หลังเที่ยงวันเจ้าหน้าที่ที่ออกสำรวจเส้นทางก็กลับมาและขบวนก็เดินหน้าต่ออีกครั้ง ช่วงเวลาก่อนรถม้าจะเคลื่อนที่ม่านก็ถูกยกขึ้นพร้อมกับอาหว่านที่เดินเข้ามา
ตัวฝูมองนาง “เจ้ามาทำอะไร”
ตัวฝูมักมีความคิดที่ละเอียดอ่อนต่ออาหว่านเสมอ เพราะอาหว่านมีความสามารถตนจึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแล้วก็รู้สึกไม่พอใจที่อาหว่านดูไม่เคารพหมิงเวยสักเท่าไรนัก
ตอนอยู่ที่ตงหนิงเพราะว่าฐานะของทั้งสองต่างกัน นางจึงไม่กล้าแสดงความไม่พอใจต่ออาหว่าน แต่ความรู้สึกนี้ก็สิ้นสุดลงเมื่อเกิดการทะเลาะกันที่สถานีส่งสารเมื่อไม่กี่วันก่อน
อาหว่านอารมณ์ไม่ดี “หากไม่ใช่เพราะคุณชายสั่งข้าก็ไม่มาหรอก”
สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความรังเกียจ พวกนางร้องเฮอะแล้วหันหน้าไปทางอื่น ไม่พูดคุยกันอีก หมิงเวยส่ายหน้านางขี้เกียจเข้าไปยุ่งด้วย นางจดจ่ออยู่กับการเดินทางเท่านั้น
หุบเขาแห่งนี้ไม่ใช่ช่องผาแคบๆ แต่เป็นหุบเขาที่ค่อนข้างกว้างไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่มีป่าที่หนาทึบซึ่งเหมาะกับการซุ่มโจมตี
ถึงเจ้าหน้าที่จะสำรวจเส้นทางแล้ว แต่ในระหว่างที่เดินทางพวกเขาก็ยังคงระมัดระวังตัว ผ่านพ้นที่นี่ไปก็จะเข้าเขตเมืองหลวงแล้วไม่ต้องพูดถึงเส้นทางที่กว้างใหญ่ราบเรียบยังมีกองกำลังที่มารอสนับสนุนอยู่ด้วย
สหายกลุ่มดาวพวกนั้นหากต้องการชิงตัวนายท่านสามและปิดปากพวกเรา นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น เรื่องนี้ทั้งหยางชูและเจี่ยงเหวินเฟิงล้วนเข้าใจดีไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งอาหว่านมา
ตัวฝูถึงแม้จะมีพลังมาก แต่นางไม่มีพื้นฐานวรยุทธ์จึงยังคงลังเลที่จะคาดหวังให้นางปกป้องหมิงเวย อาหว่านนั่งไปสักพักเห็นตัวฝูยังคงทำสีหน้าท่าทางและทำปากขมุบขมิบก็ทนไม่ไหว
“เจ้าคิดว่าเรียนวรยุทธ์มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ข้าต้องฝึกหม่าปู้[1] มัดกระสอบทรายทุกวันตั้งแต่อายุหกขวบ ฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสิบปีกว่าจะได้เป็นอย่างที่ข้าเป็นอยู่ตอนนี้ เจ้ามานั่งกอดเท้าพระพุทธรูป[2]แบบนี้มันดีตรงไหนกัน”
ตัวฝูร้องเฮอะและตอบกลับอย่างดูถูก “คุณหนูบอกว่าหากเรียนรู้กลเม็ดทั้งสามนี้ข้าก็กลายเป็นยอดฝีมือแล้ว!”
อาหว่านหัวเราะ “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเฉิงเหย่าจิน[3]หรืออย่างไร เรียนแค่สามอย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว ช่างน่าขัน!”
ตัวฝูไม่สนใจนางมือยังคงทำท่าทางต่อไป อาหว่านรู้สึกน่าเบื่อจึงหันไปมองหมิงเวย แต่กลับเห็นนางหลับตาพิงผนังรถอยู่ ดูไม่สนใจทุกสิ่งอย่าง
อาหว่านทนไม่ไหวจึงถามออกไป “วันนี้อาจมีการต่อสู้ที่รุนแรง ท่านไม่กังวลสักนิดเลยหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยลืมตาขึ้นและหลับตาลงอีกครั้ง “ทำไมข้าต้องกังวลด้วยข้าเป็นแค่สมาชิกในครอบครัวของนักโทษ สร้างความดีความชอบเพียงเล็กน้อยจึงได้รับการให้อภัย หากเกิดเรื่องขึ้นจริงความรับผิดชอบก็ไม่ได้ตกมาอยู่ที่ข้าเสียหน่อย”
อาหว่านตกตะลึง “ทำไมท่านถึงคิดว่าไม่เกี่ยวกับตนเองเล่าเจ้าคะ”
“เพราะว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!”
นางตอบออกมาง่ายๆ อาหว่านฟังแล้วก็รู้สึกกลุ้มใจ อยากจะลงจากรถทันทีโดยไม่สนว่านางจะเป็นหรือตาย แต่คุณชายกำชับหลายรอบว่าต้องปกป้องนางให้ปลอดภัยจึงทำได้แค่อดทนแล้วหมุนตัวไปทางอื่น
นางไม่ชอบสองนายบ่าวคู่นี้!
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยามท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง ดวงอาทิตย์ได้เคลื่อนผ่านภูเขาอีกด้านหนึ่งและไม่สามารถส่องแสงในหุบเขาได้อีก หมอกเริ่มกระจายปกคลุมทางข้างหน้า
“มาแล้ว” จู่ๆ หมิงเวยก็พูดขึ้นมา
อาหว่านตื่นตัวขึ้นทันที ตัวฝูเองก็หยุดทำท่าทางและมองไปรอบๆ อย่างประหม่า
หมิงเวยเลิกม่านและตะโกนขึ้น “พี่ใหญ่!”
จี้หลิงขี่ม้าเข้ามาใกล้และก้มลงถาม “น้องมีเรื่องอะไรหรือ”
หมิงเวยตอบ “อีกเดี๋ยวถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นพี่ใหญ่รีบไปหาที่ซ่อนนะเจ้าคะ”
จี้หลิงตกใจแล้วรีบถามไปทันที “มีคนบุกมาชิงตัวนักโทษหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า จี้หลิงตอบกลับ “พี่จะระวังตัวน้องดูแลตัวเองด้วย”
เมื่อปิดม่านลงหมิงเวยก็สั่งการกับตัวฝู “อีกเดี๋ยวให้เจ้าลงมือ คอยดูแลพี่ใหญ่ด้วย”
ตัวฝูรีบพูดออกไป “แต่คุณหนู…”
“นางมีข้าอยู่ไง!” อาหว่านตะคอกใส่ตัวฝู น้ำเสียงของนางไม่ค่อยดีนัก
ตัวฝูรู้สึกถึงความเคร่งเครียดนี้ดีจึงไม่ต่อกรกับอาหว่าน นางนั่งอยู่เงียบๆ ในใจนึกถึงคาถาที่คุณหนูสอนดึงพลังภายในออกมาเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือ
ในที่สุดหมอกก็หนาขึ้นจนไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ เหลยหงสั่งให้หยุดขบวน จากนั้นกลับไปรายงาน
เจี่ยงเหวินเฟิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบไปว่า “เตรียมรับมือ”
เหลยหงรับคำเสียงเบา “ขอรับ”
พวกเขาทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์อะไร สุดท้ายเราต่างต้องพูดคุยด้วยกำลังอยู่ดี
หยางชูที่อยู่ในรถม้าลุกขึ้นนั่งตัวตรงเสียงกระพือปีกดังขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองนกที่มองเห็นได้ลางๆ ในสายหมอก
“เสียงนก ดูเหมือนว่าจะมากันแล้ว!” อาสวนที่อยู่ข้างกายได้ยินดังนั้นก็จับอาวุธที่อยู่ข้างเอว
แต่หยางชูกลับพูดออกมาว่า “ตรงนี้ไม่ต้องการเจ้า เจ้าไปดูนายท่านสามเถอะ”
อาสวนตอบ “แต่ความปลอดภัยของคุณชายสำคัญกว่าเขามากนะขอรับ”
หยางชูส่ายหน้า “แต่นายท่านสามจะตายไม่ได้”
อาสวนไม่มีทางเลือกเขาประสานมือคำนับ “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เสียงกระพือปีกของนกดังขึ้นเรื่อยๆ และทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “นกกำลังบินมาทางนี้!” สิ้นเสียงของเขาก็เห็นว่านกจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนบินออกมาจากหมอก
เมื่อพวกมันเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เจ้าหน้าที่หลายคนพบว่านกเหล่านี้เป็นนกอินทรีตัวใหญ่ที่มีกรงเล็บแหลมคมมาก
เหลยหงตะโกนขึ้น “ทหารแม่นธนูอยู่ไหน!”
เมื่อได้ยินคำสั่งทหารแม่นธนูก็ก้าวออกมามากมายแล้วยกธนูหน้าไม้ขึ้น
“ยิง!” ธนูถูกยิงออกไปแล้วนกอินทรีตัวใหญ่ก็ร่วงลงมามากมาย ส่วนพวกที่เล็ดรอดออกมาได้ก็ถูกพวกเจ้าหน้าที่ล้อมรอบฟันฆ่า
หมิงเวยที่นั่งอยู่ในรถไม่ได้รับบาดเจ็บ อาหว่านเห็นนางดูกังวลจึงถามออกไป “ท่านกังวลอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
นางมองไปที่ซากศพนกอินทรีและกระซิบถาม “การยิงรอบนี้ ธนูถูกใช้ไปเท่าไรหรือ”
อาหว่านเข้าใจทันทีว่านางหมายถึงอะไร “ท่านหมายถึงอีกฝ่ายกำลังทำให้พวกเราใช้ธนูสิ้นเปลืองงั้นหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยพยักหน้า นางพูดจบก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ร้องขึ้นว่า “มีอะไรบางอย่างอยู่ในพงหญ้า!” แล้วก็ระดมยิงธนูออกไปอีกครั้ง คราวนี้พวกเขายิงสัตว์หลากหลายชนิด
อาหว่านเชื่อสนิทใจ “ธนูหน้าไม้พวกเรานำมาไม่น้อย แต่หากยิงออกไปเช่นนี้อาจถูกนำมาใช้จนหมดแน่” เหลยหงไม่สังเกตเห็นปัญหานี้ได้อย่างไรกัน
หลังจากยิงสัตว์เหล่านั้นเขาก็ถามจำนวนลูกธนูที่เหลือแล้วสั่งการทันที “โล่ป้องกัน ตั้งแถว!”
ทหารถือโล่วิ่งออกมามากมายพวกเขาหันหน้าออกไปด้านนอกล้อมรอบขบวนไว้ เมื่อตั้งแถวเสร็จหูก็ได้ยินเสียงลูกธนูพุ่งเข้ามา
หมิงเวยมองลูกศรขนนกที่ตกลงบนพื้นแล้วพูด “โชคดีที่อีกฝ่ายไม่มีธนูหน้าไม้”
ธนูหน้าไม้มีพลังมากกว่าคันธนูและลูกศร หากอีกฝ่ายมีธนูหน้าไม้ฝั่งเราคงตกที่นั่งลำบากแน่ ในขณะที่พูดจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวของลมที่แหวกผ่านอากาศ
อาหว่านเห็นก็ตกใจ “จรวด!” จรวดถูกยิงเข้ามาไม่ขาดสายตอกติดเข้ากับตัวรถและลุกลามไปอย่างรวดเร็ว
“ลงจากรถ!” อาหว่านตะโกน ทั้งสามคนรออยู่พักหนึ่งเมื่อแน่ใจว่าไม่มีธนูพุ่งตามมาจึงกระโดดลงจากรถ
อาหว่านดึงตัวหมิงเวยแล้วมองไปรอบๆ เพื่อหาที่หลบภัย
“น้องหญิง!” จี้หลิงเป็นกังวลมากเมื่อเห็นว่านางปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรก็รู้สึกโล่งใจ
หลังจากยิงจรวดในที่สุดการโจมตีที่แท้จริงก็มาถึง ในพงหญ้าหลังก้อนหินขนาดใหญ่ ผู้คนในชุดดำกระโดดออกมาเป็นจำนวนมากและวิ่งเข้าหาขบวนรถ
อาหว่านสบถ “ไม่ใช่ว่าสำรวจแล้วหรือ ทำไมถึงได้มีเยอะแยะขนาดนี้กัน”
…………………
[1] หม่าปู้ : การยืนม้าท่ายืนที่สำคัญที่สุดในวิชามวยจีนเกือบทุกวิชาคือท่า”หม่าปู้” คำว่า”หม่า”ในภาษาจีนแปลว่าม้า ส่วนคำว่า”ปู้”แปลว่าก้าวหรือท่าก้าวดังนั้น”หม่าปู้”จึงรู้จักในชื่อว่า”ยืนม้า”หรือ”นั่งม้า” คือการยืนที่มีลักษณะเหมือนนั่งบนหลังม้า
[2] กอดเท้าพระพุทธรูป : เปรียบเสมือนการไปขอความช่วยเหลือกับคนซึ่งปกติไม่ค่อยจะติดต่อกันในเวลารีบด่วน เปรียบเสมือนการไปจุดธูปไหว้พระขอพรในเวลาอันเร่งรีบเป็นต้น
[3] เฉิงเหยาจิน : ขุนพลกำลังหลักของหลี่ซื่อหมินหรือ จักรพรรดิถังไท่จง