บทที่ 51
ตายโดยไม่เหลือซาก
คำพูดของเจิ้งซูนั้นช่วยปลุกความหวังของเด็กๆตระกูลเจิ้งอีกหลายคนให้กลับขึ้นมา ซึ่งมันทำให้เด็กเหล่านี้เริ่มมีความรู้สึกดีๆให้เจิ้งซูอีกครั้ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าพอที่จะท้าประลองกับเจิ้งเทียนไช่เพราะยังไม่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้ แต่เรื่องที่หลิวชีเฟินไม่สนใจคนอื่นๆในตระกูลนั้นก็เป็นเรื่องจริง
เมื่อหลิวชีเฟินเห็นแล้วว่าเหล่าเด็กๆในตระกูลเริ่มจะมีท่าทีเปลี่ยนไปแล้ว และนางก็ไม่ต้องการที่จะให้เจิ้งซูสร้างความชอบธรรมไปได้มากกว่านี้ นางจึงรีบกลับคำเสียใหม่ในทันที “เช่นนั้นก็ได้! ในเมื่อมีคนโต้แย้ง ข้าก็จะถามพวกเจ้าอีก 1 คำถาม ว่าหากใครกล้าที่จะมาประลองกับทายาทของเจ้าตระกูลคนปัจจุบันที่อยู่ในช่วงอายุเดียวกัน ก็เชิญยืนขึ้นมาเลย!”
เสียงของหลิวชีเฟินเงียบสงบลง บรรยากาศภายในโถงนั้นก็สงบลงไปด้วย
เหล่าเด็กๆที่เคยเห็นด้วยกับเจิ้งซูก่อนหน้านั้นไม่กล้าแม้แต่จะมองหลิวชีเฟินเสียด้วยซ้ำ พวกเขากลัวว่าหากเผลอทำลงไป เขาจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไปให้กำจัดโดยไม่มีโอกาสทำอะไรได้อีก
เจิ้งซูเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไรกับท่าทีเช่นนี้ สีหน้าเขาค่อยๆผลิยิ้มผ่อนคลายขึ้นมา ก่อนที่หลิวชีเฟินจะได้เอ่ยเยาะเย้ย เขาก็มองไปรอบๆยังเหล่าสมาชิกตระกูลเย่ทุกคนแล้วจึงพูดขึ้นอย่างสุขุม “ข้าเอง เจิ้งซู ข้าเองก็เป็นบัตรของท่านเจิ้งฮวน เจ้าตระกูลคนปัจจุบันเช่นกัน ข้าไม่ต้องการที่จะยอมรับเจิ้งเทียนไช่ในตำแหน่งเจ้าตระกูล ดังนั้นแล้วข้าจึงมาที่นี่เพื่อท้าประลองกับเขาโดยเฉพาะและไม่กังวลด้วยว่าท้ายสุดแล้วข้าจะเป็นหรือตาย!”
สิ้นเสียงพูด โถงบรรพชนก็เงียบลงไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะเกิดความโกลาหลครั้งใหม่ขึ้นมา บทสนทนาส่วนใหญ่ในตอนนี้ล้วนเกี่ยวกับเรื่องที่เจิ้งซูกำลังล้ำเส้นอยู่ ในขณะเดียวกันก็ยังมีบางส่วนที่กล่าวชื่นชมความกล้าของเขาในครั้งนี้ แม้แต่เจิ้งฮวนที่อยู่ในสภาพเป็นอัมพาตเองก็ยังสั่นเทาเมื่อได้ยินว่าเจิ้งซูนั้นเปลี่ยนไปมาก ไม่แน่ใจว่าเหตุผลที่เขาสั่นเช่นนี้เป็นเพราะเขากำลังตื่นเต้นหรือเพราะอยากจะไปหยุดไม่ให้เจิ้งซูต้องตายกันแน่
เจิ้งซูเลือกที่จะไม่สนใจเสียงซุบซิบที่เกิดขึ้นและจ้องมองไปยังหลิวชีเฟินโดยตรง แววตาของหลิวชีเฟินนั้นแสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่าอยากจะฆ่าเขาขนาดไหนแต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นนางก็ซ่อนอารมณ์ส่วนตัวและตอบกลับเจิ้งซูด้วยเสียงเบา
“ดี! ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเป็นอาสามาท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งกับลูกของข้า ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน?”
นางหันไปกะพริบตาให้เจิ้งเทียนไช่ผู้ที่เพิ่งจะเดินเข้ามายังกลางโถงบรรพชนด้วยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายบนใบหน้า คนอื่นๆที่อยู่ในโถงบรรพชนรวมไปถึงหลิวชีเฟินต่างก็เขยิบออกไปเป็นวงกว้างเพื่อให้มีพื้นที่มากพอสำหรับคนสองคนประลองฝีมือกัน
เย่เย่เองก็เดินไปยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของโถงบรรพชนนี้โดยที่ไม่ได้พูดอะไรราวกับเขาไม่ได้สนใจการต่อสู้ของสองคนนี้อยู่แล้ว
“ตั้งแต่ที่เจ้าเดินเข้ามาในประตูบ้านตระกูลเจิ้ง วันตายของเจ้าก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว! เจ้าจะไม่มีโอกาสได้หนีอีกต่อไป! และเพื่อเป็นการต่อให้เพราะเห็นว่าเป็นพี่น้องกัน ข้าจะให้เจ้าโจมตีเข้ามาก่อนเลย เจ้าจะได้ไม่มาหาว่าข้ากลั่นแกล้ง!”
เจิ้งเทียนไช่จ้องเขม็งไปยังเจิ้งซูพร้อมความต้องการฆ่าเช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ ทั้งเขาและเจิ้งซูนั้นไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นญาติกันมาตั้งนานแล้ว เหตุผลที่เขาท้าทายให้เจิ้งซูเป็นฝ่ายลงมือก่อนนั้นไม่เพียงแต่เพราะที่นี่มีแขกถูกรับเชิญมาเป็นจำนวนมากเท่านั้น แต่เพราะเขามั่นใจในฝีมือของตนเองมากๆอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เจิ้งซูนั้นไม่ได้คิดจะเอาเปรียบอีกฝ่ายอยู่แล้ว หลังจากที่ปล่อยให้เจิ้งเทียนไช่พูดจบเขาก็ปลดปล่อยกลิ่นอายที่แตกต่างออกไปและวรยุทธ์ในระดับจ้าววรยุทธ์ออกมาทันทีพร้อมกับพูดด้วยความใจเย็นกับเจิ้งเทียนไช่ “ข้าไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนแข็งแกร่ง และใครกันแน่ที่เป็นคนอ่อนแอหากพวกเราเป็นจ้าววรยุทธ์เช่นเดียวกัน”
“จ้าววรยุทธ์งั้นเหรอ?!”
“เจ้าปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ?”
“โฮ่ แบบนี้ก็ค่อยน่าดูขึ้นมาหน่อย!”
หลังจากที่เจิ้งซูเปิดเผยว่าตนนั้นเป็นจ้าววรยุทธ์แล้ว บรรยากาศภายในโถงบรรพชนก็ถูกดันเข้าสู่ช่วงตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ในครานี้ทั้งสมาชิกตระกูลเจิ้งและแขกรับเชิญต่างก็เข้าใจกันแล้วว่าทำไมเจิ้งซูถึงมั่นใจในตัวเองนัก และสิ่งนี้เองที่ทำให้แววตาของพวกเขาดูจะคาดหวังกับการต่อสู้นี้ไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
สีหน้าของหลิวชีเฟินนั้นหดยู่จนน่าเกลียดแต่เพราะ เจิ้งเทียนไช่นั้นปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้มาได้ก่อนรวมถึงได้รับการฝึกฝนมาหนักกว่าเจิ้งซู นางจึงยังพยายามทำใจเย็นลงได้และยังเชื่อว่าการประลองครั้งนี้ เจิ้งเทียนไช่จะเป็นฝ่ายคว้าชัยตามที่คาดไว้
“ฮึ่ม! นี่สินะที่ทำให้เจ้ามั่นใจน่ะ? ดี งั้นวันนี้ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเอง ถึงความห่างชั้นระหว่างข้าและเจ้า!”
เมื่อรู้สึกได้ว่าเจิ้งซูนั้นกลายเป็นจ้าววรยุทธ์เหมือนตนแล้ว แววตาของเจิ้งเทียนไช่ก็แสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจอยู่บ้างแต่สีหน้าของเขาก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยามอยู่
ทว่าคราวนี้เขากลับไม่กล้าบอกให้เจิ้งซูเริ่มลงมือก่อนอีกครั้งและเป็นฝ่ายตัดสินใจเปิดฉากก่อนเอง เขาพุ่งเข้าหาเจิ้งซูพร้อมกับปล่อยหมัดอันเกรี้ยวกราดใส่อกอีกฝ่ายทันที
“เข้ามาเลย!”
ด้วยธรรมชาติของเจิ้งซูที่เป็นคนไม่เอาเปรียบใคร หลังจากที่เขาได้ฝึกฝนด้วยการต่อสู้กับเย่เย่ตลอดหลายวันมานี้ เขาก็เคยชินกับการต่อสู้ระหว่างจ้าววรยุทธ์ด้วยกันเองไปแล้ว ยามที่เขาเห็นเจิ้งเทียนไช่พุ่งเข้ามาตรงๆ ตัวเขาก็ไม่ได้แม้แต่จะถอยแถมยังยกข้อศอกขึ้นและกระแทกเข้าที่หน้าเจิ้งเทียนไช่อีกด้วย
เจิ้งเทียนไช่ที่เห็นว่าท่าไม่ดีแล้วเขาก็รีบกลับตัวและเปลี่ยนกระบวนท่าไปเป็นเตะตัดขาเจิ้งซูทันที
แต่เจิ้งซูนั้นก็ตอบสนองเร็วกว่าที่เจิ้งเทียนไช่จะได้ง้างขาและเตะ เขาเป็นฝ่ายตวัดขาและเตะกวาดอีกฝ่ายก่อนด้วยชั้นเชิงที่สูงกว่า
*ปึ้ก!*
เสียงสองสิ่งกระทบกันดังระงมไปทั่วทั้งโถงบรรพชนก่อนที่เจิ้งเทียนไช่จะร้องโอดโอยและรีบถอยห่างออกมาหลังจากประคองตัวได้แล้ว
หลังเท้าของเจิ้งซูนั้นก็ได้รับบาดเจ็บจนชาไปในระดับหนึ่งเลยเหมือนกัน แม้ว่าชั้นเชิงการต่อสู้ของเขานั้นจะมีมากกว่าเจิ้งเทียนไช่ก็จริง แต่ด้วยระดับที่ต่างกันอยู่บ้างในด้านวรยุทธ์ ตัวเขาก็ยังต้องรับภาระแรงที่เหลื่อมล้ำกันอยู่นี้อยู่ไม่น้อยเลย
“ทำได้แค่นี้เองหรือ?”
อย่างไรก็ตาม เจิ้งซูไม่รู้สึกเสียใจเลยที่ทำแบบนี้ลงไป กลับกัน เขากลับกำลังมีความสุขอยู่ด้วย แต่ก่อนนั้นพวกเขาทั้งแม่และลูกได้แต่ต้องยอมให้หลิวชีเฟินและเจิ้งเทียนไช่ข่มเหงรังแกโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ดังนั้นครั้งนี้เจิ้งซูจึงพึงพอใจเป็นอย่างมากที่สามารถทำให้อีกฝ่ายเจ็บได้ด้วยเช่นนี้ เปรียบเสมือนการที่เขาต้องฆ่าศัตรูจำนวน 1,000 คนโดยที่เขาต้องยอมเสียกำลังคนไปมากถึง 800 คนเพื่อโค่นศัตรูทั้งหมด เขาก็ไม่รู้สึกว่านั่นคือการแลกที่ไม่เท่าเทียมแต่อย่างใด
เย่เย่ที่ยืนขมวดคิ้วมองอยู่ที่มุมหนึ่งก็ค่อยๆถอนหายใจออกมาเบาๆและยังคงไม่พูดอะไรดังเดิม
ถึงแม้ว่าเจิ้งซูจะไม่ค่อยได้พูดอะไรในตอนที่อยู่กับหอการค้าหยูเย่มากนัก แต่เย่เย่ก็รู้ดีว่าเด็กคนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเก็บซ่อนไว้ในใจ กระนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าสิ่งที่ถูกเก็บซ่อนไว้นั้นจะมีมากถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่ว่าเขามาเจอและช่วยให้เด็กคนนี้ได้มีโอกาสแก้แค้นตามที่หวังไว้ก่อนล่ะก็ ในอนาคตก็มีโอกาสสูงที่เจิ้งซูจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาแบบสุดๆอย่างแน่นอน
ไม่เพียงแต่เย่เย่เท่านั้นที่มองเจิ้งซูออก แต่เหล่าผู้ที่อยู่ในโถงบรรพชนตอนนี้ทุกคนต่างก็ได้เห็นความตั้งใจของเจิ้งซูกันหมดแล้ว พวกเขารับรู้ถึงความทารุณกรรมทั้งทางร่างกายและจิตใจที่เด็กคนนี้ต้องแบกรับมาตลอด เหล่าผู้อาวุโสประจำตระกูลบางคนผู้ที่ซึ่งมีประสบการณ์มาอย่างยาวนานเองก็ยังมองเจิ้งซูด้วยแววตาที่รู้สึกสงสาร แต่อย่างไรก็ตาม การประลองครั้งนี้เกี่ยวโยงถึงอนาคตของตระกูลเจิ้ง ดังนั้นแล้วเขาจะไม่สามารถใช้ความรู้สึกของตนเองมาทำให้ผลการประลองต้องเปื้อนไปด้วยอารมณ์ส่วนตัวอย่างแน่นอน
“ไปตายซะ เจิ้งซู!”
เจิ้งเทียนไช่ที่อยู่กลางโถงบรรพชนนั้นตะโกนออกมาด้วยความโกรธก่อนหลังจากที่โดนเจิ้งซูเตะไป เขาไม่ลังเลที่จะแสดงให้เห็นถึงกระบวนท่าลับประจำตระกูลเจิ้งต่อหน้าทุกๆคน ร่างของเจิ้งซูราวกับถูกกระแสน้ำซัดกลับให้เข้าไปหาเจิ้งเทียนไช่อีกครั้งในขณะที่เจิ้งเทียนไช่ก็ออกหมัดที่รวดเร็วด้วยสายลมออกมาด้วยจนเจิ้งซูต้องรีบยกแขนมาป้องกันเอาไว้
เย่เย่ที่ได้เห็นพลังของกระบวนท่าหมัดอาชาย่ำสินธุแล้วเขาก็รู้สึกประหลาดใจออกมา เขาไม่คาดคิดว่าตระกูลเจิ้งจะซ่อนกระบวนท่าทีทรงพลังเช่นนี้เอาไว้และให้เจิ้งเทียนไช่เรียนรู้มันเช่นนี้
“โชคยังดีที่ข้าให้เจิ้งซูสำรองไพ่ตายไว้สินะ ไม่งั้นป่านนี้คงได้ลงไปนอนหมอบเพราะกระบวนท่านี้แน่ๆ”
จริงๆแล้วสิ่งที่เย่เย่ยังไม่รู้ก็คือชื่อเสียงของตระกูลเจิ้งที่เติบใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้นั้นก็ล้วนมาจากกระบวนท่าหมัดอาชาย่ำสินธุนี่ทั้งนั้น มันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยที่บรรพบุรุษของพวกเขาเข้ามายังหลิงเฉิงและพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวแล้ว ซึ่งก็ได้กระบวนท่านี้ในการพิชิตศัตรูและตั้งรากฐานไว้ในหลิงเฉิงทีละนิดๆจนยิ่งใหญ่เช่นนี้
เพราะฉะนั้นกระบวนท่าหมัดอาชาย่ำสินธุจึงเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าของตระกูลเจิ้งเลยก็ว่าได้ รวมไปถึงความร้ายกายของมันก็ยังมีมากอีกด้วย เรื่องจริงอีกหนึ่งอย่าง สาเหตุที่ทำให้เจิ้งเทียนไช่สามารถเรียนรู้กระบวนท่านี้ได้รวดเร็วขนาดนี้จะบอกว่าเป็นเพราะเย่เย่ก็ไม่ได้เกินเลย เรื่องมันตั้งแต่ที่เย่เย่ห้ามไม่ให้เจิ้งเทียนไช่เข้าไปยุ่มย่ามในหอการค้าตงหยวนเมื่อครั้งที่แล้ว มันทำร้ายความมั่นใจในตนเองของเจิ้งเทียนไช่ไปอย่างมาก ด้วยความโกรธนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะฝึกฝนกระบวนท่านี้ด้วยตนเองจนกระทั่งฝึกสำเร็จเนี่ยแหละ
ทว่าในฐานะที่เป็นบุตรแห่งเจ้าตระกูลเจิ้งเช่นกัน เจิ้งซูเองก็สามารถใช้กระบวนท่าหมัดอาชาย่ำสินธุได้ ดังนั้นแล้วสีหน้าของเขาจึงค่อยๆแสดงความมั่นใจออกมาอีก หลังจากที่โดนเจิ้งเทียนไช่เป็นฝ่ายโจมตีอยู่คนเดียวครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจที่จะใช้กระบวนท่าของเขาบ้าง
*ฟิ้ว!*
เพียงแค่เสียงลมหวิวภายในโถงบรรพชน เจิ้งซูผู้ที่ซึ่งควรอย่าตรงหน้าเจิ้งเทียนไช่ ณ ตอนนี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และเมื่อเขาปรากฏตัวอีกที เจิ้งซูก็อยู่ที่หลังเจิ้งเทียนไช่และพร้อมจะโจมตีอีกฝ่ายด้วยพลังลมเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ยอมหรอกน่า!”
เจิ้งเทียนไช่ที่รับรู้ได้ก่อนรีบหันกลับมาและปล่อยหมัดใส่เจิ้งซูทันที
*ครืน!*
หมัดของทั้งสองปะทะเข้าด้วยกันอย่างจังก่อนจะพากันกระเด็นออกไปพร้อมกับเสียงที่ดังสนั่นราวกับมีฟ้าผ่าภายในโถงบรรพชนแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ปะทะหมัดกับเจิ้งซูแล้ว เจิ้งเทียนไช่ก็ได้พบบางสิ่งบางอย่าง นั่นคือเจิ้งซูยังไม่ได้ใช้แรงทั้งหมดที่มี ราวกับว่าเขาล่อหลอกให้เจิ้งเทียนไช่ปล่อยหมัดนั้นออกมาก่อน และหลังจากที่เขายอมปล่อยหมัดแล้วมันจะทำให้ร่างของเขาและเจิ้งซูเข้าใกล้กันในระดับหนึ่งเพื่อที่จะใช้จังหวะนี้เคลื่อนที่ด้วยแรงลมและอ้อมมารอบกัดเจิ้งเทียนไช่อีกครั้ง
“อุ่ก!”
จู่ๆเจิ้งเทียนไช่ก็ต้องอ้วกเป็นเลือดออกมาเมื่อแรงปะทะก่อนหน้ากำลังกระจายไปตามอกของเขา ทว่ายังไงเขาก็ไม่ยอมเสียหน้า เจิ้งเทียนไช่ประกาศก้องออกมาอีกครั้งเพื่อแสดงเจตจำนงว่าเขาต้องการฆ่าเจิ้งซูขนาดไหน
“นั่นเป็นไพ่ตายของเจ้างั้นเหรอ? ดี! งั้นก็เข้ามาเลย!”
เขาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายและเริ่มปล่อยหมัดอาชาย่ำสินธุออกไปอีกครั้งเพื่อผนึกการถอยไปตั้งหลักของเจิ้งซูและตนก็ใช้ วรยุทธ์ที่เหนือกว่าเข้าชนอีกที
ถึงแม้ว่ากระบวนท่าของเจิ้งซูนั้นจะมีชั้นเชิงขนาดไหน แต่ยังไงมันก็เทียบไม่ได้กับความทรงพลังของหมัดอาชาย่ำสินธุนี้ ซึ่งในด้านนี้เจิ้งเทียนไช่ถือว่าไม่ทำให้บรรพบุรุษเสียหน้าหากตัวเขาไม่สามารถงัดเอาความทรงพลังของกระบวนท่านี้ออกมาได้ นอกจากนี้ เจิ้งเทียนไช่ยังเป็นคนซื่อขนาดที่คิดว่าเจิ้งซูจนแต้มแล้วอีกด้วย ดังนั้นแล้วเขาจึงละทิ้งการป้องกันและพุ่งเข้าไปหมายจะฆ่าเจิ้งซูทันทีเลย
“คนที่จะตายน่ะมันเจ้า!”
เมื่อเจิ้งไช่เทียนไม่ถอดใจ เจิ้งซูก็ไม่ยอมแพ้แม้ปากจะเริ่มมีเลือดไหลออกมาบ้างแล้วก็ตาม แววตาของเขามุ่งมั่นหาจังหวะขณะที่คอยป้องกันการโจมตีของเจิ้งเทียนไช่อยู่ ตอนนั้นเองเขาก็หยิบเอาหินก้อนเล็กออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะโยนมันเข้าใส่เจิ้งเทียนไช่
ทันทีที่หินเหล่านั้นเข้าโดนตัวเจิ้งเทียนไช่ และก่อนที่เขาจะได้ดูชัดๆว่ามันคืออะไร เจิ้งซูก็ได้ถอยออกจากตัวเขาด้วยความเร็วสูงสุดไปแล้ว
*ตู้ม!*
ด้วยเสียงระเบิดอันดังสนั่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครที่อยู่ในโถงต่างก็ได้ยินกันหมด
สิ่งนี้คือหินรูนแห่งการทำลายล้างที่เย่เย่ตั้งใจให้เป็นไพ่ตายหลักจริงๆของเจิ้งซูที่เอาไว้ใช้หากเกิดกรณีฉุกเฉินเช่นนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่เย่เย่ได้เห็นการทำงานของหินรูนแห่งการทำลายล้างตั้งแต่ที่เขาได้มันมาจากระบบเมื่อนานมาแล้ว
กว่าครึ่งของโถงบรรพชนแห่งตระกูลเจิ้งนั้นถูกทำลายไปด้วยแรงระเบิด ไม่ว่าจะเป็นแขกรับเชิญหรือเด็กๆตระกูลเจิ้งนั้นต่างก็ก้มหัวหมอบต่ำด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ไม่มีใครอยากจะโดนลูกหลงจากแรงระเบิดอันมหาศาลเมื่อครู่หรอก
ในส่วนของเจิ้งเทียนไช่ ผู้ที่เป็นศูนย์กลางการระเบิด ทั่วทั้งร่างของเขาถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆจนถึงแก่ความตายและถือว่าไม่สามารถประลองกับเจิ้งซูเพิ่งชิงตำแหน่งเจ้าตระกูลเจิ้งได้อีกต่อไปแล้ว
“ล-ลูกข้า…”
หลิวชีเฟินนั้นเห็นภาพบาดตาบาดใจหลังจากที่การระเบิดนั้นสงบลงชัดเจน หัวใจของนางแหลกสลายและร้องห่มร้องไห้ออกมาขณะที่วิ่งเข้าไปที่กลางโถงบรรพชนก่อนจะคุกเข่าลงไปกับพื้นเพื่อมองเศษซากของผู้เป็นลูกชายราวกับเสียสติไปแล้วด้วย
นางพยายามจะต่อร่างของเจิ้งเทียนไช่เข้าด้วยกัน แต่เพราะแรงระเบิดนั้นทำให้บางชิ้นส่วนก็ถูกทำลายจนไม่เหลือซากให้เก็บคืน ในท้ายสุดหลิวชีเฟินก็ต้องจำใจยอมรับความจริงว่า เจิ้งเทียนไช่นั้นตายแล้วและได้แต่นั่งร้องห่มร้องไห้ลงไปที่กลางโถงบรรพชนนี้
เจิ้งซูนั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาชื่นชมเมื่อได้เห็น หลิวชีเฟินเป็นบ้าไปต่อหน้าต่อตา เพราะในวินาทีที่หินรูนพวกนั้นทำงาน เขาก็กระโจนเข้าหาเจิ้งฉวนที่อยู่ข้างๆเพื่อป้องกันผลกระทบจากระเบิดนั้นด้วยตัวของเขาเอง