีล่ะก็ เธอไม่มีทางทำให้จางเซวียนได้รับบาดเจ็บแน่ ก็เพราะ…” หลัวฉีฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็เพราะเธอคือคนรักของจางเซวียน!”
“คนรัก?”
นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน นักปราชญ์โบราณโป๋ช่าง และคนอื่นๆถึงกับจังงัง
ชายหนุ่มเป็นผู้สืบทอดของท่านอาจารย์ของเขา เป็นนายน้อยของจอมราชันย์อมตะ แถมยังเป็นคนรักของจอมราชันย์หลินชีด้วย
นี่มันเป็นบ้าอะไร? ทำไมเขาถึงมีตัวตนที่สำคัญได้มากมายขนาดนี้?
…..
ด้วยการพุ่งผ่านมิติ ไม่ช้าจางเซวียนก็พบว่าตัวเขามาอยู่เหนือมิติแบนราบที่ว่างเปล่า มันกว้างใหญ่และทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา
ไม่มีร่องรอยของพลังจิตวิญญาณหรือความรุนแรงในบรรยากาศ เป็นพื้นที่ที่แยกตัวออกจากส่วนอื่นๆของโลกอย่างสิ้นเชิง
“นี่เราอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาสำเร็จวรยุทธระดับราชันย์เทพเจ้าแล้ว คงยากจะเอาชีวิตรอดได้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ส่วนการต่อสู้นั้นไม่ต้องพูดถึง
“พวกเราอยู่บนดวงจันทร์!” ไก่น้อยตอบ
“ดวงจันทร์?” จางเซวียนทวนคำอย่างงุนงง
ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้สึกว่าพื้นดินที่ตัวเองยืนอยู่เปล่งประกายสีเงินออกมา ดวงดาวระยิบระยับเจิดจ้าดารดาษอยู่รอบตัว สรวงสวรรค์ขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ ปรากฏให้เห็นในระยะไกล
พวกเขาอยู่บนดวงจันทร์จริงๆ
คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาถึงดวงจันทร์ได้ในชั่วพริบตา
จอมราชันย์ช่างน่าสะพรึงเหลือเกิน
จางเซวียนเหลียวมองรอบตัว เห็นผู้คนจำนวนหนึ่งยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียง แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง การรับรู้จิตวิญญาณของเขาไม่อาจระบุการปรากฏตัวของคนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน เจ้าของใบหน้าขนาดใหญ่ที่เขาได้เห็นที่น่านฟ้าหลิงหลงก็อยู่ในหมู่ฝูงชนด้วย
จางเซวียนประหลาดใจที่ไม่เห็นชายหนุ่มซึ่งเคยให้คำชี้แนะเรื่องศิลปะเพลงดาบของเขาเมื่อไม่นานมานี้ แต่ผู้อาวุโสที่เคยยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มกลับอยู่ที่นี่ เป็นไปได้ว่าจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบคงส่งอีกฝ่ายมาชมการดวลแทนตัวเขา
“เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ก็คือ 9 จอมราชันย์” จางเซวียนพึมพำ
ผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้ชมการดวลครั้งนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นจอมราชันย์ มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รีบร้อนมาที่นี่เพื่อให้ทันการดวล และก็เป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถปกป้องตัวเองจากคลื่นความสั่นสะเทือนของการต่อสู้
“มันเริ่มแล้ว” ไก่น้อยพูด
จางเซวียนเงยหน้า เห็นสองร่างยืนจังก้าอยู่บนภูเขาสองลูกที่ห่างออกไปหลายพันลี้
หนึ่งในนั้นคือชายชราที่มีเคราสีขาวราวหิมะ เครานั้นปลิวไสวอยู่ในสายลม นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายของความเมตตากรุณาล้ำลึกที่มีต่อโลกใบนี้
อีกฝ่ายคือสาวน้อยผมดำยาวสยาย แววตาของเธอสง่างามและเย็นเยียบตามแบบของจอมราชันย์
หลัวลั่วชิง!
จางเซวียนกำหมัดแน่น
เขาคิดถึงเธอนับตั้งแต่ทั้งคู่แยกจากกันในทวีปแห่งปรมาจารย์ และนึกภาพไว้ล่วงหน้าหลายครั้งหลายหนว่าการกลับมาพบกันอีกครั้งของพวกเขาจะเป็นอย่างไร
แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องจริงจะเป็นแบบนี้
เธอกำลังจะเข้าสู่การดวลแบบชี้เป็นชี้ตายกับอีกบุคคลหนึ่งซึ่งก็มีความสำคัญต่อชีวิตของเขา
จางเซวียนเห็นไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รอยร้าวปรากฏทันที สายฟ้าฟาดนับไม่ถ้วนก็ฟาดลงมายังพื้นดิน ปลดปล่อยพละกำลังทำลายล้าง พื้นผิวดวงจันทร์สั่นสะท้านไม่หยุด
ท่ามกลางรอยแยกสีดำที่มีอยู่มากมาย หลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงที่ลอยตัวอยู่ก็เริ่มสำแดงกระบวนท่า
กระบวนท่าของทั้งสองไม่ได้ว่องไวมากนัก แต่ทุกการปะทะทำให้เกิดแรงกระแทกที่แทบจะฉีกกระชากโลกทั้งใบให้แยกออกจากกัน
ดูเหมือนพระจันทร์ใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะพละกำลังของพวกเขา มันอาจจะร่วงลงจากกลางอากาศก็ได้
หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจางเซวียนก็เข้าใจว่าทำไมหลัวลั่วชิงกับปรมาจารย์ขงถึงเลือกชัยภูมินี้สำหรับการดวลครั้งสุดท้าย
“บนดวงจันทร์ ไม่มีใครใช้พละกำลังของสวรรค์ได้…”
ในฐานะนักรบผู้ควบคุมเศษเสี้ยวของสวรรค์ หากพวกเขาตั้งต้นใช้พละกำลังและอำนาจของสวรรค์ นั่นคงเป็นหายนะต่อความมั่นคงและความเสถียรของโลก ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนจะต้องล้มตาย
ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงตัดสินใจเลือกสนามประลองที่จำกัดให้พวกเขาใช้ได้เฉพาะพละกำลังของตัวเองเท่านั้น
คลื่นความสั่นสะเทือนทรงพลังเสียจนแผ่ซ่านออกไปในระยะหลายพันลี้ เกือบจะถึงตัวจางเซวียน แต่ไก่น้อยก็ปัดป้องมันออกไปไม่ให้ถึงตัวเขา
แต่ดวงจันทร์โชคร้ายที่ไม่มีใครคอยปกป้อง รอยร้าวที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าบนผิวหน้าของมันทำให้มันแยกตัวออกจากกันเพราะแรงปะทะของนักรบผู้ไร้เทียมทานทั้งสอง
จางเซวียนไม่อาจมองเห็นการต่อสู้ได้อย่างชัดเจนเพราะพละกำลังของเขาที่ยังมีจำกัด แถมใช้หอสมุดเทียบฟ้าที่นี่ก็ไม่ได้ จึงได้แต่หันไปมองไก่น้อยแล้วถามว่า “แกคิดว่าใครจะชนะ?”
ไก่น้อยไม่ตอบคำถามของจางเซวียน มันขมวดคิ้วขณะพึมพำด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความไม่อยากเชื่อ “ประหลาดมาก!”
“อะไรประหลาด?” จางเซวียนถาม
“ในเมื่อมันคือการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย ผมก็คิดว่าทั้งคู่น่าจะใส่เต็มที่ แต่เพราะอะไรสักอย่าง…” ไก่น้อยโคลงศีรษะไปมาขณะครุ่นคิดคำถามที่ยังไม่อาจทำความเข้าใจได้ “ทำไมถึงดูเหมือนพวกเขาต่างก็ยั้งมือ?”
“พวกเขาอาจกำลังหยั่งเชิงเพื่อหาโอกาสโจมตีหรือเปล่า?” จางเซวียนถามขณะเฝ้ามองการดวลด้วยความกังวล
ในการต่อสู้โดยทั่วไป นักรบมักไม่ทุ่มสุดตัวหรือเปิดเผยไม้ตายตั้งแต่ต้น พวกเขาจะลองหยั่งเชิงความสามารถของอีกฝ่ายก่อนจะปลดปล่อยไม้ตายที่มีประสิทธิภาพสูงสุดออกมา
พื้นดินยังคงสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่องจากแรงปะทะของทั้งคู่ แม้แต่ภูเขาที่พวกเขาเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็พังทลาย กลายเป็นฝุ่นคลุ้งอยู่กับพื้น
โชคดีที่ปรมาจารย์ขงกับหลัวลั่วชิงไม่ได้อยู่ในสรวงสวรรค์ ไม่อย่างนั้น การต่อสู้ที่รุนแรงระดับนี้คงทำลายได้แม้แต่เมืองใหญ่อย่างเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน เทพเจ้ามากมายคงต้องสังเวยชีวิตให้กับหายนะครั้งนี้
“ด้วยพละกำลังของแกในเวลานี้ คิดว่าพอมีโอกาสยับยั้งพวกเขาได้ไหม?” จางเซวียนถาม
“เป็นไปไม่ได้เลย” ไก่น้อยตอบพร้อมกับส่ายหน้า “วรยุทธของผมพัฒนาขึ้นเล็กน้อยหลังจากฟื้นคืนชีพ แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับการรับมือกับทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นจอมราชันย์หลินชีหรือจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ พวกเขาก็เป็นสุดยอดของสรวงสวรรค์แล้ว ไม่มีจอมราชันย์คนไหนประชันกับพวกเขาได้หรอก”
คำตอบนั้นทำให้จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขาเองก็คิดไว้แล้วว่าต้องได้รับคำตอบแบบนี้ แต่ก็อดผิดหวังไม่ได้เมื่อได้ฟังจากปากไก่น้อย ดูเหมือนไม่มีอะไรที่เขาทำได้เลย
แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้ไก่น้อยยับยั้งการดวลครั้งนี้ได้ ในอนาคตก็ย่อมเกิดหายนะครั้งใหญ่อยู่ดี เพียงแค่ยึดสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ให้เกิดช้าออกไปอีกหน่อยเท่านั้น
ฟิ้วววว!
กระแสดาบฉีรูปพระจันทร์เสี้ยวจำนวนมากมายระเบิดออกเต็มพื้นที่โดยรอบ
ในที่สุดหลัวลั่วชิงก็ชักอาวุธของเธอออกมา
ศิลปะเพลงดาบของเธอทั้งสง่าและงดงาม แถมยังดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด จางเซวียนอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อได้เห็น
มันมีความคล้ายคลึงบางอย่างกับศิลปะเพลงดาบที่เขาได้เห็นจากจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบ แต่แนวคิดดูจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย
ศิลปะเพลงดาบของหลัวลั่วชิงให้ความรู้สึกของจิตวิญญาณและอิสระเสรี ราวกับนักรบสักคนที่ปลอดจากพันธะต่างๆในโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง
หลัวลั่วชิงน่าจะเคยได้รับคำชี้แนะจากจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบ
จางเซวียนประเมินระดับพละกำลังของจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบไม่ได้ แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเก่งกาจทัดเทียมกับหลัวลั่วชิงและปรมาจารย์ขง
หลัวลั่วชิงนำศิลปะเพลงดาบของจอมราชันย์แห่งกระท่อมดาบมาถ่ายทอดจิตวิญญาณของเธอเข้าไปและปรับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแบบของตัวเอง
เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จางเซวียนยังรู้สึกได้ว่านอกเหนือจากความโหยหาอิสรภาพ เพลงดาบของหลัวลั่วชิงยังมีแนวคิดของการปกป้องคุ้มกันด้วย
ปัญหาเดียวก็คือสองแนวคิดนี้ขัดแย้งซึ่งกันและกัน ความปรารถนาที่จะปกป้องอะไรสักอย่างคือโซ่ตรวนในตัวของมันเอง ทำให้ผู้นั้นไม่อาจใช้ชีวิตอย่างอิสระ
หากเธอเป็นอิสระอย่างแท้จริง ศิลปะเพลงดาบของเธอคงจะแข็งแกร่งกว่านี้มาก…
จางเซวียนอาจอ่อนด้อยกว่าทั้งคู่ในแง่ของวรยุทธ แต่หากเป็นเรื่องศิลปะเพลงดาบ ก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่ากันเลย