หมิงเวยกลับมาที่สวนอวี๋ฟาง มีเสียงหัวเราะดังขึ้นภายในห้อง ตั้งแต่ฮูหยินสามเสียชีวิตเป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้มีเสียงหัวเราะเช่นนี้ขึ้นที่นี่ นางหยุดฟังสักพักจากนั้นก็เปิดประตูเข้าไป
“คุณหนู!” ซู่เจี๋ยกับปิงซินเดินมาต้อนรับ
หมิงเวยล้างหน้าไปพลางถามออกไปว่า “คุยอะไรกันอยู่หรือ ดูมีความสุขกันเหลือเกิน”
“แม่นมบอกว่าหากนับวันแล้วคนที่ทางตระกูลจี้ส่งมาคงใกล้ถึงแล้วเจ้าค่ะ” หมิงเวยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แม่นมถงมองนางแล้วยิ้ม “รอนายท่านจี้เดินทางมาที่นี่ พวกเราจะติดตามคุณหนูไปที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ”
หมิงเวยยิ้ม “หากข้าไปก็ต้องพาพวกเจ้าไปด้วยอยู่แล้ว”
พูดถึงเรื่องนี้นางก็ชะงัก “มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากถามแม่นม”
“คุณหนูถามได้เลยเจ้าค่ะ”
“เรื่องของท่านแม่…ข้าไม่อยากให้นางถูกฝังในสุสานบรรพบุรุษตระกูลหมิง”
แม่นมถงพูดออกมาทันทีว่า “เรื่องนี้คุณหนูจัดการได้เลยเจ้าค่ะ” หมิงเวยแปลกใจเล็กน้อย “แม่นมถงไม่กลัวว่าท่านแม่จะเป็นวิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติขาดมิตรหรือ”
ทุกคนบนโลกต่างมีแนวคิดที่ว่าหากสตรีไม่สามารถถูกฝังในสุสานบรรพบุรุษของสามีได้ นางจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติขาดมิตร ก่อนหน้านี้นางกังวลมาตลอดว่าแม่นมถงจะไม่เข้าใจ
แม่นมถงยิ้ม “ถึงบ่าวจะแก่แล้ว แต่ก็ยังไม่สับสน ฮูหยินถูกคนที่นี่ทำร้ายเช่นนี้ หากต้องถูกฝังในสุสานบรรพบุรุษตระกูลหมิงก็คงน่าเกลียดเกินไป อีกอย่างคุณหนูก็ยังอยู่นี่เจ้าคะ มีคุณหนูคอยจุดธูปไหว้อยู่ตลอด ฮูหยินจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติขาดมิตรได้อย่างไร”
หมิงเวยหัวเราะ “ก็จริง”
ในเมื่อแม่นมถงไม่ขัดข้องผ่านไปสักสองวันค่อยจัดการเผาศพฮูหยินสาม ถึงเวลานั้นก็นำเถ้ากระดูกของนางกลับไปยังเมืองหลวงด้วยกัน
ในขณะที่คุยกันก็มีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาแล้วพูดว่า “คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ พี่ตัวฝูฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!”
หมิงเวยดีใจมากวันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ หลังจากไม่ได้สติไปหลายวัน ใบหน้าของตัวฝูซีดเซียวเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วดีขึ้นมาก
เมื่อเห็นหมิงเวยมาหานางจึงคิดจะลุกขึ้นจากเตียงแต่ก็ถูกห้ามไว้
“อย่าขยับ” หมิงเวยจับชีพจรนางเปิดเนตรเพื่อดูสภาพดวงวิญญาณของนาง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาจึงปลดด้ายแดงออกจากตัวของนาง
“เอาล่ะ ตัวฝูเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วหลับไปหลายวันเช่นนี้คงหิวมากเลยใช่หรือไม่ รีบไปนำข้าวต้มที่ครัวมาให้นางเร็วเข้า”
สาวใช้ที่ดูแลตัวฝูรับคำและรีบเดินออกไป ซู่เจี๋ยกับปิงซินรีบเดินเข้ามาหาแล้วถามนู่นถามนี่ ตัวฝูตอบพวกนางทีละคำถาม
หลังจากคุยกันไปสักพักพวกนางก็มองดูตัวฝูทานข้าวต้ม แล้วหมิงเวยก็บอกให้พวกนางออกไปก่อน เมื่อภายในห้องเหลือเพียงบ่าวและนายสองคน ตัวฝูก็รีบพูดออกไปว่า “คุณหนู บ่าว บ่าวรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเจ้าค่ะ!”
หมิงเวยตบมือนางเบาๆ “ไม่เป็นอะไร เจ้าค่อยๆ พูด”
ตัวฝูดูกระวนกระวายใจมาก “บ่าวรู้สึกเหมือนกลายเป็นคนอื่น มักจะจดจำสิ่งที่ตนเองไม่เคยประสบมาก่อนแล้วก็…” นางยื่นมือออกไปแล้วพลังอันมหาศาลก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือก่อตัวเป็นคลื่นลมระลอกหนึ่ง
“ไอหยา!”
จู่ๆ ก็มีเสียงร้องดังขึ้นด้วยความตกใจ งูสีขาวตัวเล็กที่ชะโงกหัวเยี่ยมๆ มองๆ ก่อนหน้านี้รีบกลับไปในแขนเสื้อของหมิงเวยด้วยความตื่นตระหนกและตะโกนด้วยเสียงอู้อี้ “นายท่านมีปีศาจตัวใหญ่!”
หมิงเวยหุบยิ้ม “ปีศาจตัวใหญ่ที่ไหนกันเจ้าออกมาดูดีๆ ก่อนแล้วค่อยพูด”
งูสีขาวตัวน้อยยื่นหัวออกมาและมองดูสักพักจากนั้นก็เลี้อยออกมาพันรอบมือหมิงเวยแล้วมองตัวฝูอย่างกลัวๆ “ร่างกายของนางมีกลิ่นอายของปีศาจ”
หมิงเวยลูบหัวของงูขาวและยื่นมือออกไป “เจ้าลองสัมผัสดูสิ”
งูขาวตัวน้อยรู้สึกสับสนมาก แต่ก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี มันเลื้อยไปหาตัวฝูอย่างระมัดระวัง พออยู่กับตัวฝูไปสักพักมันก็ถามขึ้นด้วยความงุนงง “นายท่าน กลิ่นอายเหมือนปีศาจ แต่ก็เหมือนมนุษย์”
หมิงเวยยิ้ม “นางเพิ่งดูดซับพลังของปีศาจตัวนางจึงแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นอายของปีศาจ นี่เป็นการปราบพลังปีศาจด้วยพลังภายในของเสวียนชื่อขนานแท้ กลิ่นอายนี้มีประโยชน์มากต่อการฝึกตนของเจ้าหลังจากนี้เจ้าอยู่ใกล้ๆ นางให้มากๆ ล่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง…”
หมิงเวยมองตัวฝู “เจ้ายังมีความโชคดีในความโชคร้าย มีพลังปีศาจอยู่ในตัว ข้าจะสอนเคล็ดวิชาให้เจ้าสองสามชุดแล้วเจ้าจะฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนได้ในเวลาอันสั้น แต่พลังภายนอกเมื่อเทียบกับพลังที่ได้จากการฝึกฝนแล้วนั้นดูพื้นฐานกว่ามาก ถือว่ายังอ่อนแอ หลังจากนี้เจ้าต้องฝึกฝนมากขึ้นเพื่อไม่ให้แว้งกัดเราทีหลัง”
ตัวฝูยังคงงุนงง “คุณหนูหมายถึง บ่าวไม่เป็นอะไรความทรงจำพวกนั้น…”
“ไม่เป็นอะไร เจ้าก็ยังคงเป็นเจ้าเพียงแค่ดูดซับความทรงจำที่กระจัดกระจายของปีศาจเลยได้รับผลกระทบบางอย่าง”
ตัวฝูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อนึกถึงสิ่งที่หมิงเวยพูดเมื่อครู่นางจึงถามอย่างดีใจ “หากบ่าวฝึกฝนจนเป็นเซียน หลังจากนี้ก็จะสามารถปกป้องคุณหนูได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” หมิงเวยยิ้มแล้วพยักหน้า
ตัวฝูดีใจมาก “ดีจัง! หลังจากนี้ก็ไม่ต้องพึ่งอาหว่านแล้ว!”
หมิงเวยหุบยิ้ม “เจ้าไม่ชอบนางขนาดนั้นเลยหรือ”
ตัวฝูพูดเสียงเบา “ไม่ใช่ไม่ชอบเจ้าค่ะแค่รู้สึกว่าการที่นางอยู่ที่นี่เหมือนว่านางขโมยคุณหนูไป…”
หมิงเวยเข้าใจความคิดของนางจึงเอ่ยปลอบใจไปว่า “ถึงนางจะเก่งกาจอย่างไร แต่นางก็เป็นคนของตระกูลอื่นหรือก็คือตอนนี้ตัวฝูเก่งกาจขนาดนี้แล้ว เจ้าไม่แพ้นางแน่”
ตัวฝูยิ้มกว้าง หมิงเวยเห็นว่าจุดด่างดำบนใบหน้าของนางดูจางลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดที่จะบอกนาง “ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง มีแรงลุกจากเตียงหรือไม่”
ตัวฝูพยักหน้า “คุณหนูมีเรื่องอะไรให้บ่าวไปจัดการหรือไม่เจ้าคะ”
หมิงเวยเฝ้ามองนางแล้วถามออกไปเบาๆ “อยากเจอคุณหนูของเจ้าหรือไม่”ตัวฝูชะงักรอยยิ้มบนใบหน้าของนางค่อยๆ จางหายไป
นางมองหมิงเวยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี “บ่าว…”
นางรู้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้หมายความว่าอะไร คุณหนูเปลี่ยนไปเป็นอีกคน นางรู้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่คุณหนูหายจากอาการป่วยก็แตกต่างไปจากเมื่อก่อน นอกจากนี้สิ่งต่างๆ ที่คุณหนูทำก่อนหน้านี้ก็ไม่คิดที่จะปิดบังตัวฝูเลยตัวฝูจึงค่อยๆ เข้าใจ
ผ่านไปสักพักตัวฝูถึงถามออกไป “คุณหนูสบายดีไหมเจ้าคะ”
หมิงเวยพยักหน้า “นางสบายดีมากข้าพบดวงวิญญาณที่หายไปของนางแล้ว ชาติหน้านางจะไม่กลายเป็นคนโง่เขลาอีกต่อไป”
“ดีจังเลย!” ตัวฝูลุกขึ้นคุกเข่าให้นาง “ขอบคุณในความกรุณาของท่านมากเจ้าค่ะ”
หมิงเวยประคองนางให้ลุกขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก นี่เป็นกรรมที่ข้าติดหนี้นาง ข้าใช้ร่างของนางทั้งที่จริงแล้วควรจะคืนให้แก่นางด้วยซ้ำ”
ตัวฝูเช็ดน้ำตา “บ่าวไม่ได้หลับอย่างสงบมาหลายวันแล้ว กังวลว่าจะไม่มีผู้ใดดูแลคุณหนู มีหลายเรื่องที่คุณหนูยังไม่เข้าใจ หากถูกวิญญาณเร่ร่อนรังแก ผู้ใดจะออกโรงช่วยนางได้…”
หมิงเวยโอบกอดนางเบาๆ “เด็กดี เจ้าไปพบนางสักหน่อยเถอะ พวกเจ้านายบ่าวผูกพันกันมาสิบปีถือว่าไปพบกันเป็นครั้งสุดท้าย”
“เจ้าค่ะ” ตัวฝูคิดแล้วถามออกไป “คุณหนูไม่โง่เขลาแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ นางจะได้ไปเกิดในครอบครัวที่ดีในชาติหน้าใช่หรือไม่เจ้าคะ บ่าวยังสามารถพบนางได้หรือไม่เจ้าคะ”
หมิงเวยตอบ “ข้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้นางได้พบเจอครอบครัวที่ดี แต่หลังจากที่นางได้ไปเกิดใหม่นางจะเป็นคนใหม่ การตัดขาดกับคนในชาติก่อนจะเป็นการดีที่สุด วิธีนี้จะไม่ก่อให้เกิดกรรมและไม่เกี่ยวข้องกันมากเกินไป”
ตัวฝูพยักหน้า “หากคุณหนูว่าเช่นนั้นก็เอาตามนั้นเจ้าค่ะ”
หมิงเวยยิ้มเล็กน้อย เด็กคนนี้เรียกคุณหนูทั้งสองคนไม่กลัวที่จะสับสนเลย แต่นี่ก็เป็นความบริสุทธิ์ของหัวใจนาง
“มา! พวกเราไปพบนางกันเถอะ”
……………………………