ตระกูลหมิงกำลังเป็นกังวลว่าจี้หลิงอาจจะสร้างปัญหา นายท่านสี่ถึงกับเตรียมการว่าจะจัดการรับมือเขาอย่างไรดี ผู้ใดจะรู้ว่าจี้หลิงไปร่วมพิธีศพของนายท่านหกอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
ทุกคนในตระกูลหมิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อมาคิดดูแล้วตระกูลจี้ในตอนนี้ไม่เหมือนตระกูลจี้ในเมื่อห้าสิบปีก่อน คนเรามีเหี่ยวเฉาไม่ทะเยอทะยานแล้วจะเอาความมั่นใจจากไหนมาสร้างปัญหา
อีกอย่างนายท่านหกก็เสียชีวิตไปแล้วคำอธิบายก็ให้ไปแล้วตระกูลจี้ยังจะต้องการอะไรอีก อย่างไรก็ตามเมื่อรอขบวนขนโลงศพเพื่อนำไปฝังกลับมา พวกเขาพบว่าตนเองวางใจเร็วเกินไป…
ตระกูลหมิงไม่ได้รุ่งเรืองในตงหนิงอีกแล้วนอกจากนายท่านหมิงเซียง ยังมีอีกสองสามสายรอง แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ค่อนข้างห่างปกติจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกัน
ในตอนนี้นายท่านในตระกูลหมิงทั้งเสียชีวิต ทั้งถูกจับ คนที่สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้นอกจากนายท่านสี่แล้วก็มีหมิงเฉิงทำหน้าที่ด้วยความไม่เต็มใจ จำนวนคนน้อยเกินไป อย่างไรก็ต้องเชิญญาติสายรองมาเพื่อช่วยรักษาหน้าตา
ดูแลตั้งแต่การจัดการพิธีศพนายท่านหก การส่งแขกจากที่ต่างๆ และในขณะที่สมาชิกในตระกูลที่มาช่วยเหลือกำลังกล่าวลากัน จี้หลิงก็ปรากฏตัวขึ้น
“ท่านอาวุโสทั้งหลาย โปรดอยู่ที่นี่ก่อนขอรับ” นายท่านอาวุโสจากตระกูลหมิงอีกสายจัดอยู่ในอันดับสอง
ท่านผู้เฒ่ารองผู้นี้เป็นผู้ที่ชื่นชอบการศึกษาหาความรู้ ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าจี้หลิงมีรูปลักษณ์สะอาดสะอ้าน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ถือเป็นความประทับใจแรกพบซึ่งเขารู้สึกชื่นชอบมาก เมื่อได้ยินเสียงเรียกจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มไปว่า
“คุณชายจี้มีเรื่องอะไรหรือ” นายท่านสี่สะอึกในใจรู้สึกเห็นท่าไม่ดี
จากนั้นก็ได้ยินจี้หลิงกล่าวว่า “ข้าน้อยมาที่นี่เพราะมีเรื่องลำบากใจ เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสจึงไม่เหมาะสมเล็กน้อย และค่อนข้างทำลายชื่อเสียงของผู้อาวุโส เมื่อคิดไปคิดมาแล้วข้าน้อยคิดว่าจำเป็นต้องให้ท่านผู้เฒ่ารองเป็นพยานขอรับ”
แล้วท่านผู้เฒ่ารองก็นึกถึงเรื่องของฮูหยินสามจึงทำสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “หมายถึงเรื่องท่านอาของคุณชายใช่หรือไม่ อันที่จริงเรื่องนี้พวกเราต้องขออภัยพวกท่าน แต่คุณชายก็เห็นแล้วว่าหลานหกคนเลวนั่นได้ชดใช้ด้วยชีวิตไปแล้ว คนตายเหมือนตะเกียงดับ[1] ถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็ควรปล่อยผ่านไป”
อย่างไรก็คนแซ่เดียวกัน เรื่องอะไรเขาต้องช่วยผู้อื่นฉีกหน้าตระกูลตนเองกัน
จี้หลิงกลับตอบว่า “ท่านผู้เฒ่ารองเข้าใจผิดแล้วขอรับเรื่องที่ข้าน้อยต้องการพูดไม่ใช่เรื่องนี้” ท่านผู้เฒ่ารองและคนอื่นๆ ชะงักเมื่อได้ยินประโยคนี้
ไม่ใช่เรื่องนี้แล้วเรื่องไหนกัน
จี้หลิงพูดต่อไปว่า “เรื่องของท่านอาข้าน้อยยอมรับว่าโกรธมาก แต่อย่างที่ท่านผู้เฒ่ารองได้กล่าวไป คนตายเหมือนตะเกียงดับ นายท่านหกก็ไม่อยู่แล้วจะสืบหามูลเหตุอะไรได้”
ท่านผู้เฒ่ารองพยักหน้าและถามอย่างไม่แน่ใจ “แล้วเรื่องที่คุณชายต้องการพูดคือ…”
“เรื่องที่ข้าน้อยต้องการพูดคือเรื่องน้องสาวของข้าน้อยขอรับ!” สีหน้าจี้หลิงจริงจัง ท่านผู้เฒ่ารองรู้สึกสับสน น้องสาวของเขาหรือ หมายถึงเสี่ยวชีลูกของหลานสามใช่หรือไม่ เรื่องอะไรกัน
นายท่านสี่เองก็รู้สึกสับสนมากเขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามออกไป “คุณชายหมายถึงงานแต่งงานของเสี่ยวชีใช่หรือไม่ เรื่องนี้พวกท่านได้ตกลงกันไว้แล้ว พวกเราในฐานะผู้อาวุโสไม่คัดค้านอะไร คุณชายวางใจได้”
เขาคิดในใจว่าขอให้ไม่ใช่เรื่องนั้นก็พอ ตระกูลหมิงยุ่งเหยิงวุ่นวายมากพอแล้ว หากจี้หลิงต้องการสร้างปัญหาเขาก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไร
แต่จี้หลิงยังคงส่ายหน้า ท่านผู้เฒ่ารองคิดในใจเด็กคนนี้มีเรื่องใหญ่อะไรกันแน่ จึงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นออกไป
“คุณชายจี้ ท่านมีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถิด! หากพวกเขาทำเรื่องไม่ดี ข้าจะคืนความยุติธรรมให้แก่ท่านแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจี้หลิงจึงทำเป็นซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก “ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่ารองขอรับ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าน้อยก็กล้าที่จะตอบ!”
เขาหันไปมองนายท่านสี่ “นายท่านสี่ ข้าน้อยมาที่นี่หลายวันแล้ว ได้ยินคนนินทาเกี่ยวกับน้องสาวของข้าน้อยอยู่หลายครั้ง พูดว่าน้องสาวของข้าน้อยมีความสัมพันธ์กับคุณชายหยาง ข้าน้อยเหลือทนที่จะฟังอีกจึงขอเรียนถามอย่างตรงไปตรงมาเลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ขอรับ” นายท่านสี่ไม่คาดคิดว่าเขาจะถามเรื่องนี้
ชื่อเสียงของสตรีนั้นสำคัญมากหมิงเวยได้หมั้นหมายกับตระกูลของอีกฝ่าย หากให้พูดถึงเรื่องนี้ถือว่าทำให้ทางตระกูลจี้ต้องอับอาย ถึงแม้ตระกูลจี้จะได้ยินอะไรมา แต่เขาก็ควรถามหมิงเวยอย่างเงียบๆ ไม่ใช่หรือ แต่ในเมื่อเขามาถามต่อหน้าเช่นนี้ หากไม่ตอบเกรงว่าจะไม่ได้
นายท่านสี่ตอบอย่างคลุมเครือ “เสี่ยวชีรู้จักกับคุณชายหยางจริงๆ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนจนใครหลายคนเกิดความเข้าใจผิด หากคุณชายอยากทราบเรื่องราวภายในก็สามารถถามนางได้ให้นางบอกให้ท่านฟังด้วยตนเองเถิด”
สีหน้าของจี้หลิงกลับเย็นชา “นายท่านสี่บ่ายเบี่ยงได้ดีมากเลยขอรับ!”
นายท่านสี่ถูกเขาตะโกนใส่จนตกใจ และได้ยินจี้หลิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าน้อยเพิ่งได้ยินเรื่องนี้เดิมทีคิดว่าผู้อื่นพูดจาไร้สาระ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าพอสอบถามไปสักสองสามอย่าง ถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายขนาดนั้น ข้าน้อยได้ยินมาว่าคุณชายหยางมาพบน้องสาวของข้าน้อยเป็นครั้งคราว ซ้ำยังส่งมอบผ้าเช็ดหน้าให้ถึงในเรือน เชิญน้องสาวของข้าน้อยออกจากจวนด้วยใช่หรือไม่ขอรับ” เขาหมายถึงหยางชูเชิญหมิงเวยไปพูดคุยเรื่องนั้นกันที่ร้านอาหาร
ในตอนนั้นพิธีศพของฮูหยินสามเพิ่งผ่านพ้นไป พวกเขาคิดว่าหมิงเวยต้องการเข้าหาหยางชู ด้วยความที่รู้สึกผิดเมื่อเห็นเขาเชิญนางจึงไม่กล้าห้าม พวกเขาจึงปล่อยนางออกจากเรือนไปทั้งอย่างนั้น เรื่องนี้ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป ไม่คิดว่าจี้หลิงจะยกเรื่องนี้ขึ้นมา
“คุณชายจี้ เรื่องนี้มีเรื่องราวภายใน…”
“เรื่องภายในอะไรหรือขอรับ” เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของจี้หลิง นายท่านสี่ก็พูดไม่ออก จะให้บอกอย่างไร จะให้บอกว่าพวกเขาส่งฮูหยินสามให้ไปปรนนิบัติคุณชายหยางงั้นหรือ แต่ผลลัพธ์กลายเป็นว่าหมิงเวยออกไปแทนแล้วดันไปเตะตาคุณชายหยางเข้า ตอนนี้จี้หลิงยังไม่ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย แต่เรื่องสกปรกเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจพูดออกไปได้!
นายท่านสี่คิดไปคิดมาแล้วตอบได้แค่ว่า “พวกเราทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง แต่เสี่ยวชีรู้จักกับเขาหาโอกาสพบกันอยู่ทุก…”
จี้หลิงตะโกนออกไปว่า “คำตอบของนายท่านสี่ไม่สมเหตุสมผลเลยขอรับ! น้องสาวของข้าน้อยเป็นคุณหนูผู้สูงส่ง ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในห้อง มีลุงป้าน้าอาอยู่ในเรือน มีบ่าวรับใช้มากมาย หากพวกท่านดูแลจัดการเป็นอย่างดี มีหรือที่จะมีโอกาสได้พบบุรุษข้างนอกได้ แล้วอีกอย่างนางสูญเสียบิดาแต่ยังเล็ก ซ้ำยังเกิดมาป่วย ซึ่งเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปไม่ได้ พวกท่านในฐานะท่านลุงท่านอาไม่ดูแลนางให้ดีปล่อยให้นางทำตามที่ใจต้องการ นางยังเป็นเด็กหากไม่ใส่ใจไม่ดูแลให้ดีแล้วจะมีผู้อาวุโสไว้ทำไมกัน” เขาพูดได้อย่างมีเหตุผลถูกต้อง และวาทะเต็มไปด้วยสัจธรรมจนนายท่านสี่พูดไม่ออก
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ค่อยมีเหตุผล แต่ผู้อื่นก็ไม่ควรนำมาพูดเช่นกัน!
จี้หลิงพูดต่อว่า “ตระกูลหมิงก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง พวกท่านก็ทราบดีไม่ใช่หรือว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม ในเมื่อพวกท่านทราบดีว่าไม่ถูกต้อง แต่ยังคิดปล่อยผ่านไป ข้าน้อยจึงได้แต่คิดว่าพวกท่านจงใจให้เป็นเช่นนั้น! ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอเรียนถามพวกท่านคิดจะใช้น้องสาวของข้าน้อยทำอะไร คิดจะใช้หน้าตาของคุณหนูผู้ไร้เดียงสาทำมาหากินงั้นหรือ”
ยิ่งเขาพูดก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเห็นได้ชัดว่ามีเหตุผลจนนายท่านสี่ยังพูดไม่ออก แม้แต่ท่านผู้เฒ่ารองเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
จี้หลิงสงบสติลงและแสดงท่าทีเศร้าโศกเสียใจ “ท่านอามีชีวิตที่ยากลำบาก สูญเสียสามีตั้งแต่ยังสาว พยายามอย่างหนักเพื่อเลี้ยงดูบุตรสาวจนเติบใหญ่ แต่ดันเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นจนต้องแขวนคอตายเพื่อรักษาชื่อเสียง น้องสาวของข้าน้อยต้องไร้บิดามารดาแล้วยังมาพบเจอคนเช่นนั้นอีก อดสงสัยไม่ได้ว่าประเพณีของตระกูลหมิง…”
“คุณชายจี้!” ท่านผู้เฒ่ารองรีบตอบ “จริงที่เรื่องนี้ทางเราเป็นฝ่ายผิด แต่…”
ไม่รอให้เขาพูดจบจี้หลิงจับมือเขาด้วยความกระตือรือร้น “ท่านผู้เฒ่ารองขอรับ ข้าน้อยรู้ว่าท่านมีความยุติธรรม ข้าน้อยพูดอย่างไม่ปิดบังเลยว่าหลายวันนี้ข้าน้อยรู้สึกทุกข์ใจมาก ว้าวุ่นใจจนนอนไม่หลับ คิดถึงแต่สถานการณ์ของน้องสาวจนหลับไม่ลง ข้าน้อยเห็นว่าตระกูลหมิงมีไว้ทุกข์จึงไม่กล้าพูดออกไปเพราะเกรงว่าจะไม่เหมาะสม…”
………………….
[1] คนตายเหมือนตะเกียงดับ : คนที่เสียชีวิตแล้วก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ทุกสิ่งดับสูญไปสิ้นที่มา