บทที่ 55
ล้มเหลวและถอยหนี
เพลงหมัดมายา นั้นเป็นกระบวนท่าหนึ่งที่เรียกได้ว่าคลุมเครือแต่ก็ชัดเจน บางครั้งมันก็อยู่ในสภาพเหมือนเงาดำที่เปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยและบางครั้งมันก็หายไปเลย สิ่งนี้มันค่อนข้างแปลกตามากๆ และเพราะความแปลกประหลาดของเพลงหมัดมายานี้เอง มันจึงทำให้จางซวนกลายเป็นที่โด่งดังภายในปราการหลิงหยวนได้แต่ชื่อเสียงของเขามันก็จบลงแค่นั้นเมื่อเขาไม่สามารถฝึกกระบวนท่าอื่นได้เลย
ยามเมื่อเขาเห็นเย่เย่ใช้ฝ่ามือคลื่นพิโรธได้ มันเลยฉุกคิดให้เขาตัดสินใจนำเพลงหมัดนี้กลับมาใช้ เพราะถ้าเขาสามารถโค่นเย่เย่ได้ ชื่อเสียงของเขาภายในหลิงเฉิงก็จะฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง
“เข้ามา”
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เย่เย่ได้ใช้ฝ่ามือคลื่นพิโรธในการปะทะกับศัตรูจริงๆ เขาค่อนข้างกังวลเพราะไม่เคยได้ใช้มันกับคนจริงมาก่อน ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องการที่จะทำให้ตนรู้สึกคุ้นชินในสถานการณ์เช่นนี้และคอยดูวิธีประยุกต์ใช้ไปพลางๆ ยิ่งศัตรูคนแรกของวิชาฝ่ามือดันเป็นคนที่มีกระบวนท่าเป็นของตนเองอีก แบบนี้มันก็ยิ่งทำให้เย่เย่ไม่ค่อยมั่นใจมากขึ้นไปอีก
เช่นนั้นแล้วเพื่อให้ตนสามารถควบคุมฝ่ามือคลื่นพิโรธนี้ได้ง่ายขึ้น เย่เย่จึงลดระดับพลังของมันลงมาและหันไปประจันหน้ากับจางซวน
ในขณะนั้น เพลงหมัดมายาของจางซวนยังคงสลับไปมาระหว่างภาพลวงตาและความจริงอยู่ ถึงแม้ว่าพลังโจมตีของเพลงหมัดนี้จะไม่ได้สูงมากนัก แต่มันก็สร้างปัญหาให้กับเย่เย่อยู่เหมือนกัน
ตอนนั้นเองจางซวนที่เห็นว่าเย่เย่เข้าโจมตี เขาก็ใช้หมัดมายาของเขานั้นรับการโจมตีนั้นไปด้วย
*ผั้วะ! ผั้วะ!*
เสียงปะทะกันของกระบวนท่าต่างรูปแบบดังอย่างต่อเนื่องจนราวกับตรงหน้านี้มีหินกองใหญ่กำลังหล่นลงมาเรื่อยๆและไถลลงไปในน้ำ ฝ่ามือของเย่เย่ที่ไม่มีท่าทีจะหยุดลงนั้นทำให้จางซวนทำได้แค่ตั้งรับอย่างเดียวเท่านั้น
“หลับไปซะ!”
ทว่าตอนนั้นเอง กูเฉิงที่บาดเจ็บหนักซึ่งควรจะสลบลงไปแล้วกลับโจมตีเข้ามาที่ด้านหลังของเย่เย่อีกครั้ง กระบวนท่าบาทาสะบั้นฟ้าของเขาค่อยๆทำให้มวลอากาศรอบๆตัวแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นผลักให้ร่างของเขาลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนจะพุ่งลงมาพร้อมกับโจมตีเย่เย่ด้วยท่าสับส้นเท้า
“นายน้อย อันตราย!”
เสี่ยวหยูที่เห็นภาพเหตุการณ์นั้นตกใจสุดๆ แม้ปากนางจะพูดเตือนเย่เย่ไปแล้ว แต่ร่างของนางก็พุ่งเข้าไปยังด้านหลังของเย่เย่พร้อมๆกับที่บอกเตือนด้วย นางพยายามจะใช้ร่างนั้นรับการโจมตีของกูเฉิงเอาไว้
“อึก—-ฮ๊าาาา!”
อย่างไรก็ตาม ความห่างขั้นกันของนางและกูเฉิงนั้นต่างกันเกินไป ดังนั้นแล้วทันทีที่ฝ่ามือของนางสัมผัสเข้ากับขาของกูเฉิง นางก็โดนอีกฝ่ายเตะจนกระเด็นลอยไปไกลเสียเอง
“เสี่ยวหยู!”
เย่เย่ที่แต่เดิมก็โกรธเคืองกับการกระทำของคนพวกนี้อยู่แล้ว คราวนี้เขาไม่อาจเหลือสติไว้คอยยั้งมืออีกต่อไป ฝ่ามือคลื่นพิโรธนั้นถูกปล่อยพลังออกมาเต็มเปี่ยมเท่าที่ระดับของมันจะเค้นได้ จากเดิมที่กำลังผลัดกันรุกและรับกับจางซวน ในตอนนี้เย่เย่เป็นฝ่ายซัดฝ่ามือรัวๆจนกลายเป็นคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่พุ่งตรงไปด้านหน้า
แต่เดิมจางซวนนั้นคิดว่าอีกไม่นานเย่เย่ก็คงจะแพ้ และเขากำลังคิดถึงเรื่องที่จะไปขอให้จินหยูช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้เขาหลังจากพาตัวเย่เย่ไปได้ ทว่าในตอนนี้เขากลับต้องมาเจอกับแรงกดดันมหาศาลราวกับภูเขาทั้งลูกหล่นทับ
เขารีบเค้นพลังของเพลงหมัดมายาออกมาให้มากที่สุด ทว่ามันก็ไร้ประโยชน์ ทั่วทั้งร่างของเขาตอนนี้ถูกฝ่ามือนับพันของเย่เย่ประทับไปหมดแล้ว
*แกร๊ก!*
เสียงกระดูกภายในร่างของจางซวนดังขึ้นก่อนที่มุมปากของเขาจะเริ่มมีเลือดไหลออกมา และในที่สุด จางซวนก็พ่ายแพ้ให้เย่เย่และกลายเป็นกระสอบทรายรับคลื่นฝ่ามือนั้นไปแทน
“อย่าเพิ่งได้ใจไป!”
หลังจากที่การโจมตีของกูเฉิงนั้นพลาดเป้าเพราะเสี่ยวหยูไปแล้ว เขาก็ใช้กระบวนท่าบาทาสะบั้นฟ้าอีกครั้ง ร่างของกูเฉิงลอยขึ้นสูงและพุ่งตรงลงมาใส่เย่เย่ในทันที ทว่าเย่เย่ ณ ตอนนี้พร้อมแบบสุดๆ ยิ่งบาทาสะบั้นฟ้าของกูเฉิงนั้นไม่ได้แข็งแกร่งได้ซักเศษเสี้ยวของหมัดมายาของจางซวนมันเลยทำให้เย่เย่ไม่มีความกลัวใดๆทั้งสิ้น
เขาหันหลังกลับไปหลังจากจัดการจางซวนเสร็จแล้ว จากนั้นก็จับขาของกูเฉิงที่กำลังเข้าใกล้ตัวแล้วจึงเหวี่ยงร่างนั้นลงไปบนพื้นเต็มแรง
*ตู้ม!*
พื้นที่ทำจากหินสีฟ้าของหอการค้านั้นแตกกระจายพร้อมกับร่างของกูเฉิงที่ถูกฝังลงไปแทน พื้นโดยรอบที่แตกร้าวนั้นแสดงให้เห็นว่าแรงปะทะของกูเฉิงกับพื้นหินรุนแรงขนาดไหน
เย่เย่ปล่อยกูเฉิงนอนจมพื้นไว้แบบนั้นและเข้าไปหาเสี่ยวหยูเพื่อพยุงร่างของอีกฝ่ายแทน
“ยัยโง่! ทำไมเจ้าถึงทำอะไรโง่ๆแบบนี้! ข้าเป็นนายน้อยของเจ้านะ! คิดว่าข้าจะต้องการความช่วยเหลือจากเจ้างั้นเหรอ!”
แววตาของเย่เย่ที่เหลือบเห็นหยาดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากของเด็กสาวมันก็ทำให้หัวใจของเขาปวดขึ้นมาแบบสุดๆ ถึงแม้ว่าปากของเขาจะเฝ้าดุว่าเสี่ยวหยู แต่จริงๆแล้วเขานั้นกำลังโทษตัวเองอยู่
ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ข่มพลังตนเองไว้และรีบๆใช้จางซวนในการปรับแก้ช่องโหว่ของกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว บางทีมันอาจจะไม่ต้องทำให้เสี่ยวหยูเข้าใจผิดว่าเขากำลังอยู่ในอันตรายและเอาตัวเองเข้ามารับการโจมตีแบบนี้ก็ได้
“นั่นสินะ…ข้าลืมไปเลย…ว่าตั้งแต่นายน้อยปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้…นายน้อยก็ไม่เคยแพ้ใครอีกเลย…”
ใบหน้าของเสี่ยวหยูตอนนี้กำลังค่อยๆผลิยิ้มอย่างอ่อนแรงให้เย่เย่ซึ่งดูจะผ่อนคลายลงเยอะเมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ ตราบใดก็ตามที่นางเห็นว่าเย่เย่ปลอดภัยดี ไม่ว่าการกระทำของนางจะสูญเปล่าหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญทั้งนั้น
“อย่าได้กังวล ข้าจะจัดยาที่ดีที่สุดให้เจ้าเอง เจ้าต้องรีบๆหาย เข้าใจไหม!”
พูดจบเย่เย่ก็ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า เขาหวังเพียงแค่ว่าเสี่ยวหยูจะหายจากอาการบาดเจ็บเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตั้งแต่ที่ตั้งร้านจนถึงตอนนี้ เสี่ยวหยูได้ซื้อยาชั้นยอดไว้มากมายจากด้านนอก บางอย่างก็มีประสิทธิภาพเหนือกว่ายาทั่วๆไปซึ่งด้วยประสิทธิภาพระดับนี้มันทำให้ผู้ป่วยใกล้ตายสามารถกลับมาปีกกล้าขาแข็งได้ในทันที เมื่อเสี่ยวหยูเห็นว่าเย่เย่พยายามจะยัดยาที่ดีที่สุดในหอการค้าให้นาง นางก็ดื้อที่จะไม่กินได้อยู่พักหนึ่ง ตัวนางตอนนี้รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บของนางน่ะ ปล่อยให้ค่อยๆหายก็ได้กระนั้นแล้วด้วยกำลังที่เหนือกว่าของเย่เย่ ในท้ายที่สุดนางก็ต้องยอมอ้าปาก
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหยูยอมกลืนยาลงไป เย่เย่ก็โล่งใจขึ้นมาทันที ในขณะที่เขานั้นให้คนอื่นๆช่วยดูแลเสี่ยวหยูแทน ตัวเขาก็ปลีกตัวไประบายความโกรธกับศิษย์ของปราการหลิงหยวนแทน
ร่างของจางซวนและกูเฉิงที่กำลังบาดเจ็บหนักนั้นถูกโยนออกไปนอกหอการค้าอย่างไม่ไยดี พร้อมกับคำพูดที่เย่เย่ฝากทิ้งท้ายไว้ด้วยความเกรี้ยวกราด “ข้าจะจำหนี้แค้นครั้งนี้เอาไว้ สิ่งที่ปราการหลิงหยวนทำกับข้า เย่เย่ผู้นี้จะต้องชดใช้คืนให้เป็นร้อยเท่าพันเท่าเลยคอยดู! พวกเจ้า เมื่อกลับไปแล้วก็ช่วยบอกหลินหยูฉีด้วยนะว่าวันตายของนางน่ะอยู่ไม่ไกลจากนี้แล้ว!”
กูเฉิงและจางซวนนั้นหน้าซีดไปหมดหลังจากที่ได้ยินดังนั้น ทว่าพวกเขาก็กลัวจะถูกเย่เย่ฆ่าทิ้งเสียตรงนี้ ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดอะไรที่ขัดหูก่อนจะช่วยพยุงกันกลับปราการหลิงหยวนไป
หลังจากที่ทั้งสองนั้นจากไปแล้ว แววตาของเย่เย่ก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอยากฆ่าแกงแบบสุดๆ เขาไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้ แต่ในเมื่อมาถึงแล้วเขาก็จะไม่ปล่อยให้พลาดโอกาสหรอก ไม่ว่าจะเป็นหลินหยูฉีหรือจินหยู ไม่ว่าจะฆ่าใครก่อน ยังไงก็ต้องฆ่าทั้ง 2 คนนั้นทิ้งอยู่ดี!
“เก่งจริงๆ!”
“ทำได้ดีมากเลยค่ะท่านเจ้าของร้าน!”
“ข้าล่ะเกลียดคนที่เป็นใหญ่ในปราการหลิงหยวนนัก!”
เสียงกล่าวชื่นชมดังขึ้นจากคนที่คอยสรรเสริญเย่เย่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเย่เย่จัดการกับศิษย์ของปราการหลิงหยวนไปแล้ว เรื่องในครั้งนี้นั้นมันทำให้พวกเขาเคารพเย่เย่มากไปกว่าเดิมเสียอีก
ยามที่พวกเขาแยกย้ายกันกลับบ้านไป ข่าวคราวของ เย่เย่ก็แพร่กระจายไปทั่วหลิงเฉิงเร็วกว่าปกติอีกหลายเท่า ณ ตอนนี้แม้แต่คนธรรมดาก็รู้จักชื่อของเย่เย่กันทั่วทั้งหลิงเฉิงแล้ว
ในสายตาของคนทั่วไปนั้นก็อาจจะคิดเพียงแค่ว่าเย่เย่ช่างเป็นคนที่กล้าบ้าบิ่นขนาดสู้กับปราการหลิงหยวนอันเป็นที่ยกย่องได้ แต่สำหรับเหล่า 5 ฝ่ายผู้ยิ่งใหญ่แห่งหลิงเฉิงนั้น พวกเขาต่างรู้เช่นเดียวกันว่าเรื่องในครั้งนี้ของทั้งปราการหลิงหยวนและหอการค้าหยูเย่คงไม่จบลงง่ายๆแน่ โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ ช่วงก่อนที่จะจัดงานพบปะแห่งปราการหลิงหยวน พวกเขายิ่งไม่ยอมให้ใครมาท้าประลองกับศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนแน่ๆ เพราะงั้นเย่เย่อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากๆเสียแล้ว
และมันก็เป็นดั่งที่พวกเขาคิด สองวันให้หลัง เหล่าศิษย์จากปราการหลิงหยวนบางคนต่างก็พูดว่าเย่เย่จะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสาสม แม้พวกเขาจะดูเหมือนเป็นศัตรูไปเสียทั้งหมด แต่ศิษย์บางคนกลับเลือกมาบอกเย่เย่ด้วยตัวเองว่าเขาไม่ควรอยู่ในหลิงเฉิงต่อ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่ายังไงหอการค้าหยูเย่ก็จะต้องถูกกำจัดอย่างแน่นอน
ภายในหอการค้าหยูเย่ ผู้ช่วยที่เสวี่ยหยูส่งมานั้นนับว่าช่วยงานในร้านได้เป็นอย่างดี ทว่าเย่เย่ก็ต้องเสียลูกจ้างบางส่วนที่ซึ่งเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นาน พวกเขาเหล่านี้เกรงกลัวกับสิ่งที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วจนต้องมาส่งใบลาออกกับเสี่ยวหยูแล้วจากที่นี่ไปกัน
เสี่ยวหยููเองก็ไม่สามารถห้ามพวกเขาได้ ในเมื่อคนจะไปก็ต้องปล่อยให้ไป นางนั้นพยายามให้เกิดผลกระทบกับหอการค้าแห่งนี้น้อยที่สุดแล้วหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น นั่นเพราะนางกลัวว่าหากมีปัญหาอื่นเพิ่มขึ้นมา มันจะกระทบกับการฝึกของเย่เย่ไป
จริงๆเย่เย่นั้นก็รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของหอการค้าอยู่ตลอด แต่เขานั้นขี้เกียจกว่าที่จะเอ่ยปากถาม หลังจากที่เขาส่งคนออกไปเพื่อคอยตรวจสอบความเคลื่อนไหวของจินหยูและ หลินหยูฉีที่ปราการหลิงหยวน เขาก็กลับไปสกัดพลังจากยาววรยุทธ์ที่เติบใหญ่เพื่อเพิ่มพลังให้ตนเองต่อ
“นายน้อยเจ้าคะ จ้าววรยุทธ์ซูฉีเจี่ยมาขอพบค่ะ เขาอยากจะขอพบนายน้อยด้วยตนเอง”
หลังจากกลับไปสกัดพลังจากเม็ดยาได้ไม่นาน เสี่ยวหยูก็เข้ามายังห้องของเย่เย่พร้อมกับรายงาน เมื่อเย่เย่ได้ยินดังนั้นเขาก็เปิดประตูและก็พบว่าซูฉีเจี่ยนั้นยืนอยู่ด้านหลังเสี่ยวหยูเรียบร้อยแล้ว
“เสี่ยวหยู กลับไปทำงานของเจ้าเถอะ เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง”
เมื่อให้เสี่ยวหยูกลับไปทำงานต่อแล้วเขาก็เชิญซูฉีเจี่ยมานั่งที่โต๊ะหินด้านในห้องของเขาก่อนพร้อมกับรินชาให้
ถึงแม้ว่าซูฉีเจี่ยจะยังไม่ได้พูดอะไร แต่เย่เย่ก็พอจะเดาถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้แล้ว ซึ่งซูฉีเจี่ยเองก็รู้ว่ากับเย่เย่นั้น เขาไม่ต้องพูดเสริมก็ยังได้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรไร้สาระและเข้าประเด็นหลักที่มาในวันนี้ทันที “ท่านเย่เปิดฉากต่อสู้กับปราการ หลิงหยวนแล้วเช่นนี้ ท่านไม่กลัวว่าทางนั้นจะล้างแค้นท่านบ้างหรือ?”
“มีอะไรให้น่ากลัวงั้นหรือ? ถึงแม้ว่าปราการหลิงหยวนจะเป็นฝ่ายที่ใหญ่ที่สุดหลิงเฉิงก็จริง แต่ใช่ว่าทั่วทุกที่ของหลิงเฉิงจะเป็นสวนหลังบ้านของพวกนี้เสียหน่อย ดังนั้นแล้วมันย่อมมีทางออกเสมอนั่นแหละ!”
เย่เย่ตอบทันควันราวกับเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวสำหรับเขา กระนั้นแล้วซูฉีเจี่ยก็ยังสังเกตเห็นได้ถึงความรู้สึกที่เย่เย่ซ่อนไว้ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่หนักใจระดับหนึ่ง ดูเหมือนเรื่องนี้นั้นจะไม่ได้ง่ายเหมือนที่เย่เย่พูดออกมาหรอก
“ท่านต้องไม่ลืมความเป็นจริงนะ ว่าท่านนั้นก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ หาใช่เทพเจ้า! ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าท่านเอาความมั่นใจมากมายมาจากไหน แต่ข้าก็เลือกที่จะเชื่อมั่นใจสัญชาตญาณของตัวข้าเอง ในเมื่อท่านเย่เคยมอบโอกาสให้ข้า เช่นนั้นข้าก็จะขอรับโอกาสนั้นโดยการเป็นจ้าววรยุทธ์ที่คอยปกปักรักษาหอการค้าหยูเย่แห่งนี้เอง!”
ซูฉีเจี่ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนและโค้งเคารพเย่เย่ สีหน้าของเขานั้นจริงใจมากๆ การเลือกฝ่ายในครั้งนี้นั้นถือเป็นความสมัครใจของเขาล้วนๆ
ริมฝีปากของเย่เย่ปริออกนิดหน่อย เขามองไปยังแววตาของซูฉีเจี่ยด้วยความชื่นชมแบบที่ซ่อนไว้ไม่ได้
“ยืนขึ้นเถิด แค่ท่านบอกจะเข้าร่วมกับหอการค้าของข้า ข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติมากแล้ว”
เขาเข้าไปช่วยพยุงซูฉีเจี่ยให้ยืนดีๆและกล่าวต้อนรับเขาอย่างเป็นทางการ
ถึงแม้ว่าซูฉีเจี่ยจะเป็นเพียงจ้าววรยุทธ์ แต่ท่าทีและความคิดของคนคนนี้ก็ไว้ใจได้
สิ่งผิดปกติเดียวที่อยู่ในตัวซูฉีเจี่ยนั่นก็คือ หนทางการพัฒนาฝีมือนั้นมันถูกขวางกั้นไว้อยู่ ดังนั้นมันจึงทำให้เขาประสบผลสำเร็จในชีวิตได้ยากกว่าใครๆ
ทว่าในสายตาเย่เย่ เรื่องนี้น่ะไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปเลย ตราบใดที่ซูฉีเจี่ยยังประพฤติตนให้เขาชื่นชม เย่เย่ก็ไม่ได้คิดมากหากจะต้องแลกยาระดับสูงจากในระบบมาเพื่อช่วยให้เขาหายจากอาการบาดเจ็บ
ยิ่งครั้งนี้ซูฉีเจี่ยตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่แม้จะรู้อยู่แล้วว่าที่แห่งนี้กำลังวิกฤต สิ่งนี้ทำให้เขาแสดงให้เห็นว่าตนเองนั้นมีความชาญฉลาดมากขนาดไหน เย่เย่เชื่อเลยว่าหากในอนาคตเขาต้องห่างไกลจากหอการค้าแห่งนี้ชั่วคราว ด้วยการคุ้มกันของซูฉีเจี่ย จะไม่มีใครสามารถมาทลายหอการค้าหยูเย่ได้โดยง่าย
หลังจากที่รับซูฉีเจี่ยเข้ามาภายในหอการค้าแล้ว เย่เย่ก็เริ่มมีอารมณ์ที่ผ่อนคลายขึ้นมา แรงกดดันที่ได้รับจากปราการ หลิงหยวนนั้นหายไปหมด ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนที่เขาส่งไปสืบหาเรื่องราวของจินหยูและหลินหยูฉีก็กลับมารายงานผลการสืบให้เย่เย่ทันที เมื่อได้ยินรายละเอียดทั้งหมดแล้ว เย่เย่ก็แสยะยิ้มขึ้นมาก่อนจะขอให้เสี่ยวหยูช่วยอะไรเขาบางอย่าง
วันต่อมา เย่เย่ได้เดินออกจากหอการค้าของเขาเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีเรื่องกับศิษย์ของปราการหลิงหยวน และในทันทีที่เขาปรากฏตัว เหล่าหน่วยสอดแนมที่ซ่อนตัวอยู่ก็รีบรายงานกลับไปยังฝ่ายของตนต่อในทันที