คุกอันมืดมิดเปรียบเสมือนอีกโลกหนึ่ง
ฟางที่กระจายอยู่บนพื้นได้เน่าเสียไปนานแล้วมีหนูและแมลงสาบคลานไปมา อีกทั้งปัสสาวะที่อยู่ตรงมุมห้องยังส่งกลิ่นที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้อีกด้วย
“คุณชาย” อาสวนตอบ “ท่านออกไปรอด้านนอกดีหรือไม่ขอรับ ที่นี่ข้าน้อยจะจับตาดูให้เอง”
หยางชูส่ายหน้าเขาปอกเปลือกส้มแล้วโยนเข้าปากเพื่อให้ตัวเองสดชื่นขุนนางผู้ชันสูตรศพกำลังชันสูตรศพของท่านเจ้าเมืองอู๋
การตายของเขาไม่อนาถมากนัก แต่ก็ทำให้คนตกใจกลัวได้นิดหน่อย มันคือปิ่นหยกที่ใช้สำหรับมัดผม ตัวปิ่นมีลักษณะกลมไม่คมมากนัก แต่เขาใช้ปิ่นทิ่มเข้าไปในดวงตาเจาะสมองคิดแทงตนเองให้ตาย
หยางชูเลิกคิ้ว “ค้นตัวกันอย่างไร เหตุใดแม้แต่อาวุธมีคมอย่างปิ่นถึงไม่ถูกริบไปด้วย”
อาสวนตอบ “ตั้งแต่กลางดึกที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้เกรงว่าจำนวนคนไม่เพียงพอจึงไม่มีการหยุดส่งคนเข้ามาเลย เกิดเรื่องผิดพลาดเช่นนี้ขึ้นพวกเราคงจะต้องส่งคนมาด้วยตนเองในครั้งต่อไป”
หยางชูเหลือบมองเขา “ข้าหมายถึงพวกเจ้าต่างหาก! นักโทษคนสำคัญเช่นนี้ยังไม่สามารถรับมือได้ทันเวลาอีก”
อาสวนรีบก้มหน้ายอมรับความผิด “เป็นความผิดของข้าน้อยเองขอรับ ข้าน้อยจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกในครั้งหน้าขอรับ”
หยางชูถอนหายใจเขายื่นส้มที่เหลือให้อาสวนแล้วเดินเข้าไปในห้องขัง
ท่านเจ้าเมืองอู๋นั่งอยู่ตรงมุมห้อง ศีรษะของเขาตกลงมา ปิ่นหยกสอดลึกเข้าไปในดวงตา ใบหน้าของเขาดูบิดเบี้ยว
“ตายอย่างเด็ดเดี่ยว” หยางชูส่ายหัวแล้วไม่สนใจที่จะดูต่ออีก
แต่เขาไม่ได้ออกไปในทันที กลับเดินไปรอบๆ ห้องขังที่อยู่ใกล้เคียง สอบถามอย่างละเอียดว่าใครมีความเกี่ยวข้องบ้าง
หลังจากเดินตรวจเสร็จ เขาก็ออกจากห้องขังและยืนกินส้มอยู่ที่ประตู
แสงอาทิตย์ปลายฤดูใบไม้ผลิแผ่ความอบอุ่นบนร่างกายและปัดเป่าความหนาวเย็นในเรือนจำ อาสวนยืนอยู่ข้างกายเขาลอกเส้นใยส้มออกอย่างระมัดระวังแล้วส่งให้หยางชู
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง” หยางชูพูด “ตรวจสอบทุกคนที่ติดต่อกับเขาตั้งแต่เขาเข้ามาที่นี่”
อาสวนเข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร “ท่านหมายถึงมีคนรายงานเขาหรือขอรับ”
หยางชูพยักหน้า “วิธีการตายเช่นนี้เด็ดขาดเกินไป เขาก่อกบฏครั้งใหญ่ การสมรู้ร่วมคิดทำให้เขาไม่สามารถรอดพ้นจากความตายได้ แต่ด้วยความเมตตาของฝ่าบาท พระองค์อาจจะไว้ชีวิตครอบครัวของเขา เหตุใดเขาจึงชิงฆ่าตัวตายในเวลานี้ โกรธเคืองฝ่าบาทที่นำหายนะมาสู่ครอบครัวของเขางั้นหรือ”
ในสมัยการกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋อง นอกจากครอบครัวตัวการก่อกบฏที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ผู้สมรู้ร่วมคิดล้วนต้องโทษสถานเบา ไม่เห็นมีความจำเป็นใดที่ท่านเจ้าเมืองอู๋ต้องฆ่าตัวตายเช่นนี้เลย นอกเสียจากว่าหากเขาไม่ฆ่าตัวตาย ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจร้ายแรงกว่านั้น
อาสวนพยักหน้า “ข้าน้อยจะสั่งให้พวกเขาทำการตรวจสอบขอรับ”
“อืม” เดิมทีเขาต้องการสอบสวนอู๋ควน แต่ในเมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ หยางชูก็หมดความสนใจและเดินกลับศาลว่าการอย่างเกียจคร้าน
ข้าราชการที่ไม่อยู่ในสายตานายหนึ่งเดินเข้ามาหา “คุณชายขอรับ”
หยางชูจำได้ว่าเขาเป็นสายลับที่ถูกสั่งให้ไปเฝ้าจวนตระกูลหมิง คิ้วของเขาขมวดมุ่น “ทำไม เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”
สายลับตอบ “แม่นางหมิงต้องการพบท่านขอรับ”
“เข้าใจแล้ว” ทั้งสองเดินผ่านไปราวกับว่าพวกเขาไม่เคยพูดคุยกัน
หลังจากเข้าไปในศาลว่าการเขาก็ออกคำสั่งทันที “เตรียมรถ”
อาสวนถาม “ไปที่จุ้ยเซียนโหลวหรือขอรับ” ร้านแห่งนั้นเป็นฐานที่มั่นภายใต้ชื่อของหวงเฉิงซือ
หยางชูส่ายหน้า “เปล่า ไปจวนตระกูลหมิง”
“….” อาสวนตอบ “คุณชาย ท่านอย่าซี้ซั้วเข้าไปเลยขอรับ แม่นางหมิงเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน การไปพบเช่นนี้อาจทำให้เกิดปัญหาได้นะขอรับ”
หยางชูหัวเราะเยาะ “ปัญหางั้นหรือ ยังมีปัญหาอะไรหนักกว่าเมื่อวานอีกกัน แอบเข้าไปพบกันในวัดเป่าหลิงกลับถูกขังอยู่ในภูเขาที่เกิดเพลิงไหม้ สถานการณ์เช่นนี้ ปกติมักจะทำอย่างไรต่อกันเล่า”
“โธ่!” อาสวนเหลือบมองเขา “ปกติแล้วฝ่ายชายต้องรับผิดชอบ แน่นอนว่าคุณชายขึ้นชื่อเรื่องไม่รับผิดชอบ…”
“…” หยางชูกุมขมับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังจะกลัวอะไรอีก”
ก็จริง…อาสวนจึงทิ้งความกังวลออกไปแล้วออกไปเตรียมรถ รถม้าวิ่งไปตลอดทางและหยุดที่หน้าจวนตระกูลหมิง
บรรยากาศจวนตระกูลหมิงในวันนี้ช่างอึมครึม อาสวนเคาะประตู ผ่านไปสักพักถึงมีคนออกมา เมื่อเขารายงานชื่อของเขาอีกฝ่ายตกใจจนลูกตาแทบหลุดออกจากเบ้าแล้วรีบกลับไปรายงานฮูหยินสอง
ฮูหยินสองที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนพอได้รับรายงานนางก็ตกใจ
“ฮูหยิน ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” แม่นมหูเป็นกังวล “คุณชายหยางผู้นั้นก็จริงๆ เลย นัดออกไปพบก็ถือว่าช่างมันไป พวกเราทำได้แค่ปิดตาข้างหนึ่ง แต่คราวนี้มาถึงที่เลยแล้วจะให้พวกเราทำอย่างไรหรือต้องให้อนุญาตเขาเข้าไปพบคุณหนูเจ็ดกันเจ้าคะ”
ฮูหยินสองโบกมือพูดด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม “เขาอยากพบก็ให้เขาพบเถอะ ให้คนพาเขาไปที่สวนอวี๋ฟาง”
แม่นมหูตกใจ “ฮูหยินเจ้าคะ! ทำเช่นนี้ได้อย่างไร แม้เขาจะอยากพบ แต่ก็ไม่สามารถให้เข้าไปในเรือนได้…”
“ต้องเมื่อไรกันล่ะ คิดว่าเรื่องนี้ควรจัดการเช่นไรหรือ” ฮูหยินสองพูดเสียงเบา “แม่นม ท่านมองไม่ออกหรือว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลของเรา เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคุณชายหยาง”
“ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถ…”
“ตระกูลหมิงกำลังตกอับ!” ฮูหยินสองยิ้มเศร้า “ไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับคนที่เกือบจะฆ่าล้างครอบครัวของพวกเราแล้ว นอกจากนี้เราควรขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่เขามาที่นี่”
แม่นมหูได้สติ
ใช่ ที่ฮูหยินพูดมาถูกแล้วการที่คุณชายหยางมาหาเช่นนี้เป็นการบอกสัญญาณให้คนเหล่านั้นรู้ว่าเขายังใส่ใจคุณหนูเจ็ดอยู่ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าที่จะโยนหินใส่คนที่ตกลงไปในบ่อ
อย่างไรก็ตาม คนที่ผ่านยุคอันรุ่งเรืองของตระกูลหมิงอย่างแม่นมหูเห็นภาพนี้แล้วก็อดเศร้าใจไม่ได้ “เหตุใดถึงมาอยู่จุดนี้ได้…”
ฮูหยินสองหัวเราะ “ตระกูลใหญ่มีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ แม่นมอย่าเศร้าไปเลย ขอเพียงปกป้องลิ่วเกอกับซานเอ๋อร์ได้ พวกเราก็ยังมีอนาคต”
“ที่ฮูหยินกล่าวมาก็ถูกเจ้าค่ะ…”
…………
อาสวนเดินตามหยางชูเข้าไปอดไม่ได้ที่จะพึมพำ “ตระกูลหมิงปล่อยท่านเข้ามาแบบนี้เลยหรือ”
“ไม่ได้งั้นหรือ” หยางชูถาม “พวกเขาควรจะขอบคุณข้าด้วยซ้ำที่ข้ามาในวันนี้”
เสียงขลุ่ยเบาๆ ดังมาจากสวนอวี๋ฟาง หยางชูหยุดฟังสักพักก่อนจะก้าวเข้าไป เดินไปไม่นานก็เห็นหมิงเวยนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ตรงทางเดิน
“เป็นบทเพลงอะไรหรือ ไพเราะนัก”
พอได้ยินเสียงหมิงเวยจึงเงยหน้าขึ้นดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ “มาเร็วเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ เกินความคาดหมายของข้ามาก”
“อย่างไรซะตอนนี้ข้าก็เป็นบุรุษที่อยู่แทบเท้าของท่านแล้ว เมื่อมีนัดเหตุใดจะรีบมาไม่ได้เล่า” หยางชูพูดไปพลางหยิบพัดออกมาโบก
เห็นเขาเป็นเช่นนี้หมิงเวยยกยิ้ม “เห็นท่านเป็นเช่นนี้หมายความว่าบาดแผลไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เลือดออกนิดเดียวจะเป็นอะไรได้” หยางชูไม่สนใจแล้วเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม “พูดมา อยากพบข้ามีเรื่องอะไรหรือ”
หมิงเวยลูบขลุ่ย “มีอยู่สองเรื่อง”
“หืม”
“เรื่องแรก ข้าอยากขอยืมคนของท่าน”
หยางชูเลิกคิ้ว “ใครงั้นหรือ”
“นายท่านสองกับนายท่านสาม”
แววตาของหยางชูฉายแววสนใจ “เมื่อใดหรือ”
“เมื่อนายท่านสี่กลับมาที่จวน”
เขาพยักหน้า “จริงๆ ก็ย่อมได้ แต่ท่านคงทราบว่าพวกเขาเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ จะไม่มีคนเฝ้าดูไม่ได้”
พูดเหมือนจะดูดี มิใช่ว่าตัวเขาอยากชมความตื่นเต้นหรือไงกัน หมิงเวยตอบ
“ท่านก็มาด้วยกันสิ”
หยางชูยิ้ม “ได้ แล้วเรื่องที่สองล่ะ”
………………………………………..