บทที่ 23 สอบสวนคดี
Ink Stone_Romance
บริเวณโถงใหญ่ถูกจัดให้เหลือเพียงไม่กี่โต๊ะสำหรับเหล่าเจ้าหน้าที่
เหล่าชนชั้นสูงถูกจัดให้นั่งที่ม้านั่ง ส่วนคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหมิงเฉิงทำได้แค่ยืนดู
โชคดีที่พวกหมิงเวยนั่งอยู่ในเขตที่นั่งส่วนตัวพวกเขาจึงไม่ถูกไล่ออกมา
หากถูกพบเข้าล่ะก็คงไม่สามารถหนีพ้นได้
เมื่อเจี่ยงเหวินเฟิง ท่านเจ้าเมือง และคนอื่นๆ เข้ามา แม่นางอาหว่านท่านนั้นก็เข้ามาพร้อมกับสาวใช้สองนาง
“ท่านเจ้าของร้าน คุณชายของพวกเราต้องการเข้ามาดื่มชา รบกวนเตรียมโต๊ะส่วนตัวให้ด้วย” นางกระซิบเสียงเบา
หมิงเซียงเบิกตากว้าง นางจับข้อมือของหมิงเวยแล้วลดเสียงลง พูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่เจ็ด! ท่านได้ยินหรือไม่ คุณชายหยางจะมาที่นี่ พวกเรามาไม่เสียเที่ยวจริงๆ!”
หมิงเวยเหลือบมองนางแล้วพูดเบาๆ “เจ้าจะไม่กังวลหน่อยหรือ หากพวกเขาเข้ามาเห็นเราขึ้นมาจะทำอย่างไร”
หมิงเซียงตัวสั่นนางรีบหันไปมองโถงใหญ่ที่มีม่านไม้ไผ่กั้นอยู่
โชคดีที่เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น
แม่นางอาหว่านท่านนั้น มองไปที่โต๊ะส่วนตัวทางฝั่งตรงข้าม เจ้าของร้านไปคุยกับลูกค้าฝั่งนั้นซึ่งทางลูกค้าก็รีบออกไปแต่โดยดี
แม่นางอาหว่านปรบมือ คนรับใช้กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาเป็นแถวยาวเหยียด ในมือพวกเขาถือของเข้ามาด้วย
ม่านไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามถูกยกออก เหล่าคนรับใช้เช็ดโต๊ะ ทำความสะอาด ปูผ้าคลุม เปลี่ยนเก้าอี้ จากนั้นนำถ้วยชามตะเกียบของตนเองออกมาลวก แม้แต่เตากับกาต้มน้ำก็ยังเอามาเองด้วย
ทุกคนประหลาดใจกับภาพที่เห็น อะไรคือความพิถีพิถัน วันนี้พวกเขาได้เห็นและเข้าใจแล้ว
สุดท้ายแม่นางอาหว่านทำการจุดเทียนหอม
“นึกไม่ถึงเลยว่าคุณชายจวนตระกูลโหว ช่างเป็นอะไรที่เปิดหูเปิดตาจริงๆ” บัณฑิตโต๊ะข้างๆ กระซิบกัน
อีกคนกลับหัวเราะ “รสนิยมสูงเสียจริง!” ในขณะที่พูดคุยกันประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก
สาวใช้สองนางลงจากรถม้าก่อนเพื่อมารอด้านข้างด้วยความเคารพ
“อา!” หมิงเซียงร้องเสียงเบาแล้วรีบคว้าข้อมือของหมิงเวย
หมิงเวยเสียสมาธิ “…ยังไม่ออกมาเลยเจ้าจะร้องทำไม”
“ข้าตื่นเต้น…” ดวงตาของหมิงเซียงเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
พอถูกขัดจังหวะ เมื่อหมิงเวยหันศีรษะไปมอง คุณชายหยางก็ได้ลงจากรถม้ามาเรียบร้อยแล้ว
ถึงนางจำคนไม่ค่อยได้ แต่ก็แยกออกว่าใครขี้เหร่ใครรูปงาม คุณชายหยางผู้นี้สวมเครื่องแต่งกายประณีตงดงาม สวมหมวกทองคำ รูปร่างสูงใหญ่ ดูเป็นชายที่มีรสนิยมมาก เมื่อเขาหมุนตัวมา นางได้ยินเสียงสูดลมหายใจอย่างชัดเจน
“งาม…งามมาก” หมิงเซียงพึมพำ
เขางดงามจริงๆ นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาที่สมบูรณ์แบบ ไฝเม็ดเล็กๆ ที่อยู่ตรงหว่างคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเกินจริงจนไม่เหมือนคนที่พบเจอได้บนโลกมนุษย์ ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือใบหน้านี้ดูไม่เหมือนหญิงสาวสักนิดเลย
กล่าวสั้นๆ เลยคือ เขาเป็นชายที่รูปงามมาก หมิงเวยก้มหน้าลงดื่มชา
“พี่เจ็ดๆ ท่านเห็นหรือไม่” หมิงเซียงรู้สึกตื่นเต้นมาก และนางต้องการแบ่งปันความรู้สึกนี้ให้กับผู้อื่น
“เห็นแล้ว”
“มีคนรูปงามเช่นนี้อยู่บนโลกใบนี้ด้วย! ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าทำไมเผยกุ้ยเฟยถึงได้เป็นใหญ่ในวังหลัง คุณชายหยางมีใบหน้าเหมือนท่านป้า เผยกุ้ยเฟยจะต้องงามบาดตาเป็นแน่!”
ความสนใจของหมิงเวยไม่ได้อยู่ตรงนี้
นางพบว่าคุณชายหยางผู้นี้ถึงจะดูผิวขาวผ่องและดูอ่อนแอ แต่ที่จริงแล้วการก้าวเท้าของเขาดูมั่นคง เมื่อพิจารณาจากรูปร่างและท่าทางของเขาแล้ว แน่นอนว่าเขาเป็นผู้มีวิทยายุทธ์
ดูเหมือนว่าจวนโป๋หลิงโหวจะไม่ได้แค่เลี้ยงดูเขาอย่างเดียว ทั้งองค์หญิงหมิงเฉิงและโป๋หลิงโหวต่างเป็นทหารที่กล้าหาญ นี่คงเป็นสิ่งที่ครอบครัวนี้สืบทอดต่อกันมา
ทหารผู้ติดตามกางร่มให้ ส่วนสาวใช้ปูพรม จากรถม้าไปจนถึงโรงน้ำชา เป็นแค่ระยะทางสั้นๆ แต่รองเท้าของเขาไม่ได้สัมผัสแม้แต่ฝุ่นเลยด้วยซ้ำ
โต๊ะข้างๆ พูดเยาะเย้ยเสียงเบา “ระยะทางแค่นี้ยังต้องกางร่ม เขาคิดว่าตัวเองเป็นหญิงหรืออย่างไร ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดใบหน้าท่านจึงขาวราวกับแป้ง”
คราวนี้สหายของเขาไม่ได้เอ่ยห้ามปรามคงคิดว่าที่สหายตนกล่าวมาก็ถูก
แม้ว่าในยุคสมัยนี้เหล่าขุนนางจะมีความมั่งคั่ง แต่หากพูดถึงอำนาจแล้วละก็ยังอยู่ในมือของอำมาตย์ บัณฑิตเหล่านี้แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอำนาจ แต่พวกเขาก็มีคุณสมบัติที่จะก้าวเข้าสู่ระบบอำมาตย์ได้ พวกเขาจึงไม่กลัวการลงโทษจากขุนนาง
แน่นอนว่ายังคงต้องให้ความเคารพอยู่
ดังนั้น เมื่อตอนที่คุณชายหยางเข้ามา เจ้าหน้าที่ทุกคนในที่นี้ล้วนลุกขึ้นถวายความเคารพ
คุณชายหยางผู้นี้ไม่พูดอะไร แค่พยักหน้ารับการเคารพแล้วเข้าไปในเขตโต๊ะส่วนตัว
ม่านไม้ไผ่ถูกวางกั้นบดบังทุกอย่างจากสายตา
หลายคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วกลับไปสนใจการสอบสวนคดีของเจี่ยงชิงเทียนต่อ
เจี่ยงเหวินเฟิงนั่งลงตรงกลางแล้วพูด “พาคนเข้ามา”
“ขอรับ”
ท่านยายหมี่และหลานสาวของนางถูกพาตัวเข้ามา พอจะนั่งลงคุกเข่า เจี่ยงเหวินเฟิงก็ยกมือห้าม “พวกท่านหนึ่งคนชรากับหนึ่งเด็กหญิง ไม่ต้องคุกเข่าหรอก ยืนพูดเถิด”
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ได้ถามพวกนางในทันที แต่หันตัวไปถามเหล่าเจ้าหน้าที่ของเมืองตงหนิง “คดีนี้ตรวจสอบแล้วเป็นอย่างไร มีใครอ่านเอกสารแล้วหรือยัง”
เจ้าหน้าที่สวมเครื่องแบบนายหนึ่งยืนขึ้น “คดีนี้ได้รับการตรวจสอบแล้วขอรับ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “เจ้ารายงานคดีนี้มาทีละเรื่อง สืบหาอย่างไร ตรวจสอบอย่างไร อย่าข้ามไปแม้แต่เรื่องเดียว”
“ขอรับ” นายอำเภอเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับคดีนี้
คดีวางยานั้นง่ายมาก ครอบครัวเหออาศัยอยู่ในหมู่บ้านซานชู่ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมดสามรุ่นหกคน ครอบครัวนี้มีความรักใคร่สามัคคีปรองดองกันและไม่เคยโกรธเคืองผู้อื่นเลย
ในเช้าวันนั้น ลูกสะใภ้ของบ้านให้อาหารหมูสาย หมูในคอกจึงร้องด้วยความหิว
พ่อตาเห็นอย่างนั้นจึงพูดกับนางไปสองสามประโยค ปกติชาวนาจะทานข้าวสองมื้อ หากทำงานอย่างหนักก็จะเพิ่มอีกหนึ่งมื้อ
ตอนบ่ายพ่อตากลับจากทำงานเพื่อมาพักผ่อน ผูชื่อเองก็ปรุงก๋วยเตี๋ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พ่อตาทานก๋วยเตี๋ยวไปไม่นานก็ตายเนื่องจากถูกวางยาพิษ
นายอำเภอชี้แจงข้อเท็จจริง “เจ้าหน้าที่ระดับล่างได้รับรายงานและสั่งให้มีการชันสูตรพลิกศพ ยืนยันว่ามีการวางยาจริง นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ แม่ยายของผูชื่อเดินทางไปหมู่บ้านข้างเคียง และไม่กลับมาจนกระทั่งเกิดเหตุ บุตรชายของผู้ตายยังคงทำงานอยู่ที่นา ส่วนลูกๆ ทั้งสองคนอยู่ในห้อง คนพี่ดูแลคนน้องอยู่ บ้านเหอไม่มีคนนอกเข้ามา มีเพียงแค่ผูชื่อคนเดียว เจ้าหน้าที่ไม่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาแน่นอนขอรับ!”
“แล้วผูชื่อนางว่าอย่างไร แล้วเพื่อนบ้านล่ะว่าอย่างไรบ้าง”
“ผูชื่อแน่นอนว่านางไม่ยอมรับ บอกว่าตนเองไม่ได้วางยา เพื่อนบ้านบอกว่าปกตินางเข้ากับคนในครอบครัวได้ดีและไม่ค่อยทะเลาะวิวาท แต่เพื่อนบ้านไม่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น”
เจี่ยงเหวินเฟิงถามต่อว่า “ถ้างั้นพิษมาจากไหน ตรวจสอบร้านยาแล้วหรือยัง”
หน้าผากของนายอำเภอมีเหงื่อผุดออกมากขึ้น “เจ้าหน้าที่…เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบแล้วขอรับ แต่ไม่มีคนเคยเห็นผูชื่อไปซื้อยา แต่ในชนบทมีของที่มีพิษเยอะอยู่แล้ว ผูชื่อเองก็รู้เรื่องนี้ดีจึงไม่น่าแปลกใจอะไร”
“ก๋วยเตี๋ยวที่ผูชื่อปรุงเล่า ตรวจสอบแล้วหรือยัง”
“ตรวจสอบแล้วขอรับ ตัวเส้นทำเอง น้ำแกงไม่มีปัญหาอะไร เครื่องปรุง ภาชนะใส่อาหารล้วนสะอาดหมด”
“ก่อนที่ท่านเหอจะกลับมา มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ” โชคดีของนายอำเภอที่เขาตรวจสอบเรื่องพวกนี้โดยละเอียดจึงตอบคำถามเหล่านี้ได้ “ท่านเหอออกไปทำงานในตอนเช้า เขาเดินทางไปพร้อมกับบุตรชายคนรอง เดินทางด้วยเส้นทางเดียวกัน ร่างกายไม่มีร่องรอยบาดแผลหรือถูกกัดแต่อย่างใดขอรับ”
“ขั้นตอนตั้งแต่ผูชื่อทำก๋วยเตี๋ยวจนถึงท่านเหอเดินเข้ามา มีอะไรตกหล่นหรือไม่”
“ผูชื่อบอกว่านางอยู่ที่บ้านตลอดและไม่มีใครเข้ามาเลย” นายอำเภอชะงัก แล้วพูดต่อ “หลังจากเจ้าหน้าที่สอบปากคำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางบอกว่าหลังจากปรุงก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้ว นางก็วางทิ้งไว้ที่ขอบหน้าต่างเพื่อคลายร้อน ส่วนนางกลับห้องมาหยิบแผ่นรองเท้าแต่ท่านเหอก็กลับมาพอดี ซึ่งช่วงเวลาแค่นั้นไม่เพียงพอที่คนนอกจะข้ามกำแพงเข้ามาได้”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็หันไปถามท่านยายหมี่และเด็กสาว “พวกท่านมีอะไรอยากพูดหรือไม่”
ท่านยายหมี่ที่ไม่รู้ว่าสืบคดีกันอย่างไร นางเอาแต่ร้องไห้และพูดว่า “บุตรสาวของข้าน้อยไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ ใต้เท้าได้โปรดพิจารณาด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
…………………………………………………………………………..