ทันทีที่เย่เย่กลืนยาจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์เข้าไปแล้ว จิตวิญญาณแห่งอสรพิษในตัวของเขานั้นก็รู้สึกเหมือนโดนกระตุ้นและเริ่มดูดซับพลังแห่งโลกและสวรรค์ที่อยู่รอบๆตัวใหม่อีกครั้ง ซึ่งมันทำให้ร่างกายของเย่เย่เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
หากจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจ้าววรยุทธ์คนนั้นๆเป็นเพียงระดับทั่วไป การที่จะดูดกลืนพลังแห่งโลกและสวรรค์จะทำได้ช้ามากๆ รวมไปถึงความเสี่ยงที่จะพัฒนาขึ้นเทพยุทธ์ก็จะมากขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตามระดับของจิตวิญญาณแห่งอสรพิษที่อยู่ในตัวเย่เย่นั้นไม่ใช่ระดับทั่วไป ดังนั้นแล้วการดูดกลืนพลังแห่งโลกและสวรรค์จึงอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าสูงมากๆ เพราะฉะนั้นแค่คืนเดียวเขาก็สามารถพัฒนาขึ้นเป็นเทพยุทธ์ได้แล้ว
*ครืน*
ยามเมื่อเย่เย่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ค่อยๆลุกขึ้นมาจากเตียง และตลอดเวลาที่เขาขยับเขาก็ยังได้ยินเสียงแปลกๆดังออกมาจากร่างกายของเขาเองเรื่อยๆ ราวกับว่าทุกๆส่วนมันกำลังได้ขยับขยายจากการจำศีลมาเนิ่นนาน ทุกอณูเซลล์ของร่างกายมันสดชื่นไปหมด
เย่เย่ลองกำหมัดด้วยความตื่นเต้นและปล่อยหมัดออกไปตรงหน้า ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงลมพัดหวิวเข้ามาในห้องที่เงียบสงบนี้ ซึ่งเสียงนี้ทำเอาเขาตกใจอยู่เหมือนกัน
“นี่คือ…พลังของเทพยุทธ์งั้นเหรอ?”
แค่ปล่อยหมัดมั่วๆซั่วๆยังมีพลังขนาดนี้มันทำให้เย่เย่รู้สึกพึงพอใจกับความแข็งแกร่งของเขาเป็นอย่างมาก หลังจากที่รับรู้ถึงพลังที่มากขึ้นนี้แล้ว เย่เย่ก็ออกจากห้องแล้วเดินลงด้านล่างไปเพื่อที่จะควบม้ากลับไปยังเฟิงเจิ้นทันที
ในขณะเดียวกัน ทางด้านตระกูลของเย่เย่นั้นก็กำลังง่วนกับการดำเนินงานรวมตัวเหล่าจ้าววรยุทธ์ที่จัดขึ้นประจำปีอีกด้วย แต่เดิมนั้น ทุกๆครั้งที่มีการรวมตัวเช่นนี้ ตระกูลเย่มักจะปิดประตูไม่รับแขก ทว่าครั้งนี้ เย่เทียนกลับเป็นฝ่ายเชิญชวนเกือบจะทุกคนที่มีอิทธิพลในเฟิงเจิ้นให้อยู่ดูการต่อสู้จนจบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหม่าและตระกูลเฉิน หรือแม้กระทั่งพวกสำนักที่อยู่ใกล้กับหุบเขาแห่งแสงสว่างที่อยู่ใต้การดูแลของอารามจ้าววรยุทธ์อีกด้วย
ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะ เย่เย่ นั้นกำลังกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในเฟิงเจิ้นแห่งนี้
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เย่เย่จะไม่เคยมีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่หลังจากที่เขาตื่นมาแล้ว สิ่งที่เขาทำนั้นกลับกลายเป็นประเด็นร้อนให้คนทั่วทั้งเฟิงเจิ้นได้ถกเถียงกันอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นแล้วจึงไม่น่าแปลกเลยถ้าเขาจะกลายมาเป็นจุดสนใจของเหล่าผู้มีอิทธิพลหลักๆเช่นนี้ และเหตุผลที่ทำให้ตระกูลเย่ถูกได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษในการรวมตัวกันวันนี้ก็คือพวกเขาล้วนอยากเห็นว่าเย่เย่นั้นจะสามารถสร้างความประทับใจจนเป็นตำนานได้หรือเปล่า
แต่ก่อนที่งานรวมตัวกันของเหล่าจ้าววรยุทธ์จะเริ่มต้นขึ้น เย่เทียน จ้าวตระกูลเย่คนปัจจุบันยังคงไม่ได้ไปยังสนามประลองที่จัดงานแต่กลับมายังลานของเย่เย่แทนด้วยสีหน้าลุกลี้ลุกลน
“เสี่ยวหยู เจ้ามั่นใจนะว่าลูกเย่จะกลับมาทันวันนี้น่ะ?”
เย่เทียนไม่รู้มาก่อนเลยว่าเย่เย่นั้นไม่อยู่บ้านเพราะไป หลิงเฉิงด้วยตัวคนเดียวจนกระทั่งตอนนี้
ในฐานะที่เป็นตัวเอกของงานนี้่ หากเย่เย่ไม่ปรากฏตัวที่งานรวมตัวละก็ เขาเองก็ไม่รู้จะช่วยอธิบายให้แก่แขกคนอื่นๆอย่างไรดี
“ไม่ต้องกังวลใจไปนะเจ้าคะนายท่าน! นายน้อยจะต้องกลับมาแน่นอน ข้าเชื่อเช่นนั้น!”
ถึงแม้ว่าสีหน้าของเสี่ยวหยูจะมีความกังวลอยู่บ้าง แต่กระนั้นนางก็เชื่อมั่นในตัวเย่เย่อยู่เต็มอก นั่นเพราะเย่เย่รับปากแก่นางก่อนจะไปหลิงเฉิงแล้วว่าจะกลับมาให้ทันก่อนที่จะถึงคราวของตระกูลเย่ที่ต้องขึ้นประลองฝีมือ
“ดี ถ้างั้นข้าเองก็จะขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเช่นกัน”
เย่เทียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาทำได้เพียงกลับไปยังสนามประลองตระกูลเย่ด้วยความกล้าที่มีอยู่เพื่อป่าวประกาศอันเป็นสัญญาณของการเริ่มงานรวมตัวจ้าววรยุทธ์ในครั้งนี้
งานพบปะเหล่าจ้าววรยุทธ์ประจำตระกูลจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกก็คือเด็กๆทั่วไปของตระกูลเย่ ต่อสู้กันเองเพื่อหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหนึ่งเดียว
และในส่วนที่สอง นั่นคือการให้ผู้แข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุด ปะทะกับเด็กๆจากตระกูลเย่ที่มีระดับเป็นจ้าววรยุทธ์ หากฝ่ายไหนชนะก็จะได้รับเงินทุนเพื่อพัฒนาตนเองเป็นจำนวนเท่ากับที่ต้องใช้เพื่อก้าวขึ้นเป็นจ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งคนหนึ่งเลย
นอกจากเย่หูที่ฝึกฝนอยู่ภายในอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว เย่เย่เป็นเพียงผู้เดียวที่แข็งแกร่งในระดับจ้าววรยุทธ์ ดังนั้นจึงมีเพียงเย่เย่เท่านั้นที่จะปะทะกับเด็กๆคนอื่นในตระกูลได้ และในที่นี้ก็ไม่มีใครคิดว่าจะมีเด็กคนไหนสามารถเก่งกาจจนถือว่าเป็นศัตรูของเย่เย่ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น งานที่จัดในครั้งนี้ก็เหมือนกับงานที่ปล่อยให้เย่เย่ได้แสดงฝีมือเพียงคนเดียวก็มิปาน
อาจจะเป็นเพราะการที่เย่เย่ได้ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้เมื่อพักใหญ่ๆก่อนหน้านี้ มันเลยกลายเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่ทำให้เด็กๆในตระกูลเย่อีกหลายคนพัฒนาฝีมือตนเองจนปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้เช่นกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เหล่าแขกผู้มาเยือนต่างพากันรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงก้าวสำคัญของตระกูลเย่ได้
ซึ่งแม้แต่เย่เทียนเองยังตกใจ ทว่าพอคิดได้ว่าเย่เย่ยังไม่ปรากฏตัวเสียที ความกังวลใจมันก็กลับมาอีกครั้ง
จนแล้วจนรอด ส่วนที่ 1 ของงานพบปะก็ได้จบลง พวกเขาได้ เย่เฟิง เด็กภายในตระกูลที่ได้มาจากการตกทอดเป็นสินเชลยให้แก่ตระกูลเย่ เขาผู้มีความสามารถมากพอที่จะได้ประลองฝีมือกับเย่เย่ ซึ่งสถานการณ์นี้เองที่ทำให้เย่เทียนเริ่มกังวลหนักขึ้น
“นายท่าน ข้านั้นสามารถยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้ายหลังจากที่เด็กๆคนอื่นๆสู้ไม่ไหวกันแล้ว นั่นหมายถึงข้านั้นมีความสามารถเพียงพอที่จะได้ประลองกับนายน้อย แต่เหตุไฉนทำไมนายน้อยถึงยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมา ณ ที่แห่งนี้ล่ะ? พวกท่านรังเกียจลูกเชลยเช่นข้างั้นหรือ?”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง แขกที่เข้าร่วมงานต่างก็หันมามองทางเย่เทียนด้วยความสงสัย นั่นเพราะตามประเพณีแล้ว ทันทีที่งานส่วนแรกได้ผู้ชนะมาแล้ว เย่เย่ที่เป็นผู้ร่วมแข่งขันนั้นจะต้องอยู่ที่สนามประลอง ณ ตอนนั้นเลย ทว่าในตอนนี้พวกเขากลับยังไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของเย่เย่ ซึ่งทำให้ทุกๆคนต่างสงสัยในความจริงใจของเย่เทียนกันขึ้นมาทีละนิด
ภายใต้เหงื่อที่ไหลซึมออกมาจากหน้าผากทีละนิดๆนั้น เขากำลังจนตรอกกับการที่จะต้องอธิบายแก่ทุกๆคนที่กำลังสงสัย ทว่าในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาที่กลางสนามประลอง
“ตระกูลเย่หาได้มีเด็กที่เป็นจ้าววรยุทธ์เพียงคนเดียวเสียเมื่อไหร่ เช่นนั้นแล้วก็ช่วยแสดงฝีมือของเจ้าให้ข้าเห็นหน่อยก็แล้วกัน”
น้ำเสียงของเย่หูนั้นแพร่กระจายออกไปโดยรอบจากกลางสนามประลอง มันทำให้คนอื่นๆที่กำลังหันมองเย่เทียนต้องหันกลับมาทางเขา
เย่เทียนที่เห็นดังนั้นเองก็เกิดความสับสนขึ้นมา เขาควรจะต้องขอบคุณเย่หูจากในใจที่เข้ามาช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา แต่อีกใจหนึ่งก็กำลังหวาดระแวงถึงสิ่งที่อยู่ในใจเย่หูตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เย่หูเดินออกมาเช่นนี้ก็จริง แต่ค่อนข้างจะรู้สึกไม่ดีกับเหตุผลนั้นเลย
เมื่อเย่หูปรากฏตัวขึ้นมา เหล่าแขกผู้มาร่วมงานต่างอยู่ในความโกลาหล พวกเขาเองก็ไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่เย่หูปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ ทั้งๆที่เขาควรจะกำลังอยู่ในช่วงฝึกฝนตนอยู่คนเดียวแท้ๆ เหตุไฉนคนคนนี้ถึงถ่อมาจากอารามจ้าววรยุทธ์และเข้าร่วมงานพบปะเหล่าจ้าววรยุทธ์ของตระกูลเช่นนี้
เพราะเย่หูนั้นเป็นศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์มานานแล้ว ดังนั้นมันเลยทำให้เขาไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือเยี่ยมเยียนบ้านตระกูลเย่หลังนี้มาเป็นเวลานานหลายปี ทุกครั้งที่ตระกูลจัดงานนี้ขึ้น ตัวเขาก็เลือกที่จะไม่สนใจ ด้วยเหตุนี้ มันแสดงให้เห็นว่าเขาต้องมีจุดประสงค์อื่นมากกว่าแค่มาตามใจตนเองแน่ๆ
คนในบางคนนั้นพอจะเดาได้แล้วถึงจุดประสงค์ที่เย่หูปรากฏตัวในวันนี้ มันน่าจะเกี่ยวข้องเรื่องบาดหมางที่เกิดขึ้นในตระกูลเย่เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้แน่ๆ มันเลยทำให้เขาไม่สามารถนิ่งนอนใจอยู่ในอารามจ้าววรยุทธ์ได้
“ท่านพี่ใหญ่เย่หู!”
ทันทีที่เย่เฟิงเห็นเย่หู สีหน้าของเขาก็ดูจะเกรงกลัวและแทบจะถอยกลับไปทันที
นั่นเพราะว่าเย่หูนั้นถือเป็นอัจฉริยะแห่งตระกูลเย่เมื่อครั้งวัยเยาว์ หลังจากที่ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้ เขาก็กลายเป็นแบบอย่างและความภาคภูมิใจให้แก่เหล่าเด็กๆตระกูลเย่นับแต่นั้นมา เด็กๆตระกูลเย่ทุกคนล้วนรู้จักชื่อของ เย่หู ดี ต่อให้เย่เย่จะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่เด็กๆหลายคนก็ยังไม่ได้ไว้วางใจในตัวเขานัก แต่สำหรับเย่หู ทุกๆคนรู้ดีว่าเขานั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
“อย่าได้หวาดกลัว จงทำในสิ่งที่เจ้าทำได้!”
เย่หูกล่าวแก่เย่เฟิงด้วยรอยยิ้มและบอกให้เขาสู้อย่างเต็มที่
“ขอความกรุณาด้วย!”
ด้วยการโอกาสที่เย่เฟิงจะได้ปะทะฝีมือกับจ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งนั้นมีน้อยมากๆ ดังนั้นแล้วเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหลังจากที่ฟังถ้อยคำของเย่หูจบและออกหมัดซัดเข้าที่อกเย่หูโดยตรง
ทางฝั่งเย่หูนั้นเพียงแค่กวักมือเชิญชวนอย่างสุภาพและรับหมัดของเย่เฟิงไว้ด้วยฝ่ามือของเขา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตอบโต้เย่เฟิงในทันที แถมยังให้สัญญาณเย่เฟิงในการโจมตีชุดต่อไปใส่เขาด้วย
การต่อสู้ดำเนินไปเรื่อยๆโดยมีเย่หูเป็นฝ่ายตั้งรับและปัดป้องอย่างเดียว
ผู้คนโดยรอบเองต่างก็เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าเย่เฟิงนั้นไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้เย่หูได้แน่ๆ ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำให้เย่หูบาดเจ็บได้เลย ในท้ายที่สุดเย่เฟิงก็ยอมแพ้กับการประลองนี้ด้วยตัวเขาเอง
“ข้าประจักษ์แล้วขอรับ ว่าท่านพี่เย่หูนั้นคือความหวังของตระกูลเย่ของพวกเราจริงๆ!”
“ใช่ เย่หูน่ะถือเป็นอันดับ 1 ท่ามกลางเด็กๆตระกูลเย่รุ่นราวคราวเดียวกันเลย ไม่ว่าจะฝีมือหรือความประพฤติต่างก็ล้วนน่าชื่นชม”
“เย่เย่น่ะมันก็แค่โชคดี เพราะงั้นแล้วเจ้านั่นน่ะเทียบกับท่านพี่เย่หูไม่ได้เลยสักนิด!”
เหล่าผู้ที่มายังลานประลองแห่งตระกูลเย่ในวันนี้ล้วนเป็นพยานกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่เพียงแต่เด็กในตระกูลเท่านั้นที่ชื่นชมเย่หู แต่เหล่าแขกที่มาเยือนเองยามที่พวกเขาจำได้ว่าเย่หูผู้นี้คืออัจฉริยะในครั้นวัยเยาว์คนนั้นต่างก็ชื่นชมกันหมด
และด้วยความที่เย่หูเป็นผู้ที่ไม่ได้โด่งดังอะไร มันทำให้ก่อนหน้านี้พวกเขาจำเย่หูกันไม่ค่อยได้และไม่ได้ใส่ใจอะไรคนคนนี้มากนัก แต่ในตอนนี้ เมื่อพวกเขาจำได้และตระหนักแล้วว่าเย่หูนั้นไม่ใช่คนทั่วๆไปดังที่เขาเคยคิดกัน พวกเขาก็พบว่าเย่หูผู้นี้ดูจะเลอค่าที่จะศึกษามากกว่าเป้าหมายเดิมที่เป็นเย่เย่เสียอีก
“เป็นการประลองที่ดีมากๆ ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าจะได้เห็นการประลองเช่นนี้ได้ด้วยตาตนเอง!”
เย่เทียนนั้นไม่ใช่คนโง่ เขารีบเปลี่ยนบรรยากาศของสนามประลองแห่งนี้อย่างรวดเร็วและเตรียมจะประกาศผู้ชนะในการประลองครั้งนี้แล้ว เนื่องจากสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ มันทำให้เขามั่นใจว่าต่อให้เย่เย่อยู่ที่นี่ ณ ตอนนี้ เขาก็คงไม่ได้เก่งไปกว่าเย่หูหรอก
ถึงแม้ว่าจะมีความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เย่เทียนก็ต้องยอมรับจริงๆว่าครั้งนี้เขาได้เย่หูช่วยกู้สถานการณ์ไว้ เพราะการแสดงศักยภาพที่น่าประหลาดใจนั้นบนลานประลอง ต่อให้เย่เย่ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาในท้ายที่สุดก็จริงแต่มันก็ทำให้แขกที่เชิญมานั้นไม่ได้ตำหนิตระกูลเย่เหมือนดั่งที่ควรจะเป็น
แม้แต่ตัวเย่เทียนเองก็ยังรู้สึกโล่งอกที่เย่เย่ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาในวันนี้ เพราะถ้าหากเย่เย่ต้องขึ้นลานประลองจริงๆละก็ เขาคงเทียบกับเย่หูได้ไม่ติดเลย หากเย่เย่แพ้ มันจะไม่เพียงทำลายอนาคตของเย่เย่เท่านั้น แต่มันจะกลายเป็นช่วยส่งเสริมชื่อเสียงให้แก่เย่หูอีกด้วยซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ชื่อสถานะของ เย่เทียนและเย่เย่ในตระกูลเย่ก็จะเกิดการสั่นคลอน
ในตอนท้ายหลังจากที่เย่หูให้คำแนะนำแก่เย่เฟิงแล้ว เย่เทียนก็เตรียมจะประกาศจบงานพบปะจ้าววรยุทธ์ประจำตระกูลลงแล้ว แต่ทันใดนั้นเอง เย่หูก็พูดกับเย่เทียนขึ้นมาเสียก่อน “นายท่าน ถ้าข้าจำไม่ผิด ภายในงานพบปะจ้าววรยุทธ์ประจำตระกูลเย่นั้น ไม่เพียงแต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้ประมือกับจ้าววรยุทธ์ที่เก่งกาจอย่างเดียว แต่จ้าววรยุทธ์ภายในตระกูลยังสามารถท้าสู้กับคนในตระกูลคนอื่นๆได้อีกใช่หรือเปล่า?”
ทันทีที่เขาพูดออกมา ลานประลองแห่งนี้ก็เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง ทุกๆคนต่างเข้าใจดีว่าเย่หูต้องการจะสื่อถึงอะไร และพวกเขาเองก็กำลังรอฟังคำตอบของเย่เทียนอยู่ด้วย
สีหน้าของเย่เทียนนั้นดูเหยเกขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเย่หูจะปฏิเสธที่จะจบเรื่องนี้เร็วๆสินะ
จริงๆจะว่ามีกฎอย่างนั้นอยู่ก็ใช่แต่เพราะตระกูลเย่นั้นไม่เคยมีจ้าววรยุทธ์ในรุ่นเดียวกันมากกว่า 1 คนมาหลายปีแล้ว ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงค่อยๆลืมเลือนกฎข้อนี้กันไปเอง เย่เทียนไม่คาดคิดเลยว่าเย่หูจะยังจำมันได้และนำมันมาประกาศต่อหน้าสาธารณะชนเช่นนี้
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเย่หูนั้นคงจะไม่ได้สนใจที่จะสู้เพื่ออำนาจในตระกูลเย่เพราะดื่มด่ำอยู่กับการฝึกฝนตนเอง ทว่าเมื่อครั้งที่เย่เทียนลงโทษสองพ่อลูกเย่เฉินหนานและเย่เซียงไปเนื่องจากทั้งสองกระทำผิดพลาด มันกลับทำให้เย่หูไม่สามารถระงับความโกรธเอาไว้ได้ แล้วยิ่งเมื่อเขานั้นได้ยินว่าทั้งพ่อและน้องชายต่างสูญเสียอำนาจในตระกูลเย่ไป มันจึงทำให้เย่หูถึงกับเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง ไม่งั้นแล้วต่อให้บ้านจะไฟไหม้หรือ ลิงป่าจะเข้ามาขโมยผลไม้ในสวนเขาก็คงจะไม่เสียเวลาเข้ามาที่บ้านตระกูลเย่หรอก
หลังจากที่คิดไตร่ตรองให้ดีๆแล้ว เย่เทียนก็ถอนหายใจอยู่ลึกๆ จากนั้นก็ยอมแพ้ให้กับความหวังที่ดูจะไม่มีวี่แววนี่แล้วก่อนจะหันไปมองเย่หูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ตระกูลของพวกเรามีกฎนั้นอยู่จริงๆ จากการที่อาฟังหลานพูดขึ้นมาแบบนี้ นั่นหมายถึงหลานอยากจะท้าลูกของอาอย่างเย่เย่ประลองใช่หรือเปล่า?”