หลังจากที่เย่หูออกไปแล้ว ลานประลองก็เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานนักมันก็เต็มไปด้วยเสียงดีใจจากเด็กๆในตระกูลเย่ขึ้นมา
“นายน้อยเก่งสุดๆไปเลยขอรับ!”
“อนาคตของตระกูลเย่จะต้องเติบใหญ่กว่านี้อีกแน่ๆ!”
“ยินดีด้วยขอรับนายน้อยที่ได้เป็นเทพยุทธ์แล้ว!”
เหล่าผู้อ่อนแอต่างล้วนสรรเสริญผู้แข็งแกร่ง หากคำพูดนี้จะถูกยกเว้นก็ต่อเมื่อผู้แข็งแกร่งที่ว่านั่นไม่แข็งแกร่งเพียงพอให้สรรเสริญเท่านั้น
เย่เย่ตื่นขึ้นมาก่อนที่จะกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเขาก็จะมีเกียรติในตระกูลอยู่แล้วก็จริง แต่ยังไงเสียคนส่วนใหญ่ก็ยังยกให้เย่หูเหนือกว่าเขามาโดยตลอด และในตอนนี้ เย่หูผู้ที่เข้าสู่ระดับเทพยุทธ์ไปแล้วได้พ่ายแพ้ให้กับ เย่เย่ต่อหน้าต่อตาทุกคน มันจึงทำให้ไม่มีใครที่ได้เห็นเหตุการณ์เคลือบแคลงใจกับตำแหน่งของเย่เย่ท่ามกลางเด็กรุ่นเดียวกันอีกต่อไป
ด้วยเวลาไม่ถึงครึ่งปีมานี้ เย่เย่เปลี่ยนจากผู้ฝึกฝนวรยุทธ์กลายเป็นจ้าววรยุทธ์ และในเวลาอันสั้นเย่เย่ก็พัฒนาจากจ้าววรยุทธ์เข้าสู่การเป็นเทพยุทธ์ หากไม่พูดว่ามันเป็นปาฏิหาริย์มันก็ไม่มีเหตุผลอื่นที่จะมารองรับความจริงนี่ได้แล้ว
และด้วยผลลัพธ์ของวันนี้เอง มันทำให้ชื่อของเย่เย่นั้นกลายเป็นชื่อที่แขกทุกคนที่เข้ามาชมการประลองอันดุเดือดของสองพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากอารามจ้าววรยุทธ์ 3 สำนักใหญ่ หรือแม้แต่ตัวแทนจากตระกูลหม่าและตระกูลเฉิงเองก็เช่นกัน
โดยเฉพาะ หม่าเฉิง เจ้าตระกูลหม่า และ เฉินหนาน เจ้าตระกูลเฉิน ทั้งสองที่ได้เห็นเย่เย่ในวันนี้ต่างพากันหวาดกลัวถึงพลังที่หลับใหลอยู่ในตัวเย่เย่ทั้งสิ้น ยามที่ทั้งสองมองลึกลงไปในแววตาด้วยกันเอง พวกเขาต่างเห็นความน่ากลัวของตระกูลเย่กำลังถูกกระตุ้นขึ้นมาผ่านเย่เย่คนนี้
แต่เดิมแล้วตระกูลเย่และอีก 2 ตระกูลที่เหลือนั้นต่างก็ถูกถือเป็นกลุ่มผู้มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับอารามจ้าววรยุทธ์และ 3 สำนักใหญ่แห่งหุบเขาส่องแสง ต่อให้ชื่อของ 3 ตระกูลใหญ่นี้จะแพร่หลายไปทั้งเมืองก็จริง แต่มันก็ไม่มากพอที่จะใช้เผชิญหน้ากับอารามจ้าววรยุทธ์หรอก
ทว่าตอนนี้ เพราะเย่เย่ของตระกูลเย่นั้นได้นำพาตระกูลเย่ก้าวเข้าสู่ห้วงของอำนาจที่ยิ่งใหญ่ระดับเทียบเคียงอารามจ้าววรยุทธ์ได้แล้ว ในขณะที่พวกเขายังไม่มีพลังเหล่านั้นเลยแม้แต่นิด
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น พวกเขาเอาแต่แข่งขันทางด้านธุรกิจกันมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะทั้งตระกูลหม่าและตระกูลเฉินนั้นร่วมมือกันเพื่อจะโค่นตระกูลเย่เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่เห็นตระกูลเย่กลับมายิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อีกพวกเขาจึงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะด้วยความอิจฉาหรือความกลัวตระกูลเย่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาแบบนี้ ทั้งตระกูลหม่าและตระกูลเฉินต่างตัดสินใจต้องพ้องกันแล้วว่า ยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมให้ตระกูลเย่สามารถยิ่งใหญ่ไปได้อย่างราบรื่นแน่ๆ
“เอาล่ะ ข้าจะขอประกาศอย่างเป็นทางการ ณ ตรงนี้เลยว่า งานพบปะจ้าววรยุทธ์ประจำตระกูลเย่ในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขอขอบคุณพวกท่านทุกคนที่ให้เกียรติมารับชมในวันนี้ด้วย!”
ภายในน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นของเย่เทียนนั้น มีใจความถึงงานพบปะจ้าววรยุทธ์ประจำปีของตระกูลได้จบลงแล้ว พอสิ้นเสียงเหล่าแขกและสมาชิกตระกูลเย่ก็พากันกระจัดกระจายออกไปจุดรวมตัวดังกล่าว
เย่เย่เองก็พาเสี่ยวหยูกลับไปยังลานของตนเองด้วยเช่นกัน แต่ก่อนที่จะออกไปจากที่ลานประลองนี้เขาเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้กับเย่เทียนฟังมากนัก อนึ่งเย่เทียนก็ไม่ได้ถามอะไรเขามากนักด้วย เพราะยังไงเสียทุกคนก็ต้องมีความลับกันบ้างเป็นธรรมดา
“นายน้อยเจ้าคะ! นายน้อยต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นนะเจ้าคะ! ข้าน่ะคิดว่าพวกคนจากตระกูลหม่าแล้วก็ตระกูลเฉินนั่นจะต้องปองร้ายนายน้อยอยู่แน่ๆ! พวกนั้นต้องวางแผนชั่วร้ายกันอยู่เบื้องหลังแน่นอน!”
ทันทีที่กลับถึงลานของตนเอง เสี่ยวหยูก็เอ่ยบางสิ่งบางอย่างขึ้นมากับเย่เย่ด้วยความกังวลทันที แต่นั่นก็เพราะนางเห็นท่าทางของหม่าเฉิงและเฉินหนานที่มองเย่เย่ก่อนจะจากไปนั้นน่าสงสัยสุดๆ นางจึงได้ตื่นตัวขนาดนี้
เย่เย่ลูบหัวเสี่ยวหยูเบาๆพร้อมรอยยิ้มก่อนจะพูดด้วยเสียงนุ่ม “ไม่ต้องกังวล เจ้าคิดว่านายน้อยของเจ้าที่ชื่อว่าเย่เย่นี้เป็นใครกันน่ะ? ทั้งตระกูลหม่าแล้วก็ตระกูลเฉินนั่นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! แต่ว่านะ คนที่ต้องระวังตัวน่ะคือเจ้า เจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้ถูกจับไปมัดได้เหมือนครั้งก่อนอีกล่ะ!”
“ข้าก็ไม่ได้อยากจะโดนจับไปเสียหน่อย แต่ทำไงได้ ข้าน่ะไม่ได้เก่งขนาดที่จะสู้ใครเขาได้เลย ข้าจะเอาพลังที่ไหนไปสู้พวกจ้าววรยุทธ์ที่คิดจะทำเรื่องร้ายๆพวกนั้นได้ล่ะเจ้าคะ?”
ได้ยินเสี่ยวหยูพูดดังนั้น หัวใจเย่เย่ก็แอบหวั่นขึ้นมานิดหน่อย เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามกับนางไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวหยู เจ้าน่ะอยากจะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ตื่นขึ้นมาแล้วกลายเป็นจ้าววรยุทธ์หรือเปล่า?”
“แน่นอนว่าข้าอยากเจ้าค่ะ แต่ข้าน่ะไม่ได้มีความสามารถระดับนายน้อยหรอกนะเจ้าคะ ข้าอาจจะโดนลงโทษให้ไม่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ตื่นขึ้นมาได้ตลอดชั่วชีวิตนี้แล้วแน่ๆ”
เสี่ยวหยูนั้นก็เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังมองไปยัง เย่เย่ด้วยแววตาของความอิจฉา แต่เมื่อนางคิดถึงการฝึกฝนที่ผ่านมาของตนเอง นางก็ได้แต่ก้มหน้าเพราะไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองแบบสุดๆ
เย่เย่ทบทวนความคิดตนเองนิดหน่อยก่อนจะยกแขนลงมาโอบเอวเล็กๆของเสี่ยวหยูเอาไว้และพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูรอบรู้ไปหมด “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ให้มันรู้ซะบ้างว่าเจ้าเป็นผู้หญิงของใคร”
“ด-เดี๋ยวก่อนนะเจ้าคะ? นายน้อยมีวิธีที่จะช่วยให้ข้าปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ตื่นขึ้นมางั้นหรือ?”
แววตาที่เหลือเชื่อสุดๆของเสี่ยวหยูนั้นหันมองเย่เย่ในทันที
“แน่นอน ข้าเคยทำให้เจ้าผิดหวังหรือไง? นายน้อยของเจ้าน่ะ…”
ขณะที่พูดจบไปได้ไม่นาน เย่เย่ก็นึกถึงพฤติกรรมอันไม่น่าไว้วางใจของเย่เย่คนก่อนขึ้นมา จากนั้นเขาจึงรีบพูดเสริมทันที “เอาเป็นว่าข้าจะเคยหรือไม่เคยก็ช่างมันไป ตอนนี้ข้าสัญญา ว่าข้าจะช่วยให้เจ้าปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาให้ได้เอง แต่ว่าเจ้าห้ามบอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้นนะ! เพราะไม่งั้นข้าอาจจะเจอปัญหาอีกมากมายตามมาก็ได้”
“อืมมมมม ไม่ว่าใครจะถามข้า เสี่ยวหยูผู้นี้จะไม่บอกใครทั้งนั้นเจ้าค่ะ! ขอบคุณนายน้อยมากๆเลย!”
เด็กสาวพยักหน้าอย่างมีความสุขเปี่ยมล้นบนใบหน้านั้นและจ้องมองไปยังแววตาของเย่เย่ด้วยความรักและความขอบคุณ
จากนั้นไม่นาน เย่เย่ก็จ่ายเหรียญจักรวาลไป 998 เหรียญอีกครั้งเพื่อแลกเอายาปลุกจิตวิญญาณจากระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลออกมาและนำไปให้เสี่ยวหยู โดยตลอดเวลาที่ให้นางกินยาปลุกจิตวิญญาณเข้าไปแล้ว เขาก็ยืนดูแลอยู่ตลอดจนในที่สุดเสี่ยวหยูก็สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนางออกมาได้สำเร็จ ซึ่งจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ภายในตัวเสี่ยวหยูก็คือ นกจับแมลงสีฟ้าท้องขาว
“นี่คือ…จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้งั้นหรือเจ้าคะ? ช่างวิเศษยิ่งนัก”
เสี่ยวหยูสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ภายในตัวของนางเอก ซึ่งสีหน้าของสาวน้อยผู้นี้ดูจะตื่นเต้นเอาเสียมากๆ
“เช่นนี้ข้าเองก็เป็นจ้าววรยุทธ์แล้วสินะเจ้าคะ! ต่อไปนี้หากมีใครมาท้าทายนายน้อยข้าก็จะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าพวกนั้นเอง!”
ทันทีที่นางได้กลายเป็นจ้าววรยุทธ์สมใจแล้วนั้น นางก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เสี่ยวหยูกำหมัดแน่นและหันไปพูดกับเย่เย่ด้วยสีหน้ามีความสุขสุดๆ
“ฮ่ะๆๆ แบบนั้นแหละ! ในอนาคต หากไม่จำเป็นต้องถึงมือข้า เจ้าก็สามารถจัดการได้ด้วยตนเองเลย!”
เมื่อเห็นเสี่ยวหยูกลายมาเป็นจ้าววรยุทธ์ได้แล้วเช่นนี้ เย่เย่ก็รู้สึกพึงพอใจกับตัวเด็กสาวที่เป็นอยู่เช่นนี้ ในใจเขาอ่อนไหวขึ้นมาเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวนางอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
เสี่ยวหยูที่โดนลูบผมดังนั้นนางก็รีบก้มหัวต่ำและเหลือบมองเย่เย่ด้วยแววตาของความพอใจ
หลังจากที่นางบอกเย่เย่ไปแล้วว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของตนเองเป็นสัตว์อะไร เย่เย่ก็จัดการแลกเปลี่ยนเอาทักษะที่เหมาะสมกับนกจับแมลงสีฟ้าท้องขาวอย่าง กระบวนท่าเปี่ยมหวัง ออกมาจากระบบเพื่อช่วยให้นางสามารถพัฒนาศักยภาพของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นี้ให้ถึงจุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว
กระบวนท่าเปี่ยมหวังนั้นใช้ 30 เหรียญจักรวาล และยาปลุกจิตวิญญาณใช้ 998 เหรียญจักรวาล ดังนั้นแล้วตอนนี้เย่เย่เหลือเหรียญจักรวาลเพียง 991 เหรียญเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้หยุดความสุรุ่ยสุร่ายลงแต่เพียงเท่านั้น กลับกันเขายังคงเข้าไปดูกระบวนท่ากลืนสวรรค์ภายในหมวดกระบวนท่าและจ่ายอีก 500 เหรียญจักรวาลเพื่อแลกมันออกมาอีกด้วย
“แค่เปลี่ยนจากจ้าววรยุทธ์เป็นเทพยุทธ์แค่นี้ราคาของกระบวนท่ากลืนสวรรค์นี่พุ่งขึ้นไปอีก 100 เท่าเลยงั้นเหรอ?! นี่ถ้าเกิดข้าเก่งกว่าเทพยุทธ์แล้ว กระบวนท่านี่ไม่ใช้เหรียญถึง 50,000 เหรียญเลยหรือไงน่ะ?”
สีหน้าของเย่เย่นั้นดูเจ็บปวดไม่น้อย อย่างไรก็ตามกระบวนท่ากลืนสวรรค์นี่ก็ได้ผลเป็นอย่างมากกับการพัฒนาจิตวิญญาณแห่งอสรพิษของเขาให้มาไกลได้ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นแล้วต่อให้ราคามันจะสูงซักเท่าไหร่ ยังไงเสียเขาก็คงต้องแลกมันออกมาอยู่ดี
ในส่วนของเหรียญจักรวาลอีก 492 เหรียญที่เหลือนั้น เย่เย่ก็ไม่ใช่อย่างสูญเปล่า เขาเข้าไปยังหมวดหมู่ค่ายกลป้องกันพื้นฐานที่เป็นหมวดย่อยจากหมวดเวทมนตร์จากนั้นก็เลือกแลกเปลี่ยนเอา เวทเพลิงสีชาด ออกมา
เพราะคำพูดของเสี่ยวหยูนั้นช่วยเตือนเย่เย่ ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้กลัวการปองร้ายของตระกูลหม่าและตระกูลเฉินก็จริง แต่ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเสี่ยวหยูแทนล่ะก็ เขาคงจะต้องโทษความประมาทของตนเองแน่ๆ
แม้ว่าเพลิงสีชาดนี้จะเป็นเพียงเวทมนตร์พื้นฐานก็จริง แต่มันก็สามารถใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน กระนั้นแล้วมันก็แลกมาด้วยการใช้พลังงานที่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว หากใช้ไม่ระวังตามที่คำอธิบายในระบบบอกแล้วล่ะก็ เขาก็เกรงว่ามันอาจจะยากเกินกว่าที่จะควบคุมได้
“หวังว่า 90 เหรียญจักรวาลนี่จะไม่ได้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกนะ”
เย่เย่พยายามอย่างหนักอยู่นานเพื่อที่จะเรียนรู้และจัดการวิธีใช้งานของเวทมนตร์เพลิงสีชาดนี่ได้สำเร็จสมบูรณ์ เขาไม่ลังเลที่จะทดสอบมันด้วยตัวเขาเองเพื่อให้รู้ถึงพลังของเวทเพลิงสีชาดว่ารุนแรงขนาดไหน
ไม่นานหลังจากนั้น เย่เย่ก็ต้องรีบวิ่งพล่านไปด้วยความอับอาย ตามใบหน้าและผิวของเขานั้นเต็มไปด้วยรอยไฟไหม้ ภายในแววตาของเขาสะท้อนให้เห็นความหวาดกลัวและพบว่าตัวเขานั้นดูถูกพลังของเวทมนตร์บทนี้มากเกินไป
“ไม่ประหลาดใจเลยที่ทั้งๆที่อยู่ในหมวดค่ายกลขั้นพื้นฐานแท้ๆ แต่ใช้ถึง 90 เหรียญจักรวาล! นี่มันทรงพลังสุดๆเลยนี่นา!”
หลังจากการทดลองเสร็จสิ้น เย่เย่ก็มั่นใจว่าศัตรูที่อยู่ในระดับจ้าววรยุทธ์นั้นไม่น่าจะรอดตายไปได้แน่ๆ ซึ่งหากเย่เย่ไม่ศึกษาเวทมนตร์บทนี้ล่วงหน้ามาก่อน เขาเองก็อาจจะไม่รอดด้วยเช่นกัน
ความรู้ทุกอย่าง วิธีใช้ วิธีเอาตัวรอดของเวทเพลิงสีชาดถูกบันทึกลงในหนังสือเล่มเล็กๆอย่างรวดเร็วหลังจากที่เย่เย่ทำการทดลองเสร็จ เขาตัดสินใจแล้วที่จะบอกให้เย่เทียนและ เสี่ยวหยูรวมถึงคนอื่นๆเรียนรู้สิ่งนี้ไว้ ทั้งนี้ก็เผื่อว่าพวกเขาจะพลาดพลั้งโดนเวทมนตร์นี้เข้าไป จะได้มีโอกาสรอดกันบ้าง
เมื่อเสี่ยวหยูตื่นแล้วนางก็รีบเริ่มการฝึกตามที่เย่เย่สอนไว้ทันที ซึ่งหลังจากที่เห็นนางเริ่มฝึกแล้วเย่เย่ก็ไม่ได้รบกวนอะไร เขาเดินตรงไปยังลานของเย่เทียนพร้อมกับยื่นหนังสือเล่มเล็กที่เขียนขึ้นด้วยตนเองให้
“ลูกเย่ ลูกบอกว่าลูกจะฝึกควบคุมเวทมนตร์ที่ทรงพลังนี่ในลานของลูกงั้นเหรอ? ส่วนสิ่งที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ก็คือวิธีการใช้งั้นเหรอ?!”
สีหน้าของเย่เทียนนั้นดูจะหวาดกลัวเอาเสียมากๆหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่เย่เย่พูด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจมากมาย
จริงๆจะให้เขาประหลาดใจก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินจริงไปหรอก นั่นเพราะว่าในเมืองเฟิงเจิ้นแห่งนี้ ไม่มีใครที่สามารถใช้ค่ายกลเวทมนตร์ได้เลย พวกเขาเพียงแค่ได้ยินถึงเรื่องเวทมนตร์เท่านั้น แต่ไม่มีใครเคยเห็นจริงๆมาก่อน ในตอนที่เย่เย่บอกเขาว่า เย่เย่เป็นผู้คิดและสร้างเวทมนตร์บทนี้ขึ้นมาเอง จะไม่ให้เขาตกใจก็กระไรอยู่
ถึงแม้ว่าศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุจะเป็นที่ยอดนิยมในโลกใบนี้ และเกือบทุกสิ่งอย่างที่ยิ่งใหญ่จะมีนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสูงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังตลอด แต่เมื่อเทียบกับใช้เวทมนตร์ได้แล้ว สิ่งนี้ยังอยู่ไกลจากระดับสูงยิ่งนัก
มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆที่จะสามารถเล่นแร่แปรธาตุได้ในระดับสูง แต่การที่จะเริ่มทำนั้นไม่ได้ยากขนาดนั้น ยังไงซะการที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้มันก็เหมือนว่าคนคนนั้นอยู่หน้าประตูทางเข้าสู่โลกของการเล่นแร่แปรธาตุแล้ว เพราะฉะนั้นในสายตาของทุกๆคน ใครก็ตามที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้นั้นหมายถึงคนคนนั้นแข็งแกร่งอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง ดังนั้นคนเหล่านี้ จึงไม่ใช่กลุ่มคนที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในยุคนี้
เย่เทียนนั้นเข้าใจถึงความสำคัญของการมีเวทมนตร์เป็นอย่างดี หลังจากเขาได้สติขึ้นมาแล้ว เขาก็ตระหนักได้ถึงความสำคัญของสิ่งนี้ขึ้นมาทันที เย่เทียนในตอนนี้กำลังกังวลและตื่นเต้นกว่ารู้ว่าเย่เย่ขึ้นเป็นเทพยุทธ์แล้วเสียอีก
“ลูกเย่ ลูกต้องอย่าเพิ่งเปิดเผยเรื่องนี้หากไม่จำเป็นนะ ถึงแม้ว่าตระกูลเย่นั้นจะถูกนับเป็น 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่ในเฟิงเจิ้นก็จริง แต่รากฐานของตระกูลของเรานั้นยังเปราะบางอยู่ ภายในสายตาของอารามจ้าววรยุทธ์และทั้ง 3 สำนักใหญ่นั้นพวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับมด ดังนั้นพ่ออยากให้ลูกทำตัวติดดินเอาไว้!”
เย่เย่เมื่อเห็นว่าเย่เทียนดูจะให้ความสนใจกับเวทมนตร์นี้มากๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะปรับตามที่เย่เทียนบอก
“ข้าเข้าใจแล้ว นอกจากข้าที่เป็นผู้สำเร็จเวทมนตร์นี้ก็มีแค่ท่านแล้วก็เสี่ยวหยูเท่านั้นที่ข้าจะให้รู้ ถ้ายังไงข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเสี่ยวหยูก่อน”
เย่เทียนนั้นรู้มานานแล้วว่าเสี่ยวหยูเป็นผู้หญิงของเย่เย่ ดังนั้นเขาเลยไม่ได้พูดอะไรมากกับสิ่งที่เย่เย่ได้เลือกแล้วเช่นนี้ เพียงแค่ย้ำเตือนเย่เย่อีกครั้งก่อนที่เย่เย่จะกลับออกไป
หลังจากที่เย่เย่กลับมายังลานของตนเองแล้ว มันก็ประจวบเหมาะกับที่เสี่ยวหยูฝึกฝนตนเองเสร็จพอดี นางในตอนนี้ดูจะตื่นเต้นกับการที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณนกจับแมลงสีฟ้าท้องขาวของนางเป็นอย่างมากเลย
“เสี่่ยวหยู ข้ามีเรื่องที่จะบอกเจ้าหน่อยน่ะ”
เย่เย่พูดเกี่ยวกับวิธีใช้และควบคุมเพลิงสีชาดแก่เสี่ยวหยูอย่างละเอียดและระมัดระวังทันที พร้อมทั้งกำชับให้นางเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วย ถึงแม้ว่าเสี่ยวหยูนั้นจะดูประหลาดใจก็จริง แต่นางก็ไม่ได้มีอาการหนักขนาดที่เย่เทียนเป็น ยังไงเสียนางเองก็ไม่ได้รู้เกี่ยวกับความสำคัญของการเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ได้ขนาดนั้น