ระบบเติมเงินข้ามภพ – บทที่ 57 การตายของหลินหยูฉี

บทที่ 57 การตายของหลินหยูฉี

บทที่ 57

การตายของหลินหยูฉี

“เจ้ากล้ามากนะ!”

เมื่อเห็นเย่เย่กล้าที่จะลงมือกับหลินหยูฉี จินหยูก็ประเคนหมัดเข้าใส่เย่เย่อีกครั้ง

หมัดของเขานั้นมันพลุ่งพล่านราวกับมีชีวิตเป็นของตนเอง ทั้งความเร็วและพลังราวกับเป็นสัตว์ป่าที่กำลังเข้าโจมตีเหยื่อจนสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผุ้ที่พบเห็นกันถ้วนหน้า ทั้งฝุ่นและควันต่างพากันลอยคลุ้งสูงจนทั้งจินหยูและเย่เย่ถูกฝุ่นควันพวกนี้ห่อหุ้มเอาไว้

แววตาของเย่เย่นั้นดูเกรี้ยวกราด และเขาไม่ลังเลเลยที่จะงัดฝ่ามือคลื่นพิโรธออกมาใช้

*ครืน!*

เสียงของคลื่นพิโรธที่เกิดขึ้นที่ฝ่ามือของเย่เย่นั้นดังระงมไปทั่วทั้งลานกว้างนั้น ดูเหมือนว่ากระบวนท่านี้จะถูกขัดเกลาขึ้นจากครั้งก่อนจะใช้งานง่ายขึ้นแล้ว ซึ่งด้วยคลื่นพิโรธที่ถูกปรับปรุงใหม่นี้เองมันทำให้หมัดของจินหยูถูกหยุดไว้แน่นิ่งก่อนที่แรงหมุนจากคลื่นที่ตีเกลียวเป็นคลื่นน้ำวนก็ทำให้ร่างของจินหยูต้องหมุนตามทิศทางที่หมัดกำลังถูกหมุนด้วย

เย่เย่ประทับฝ่ามืออีกข้างหนึ่งเข้าไปเพื่อสร้างคลื่นอย่างไม่หยุดหย่อนจนจินหยูต้องกระเด็นถอยไปแล้วถอยไปอีกด้วยสีหน้าตกตะลึง

“นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน?! ทำไมมันถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?!”

จินหยูตกใจมากๆ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เกิดความละโมบในวิชาด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้มีแต่คนมองอยู่เต็มไปหมด แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องจัดการเย่เย่ให้ได้ในวันนี้

ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องการจัดการหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงใจหลินหยูฉีมาเนิ่นนาน หรือเป็นเพราะต้องการที่จะครอบครองวิชาที่เย่เย่ใช้ จินหยูก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไว้ชีวิตเย่เย่อีกต่อไป เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้หยุดหลินหยูฉีเมื่อเห็นว่านางเข้ามาช่วยโจมตีด้วย ราวกับลืมไปแล้วว่าตนนั้นแข็งแกร่งกว่าเย่เย่

“เมื่อไหร่ที่ท่านสามารถฆ่าเขาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นของท่าน!”

เมื่อหลินหยูฉีเห็นแล้วว่าเย่เย่กำลังอยู่เหนือจินหยูผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเย่เย่เองด้วยฝ่ามือคลื่นพิโรธ นั้น ความอิจฉาในวิชาของนางเองก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วนางจึงตัดสินใจเช่นเดียวกับจินหยู นั่นคือจัดการเย่เย่ให้เสร็จๆไปเสียตั้งแต่วันนี้แหละ! เช่นนั้นแล้วนางจึงไม่ปิดบังเจตนารมณ์ที่จะฆ่าเย่เย่อีกต่อไป

“ถ้าคิดว่าทำได้ก็เชิญ!”

เย่เย่หันไปแสยะยิ้มและเริ่มโจมตีทั้งหลินหยูฉีกับจินหยูไปพร้อมๆกัน

ไม่มีใครรู้นอกจากเย่เย่ว่าฝ่ามือคลื่นพิโรธนี้ถือเป็นกระบวนท่าระดับสูงของเหล่าเทพยุทธ์ทั้งหลาย ซึ่งต่อให้เย่เย่สำเร็จมันเพียงระดับต้น มันก็เพียงพอที่จะรับมือจินหยูและ หลินหยูฉีพร้อมๆกันแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เปรียบอะไรนัก แต่มันก็ทำให้เขาสามารถรุกรับพลิกผันได้ตลอดแม้จะต้องเจอทั้งสองคนพร้อมๆกัน

เหล่าสายลับที่อยู่ด้านนอกนั้นต่างมองเหตุการณ์นี้อยู่ไกลๆ และมันทำให้พวกเขาคลาดสายตาไม่ได้เลย หากไม่มาเห็นด้วยตาตนเองคงเชื่อได้ยาก ว่าเย่เย่ที่ไม่มีท่าทีว่าจะชนะในความคิดของพวกเขา กำลังรับมือกับทั้งหลินหยูฉีและจินหยูได้ด้วยตัวคนเดียว นี่มันเป็นอะไรที่น่าตกใจมากๆ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา จินหยูมักจะพยายามเก็บซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในความมืดตลอด แต่เพราะสถานการณ์ตอนนี้มันหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้สิ่งที่เขาคิดจะเอาไปเปิดตัวในงานพบปะหลิงหยวนนั้น ต้องถูกนำมาใช้ก่อน

“เพลิงไพรีท่วมพิภพ!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนที่เกรี้ยวกราดของจินหยู ทันใดนั้นร่างของเขาก็ถูกเปลวไฟสีแดงรุกโชนขึ้นมา เปลวไฟนั้นเป็นของจริงแต่การที่มันมาอยู่บนร่างของจินหยูมันจึงทำให้คนอื่นมองว่าหรือมันจะเป็นภาพลวงตา ทว่าเย่เย่ที่อยู่ใกล้กับเขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่ออกมาจากตัวของจินหยูจริงๆ

“ตายซะ!”

กระบวนท่าลับนี้มีเวลาจำกัด ดังนั้นการที่จะใช้มันจำเป็นต้องรีบเผด็จศึก เช่นนั้นแล้วหลังจากที่ไฟลุกท่วมตัวแล้ว เขาก็รีบพุ่งเข้าหาเย่เย่ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมเป็น 2 เท่าเลย!

“เร็วจริง!”

เย่เย่รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของจินหยู แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เตรียมตัวไม่ทันแล้ว เมื่อจินหยูพุ่งเข้ามาหาเขา เย่เย่ก็กระตุ้นพลังของรองเท้าเทพวายุและใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้รับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าทันที

*ผั้วะ!* *ปึ่้ก!* *ตุ้บ!*

ทั้งเย่เย่และจินหยูนั้นต่างก็กำลังปะทะกันด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนเริ่มจะมีคนที่มองพวกเขาทั้งสองไม่เห็นแล้ว

นั่นรวมไปถึงหลินหยูฉีด้วย ถึงแม้ว่านางนั้นจะเป็นเทพยุทธ์ที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง แต่นางก็ยังถูกทั้งเย่เย่และจินหยูทิ้งห่างอยู่ดี ดังนั้นในตอนนี้ แม้เย่เย่และจินหยูจะสู้กันไม่ได้ห่างไกลจากนางนัก แต่นางก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะสามารถมองเห็นร่างของทั้งสองได้ชัดเจนนัก

*ตึง!!*

หลังจากที่ทั้งสองเข้าปะทะกันด้วยกำลังกายทั้งหมดที่มีแล้ว เย่เย่ก็สำลักเลือดออกมาแต่ก็ยังจับตามองกับอีกฝ่ายที่อยู่ตรงหน้าไว้ ร่างของจินหยูที่ค่อยๆเดินออกมาและยืนตรงหน้าเย่เย่นั้นค่อนข้างต่างกันมากเลยทีเดียว

เพราะว่าแท้จริงแล้วจินหยูนั้นมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าเย่เย่เป็นทุน เพราะฉะนั้นถึงแม้จะเพิ่งใช้วิชาลับไป ตัวเขาก็ไม่ได้หมดสภาพระดับที่เย่เย่เป็นอยู่แถมเขายังไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยด้วย

จินหยูค่อยๆแสยะยิ้มออกมาและพยักหน้า เขาอยากจะเริ่มการต่อสู้รอบสุดท้ายกับเย่เย่เลย ทว่าเมื่อสังเกตดีๆ เขาก็พบว่าเย่เย่นั้นก็กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน และภายใต้รอยยิ้มนั้นก็มีเสียงพูดที่ฟังดูเหยียดหยามออกมาด้วย “เจ้าคิดว่าจะจัดการข้าได้งั้นหรือ? ฝันกลางวันมากไปแล้ว”

ทันทีที่เสียงของเย่เย่เงียบลง ร่างของเย่เย่ก็หายวับไปกับตาและในขณะเดียวกัน หินรูนแห่งการทำลายล้างทั้ง 9 ก้อนก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวจินหยูและหลินหยูฉี

“แย่ละ วิ่งเร็ว!”

ถึงจินหยูจะไม่รู้ว่าหินรูนพวกนี้คืออะไร แต่สัญชาตญาณของเขาก็รับรู้ได้ว่าความอันตรายของมันอยู่ในระดับสูงเลยทีเดียว หลังจากที่ตะโกนบอกหลินหยูฉีไปแล้ว เขาก็ตัดสินใจยุติการต่อสู้ในทันที

*ตู้ม!* *ตู้ม!* *ตู้ม!* *ตู้ม!* *ตู้ม!* *ตู้ม!* *ตู้ม!* *ตู้ม!* *ตู้ม!*

เสียงของระเบิดดังขึ้นรัวๆตามกันมาติดๆ และด้วยพลังของหินรูนแห่งการทำลายล้างทั้ง 9 นี้ก็แข็งแกร่งพอที่จะเป่าร่างของเทพยุทธ์ทั้งหลายให้กระจายไปได้ง่ายๆอีกด้วย

จินหยูที่สามารถหนีออกมาจากศูนย์กลางของการระเบิดได้ก็เพราะกระบวนท่าลับของเขา ทว่าแม้จะออกมาไกลแล้วแต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจากคลื่นความร้อนที่แผ่ตัวกว้างมาถึงกำแพงที่เขาหลบอยู่ดี แตะหลินหยูฉีไม่ได้โชคดีขนาดนั้น นางนั้นอยู่ในจุดศูนย์กลางของการระเบิดพอดี นั่นจึงทำให้นางไม่มีโอกาสที่จะได้หนีและไม่มีแม้แต่เศษฝุ่นที่ยืนยันว่าเป็นตัวนางให้เห็นแม้แต่นิดเดียว หลินหยูฉีได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว!

“ไม่!!!”

เมื่อได้รู้ว่าหลินหยูฉีตายไปต่อหน้าต่อตา จินหยูก็ชอกช้ำระดับที่สำลักเป็นเลือดออกมาทันที ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการใช้กระบวนท่าลับนั้นด้วยมันจึงทำให้ตอนนี้สีหน้าของเขาดูซีดเซียวแบบสุดๆ

เย่เย่ค่อยๆเดินออกมาจากมุมหนึ่งของลานดังกล่าวโดยที่ตนเองไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากแรงระเบิดเลย นั่นก็เพราะเขานั้นได้ถอยกลับออกไปตั้งแต่วินาทีแรกที่ระเบิดหลุดออกจากมือของเขาและลอยขึ้นฟ้าไปแล้ว นอกจากนั้นเขายังสวมเกราะมังกรเมฆาที่ซึ่งทำให้การโจมตีทุกอย่างที่มีระดับต่ำกว่าเทพยุทธ์นั้นไม่สามารถทำอะไรเขาอีกด้วย

เขามองไปยังจุดกึ่งกลางของระเบิดด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ก่อนจะเหลือบตาไปมองจินหยูที่บาดเจ็บหนักในระดับหนึ่ง

“ถ้าเจ้าอยากจะแก้แค้น ก็มาได้ทุกเมื่อเลย! แต่ก่อนที่จะมาแก้แค้นข้าก็ช่วยเตรียมตัวเตรียมใจที่จะต้องตายไว้ด้วยล่ะ เพราะครั้งหน้าข้าไม่ปรานีเจ้าแน่!”

คำพูดของเย่เย่นั้นฟังดูจะไม่แยแสจินหยูแบบสุดๆ และเมื่อพูดจบเขาก็เดินอย่างผยองออกไปจากตำหนักตระกูลจินโดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะหยุดเขาไว้เลย

เหตุผลที่เขาไม่จัดการจินหยูไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็เพราะว่าเย่เย่มองว่ามันไม่จำเป็น ยังไงเสียจินหยูก็เป็นตัวแทนของปราการหลิงหยวน ตัวเย่เย่เองก็ไม่ได้อยากจะมีเรื่องอะไรกับปราการหลิงหยวนอยู่แล้วเว้นแต่โดนบังคับให้ทำ

สำหรับหลินหยูฉีที่ถือเป็น 1 ในรายการต้องฆ่าของเขามาเนิ่นนานแล้ว เย่เย่ไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่อย่างใดที่ต้องฆ่านาง เขาไม่สนใจด้วยว่าหลินหยูฉีนั้นอาจจะเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาๆของปราการหลิงหยวนก็ได้ เพราะต่อให้หลินหยูฉีจะเป็นเจ้าสำนัก ยังไงซะเขาก็ต้องฆ่านางอยู่ดี

มองไปยังเย่เย่ที่เดินทิ้งห่างไปเรื่อยๆ ความเกลียดชังที่มีต่อเย่เย่ก็พุ่งสู่จุดสูงสุด กระนั้นแล้วภายในใจของเขาก็ยังมีความรู้สึกกลัวฝังอยู่ลึกๆ ระเบิดเมื่อครู่ หากเขาตอบสนองช้าไปกว่านั้นอีกนิดเดียว ต่อให้เขาจะไม่ระเหยกลายเป็นไอเหมือนหลินหยูฉี เขาก็อาจจะกลายเป็นคนพิการไปเลยก็ได้

ถึงแม้เย่เย่จะหยิ่งผยอง แต่เขาก็หยิ่งผยองเพราะเขามีความสามารถที่จะทำได้ จินหยูต้องยอมรับเลยว่าเขาประเมิน เย่เย่ต่ำเกินไปมาก่อนหน้า

อีกฟากหนึ่ง หลังจากที่เย่เย่เดินออกไปพ้นเขตของตำหนักตระกูลจินไปแล้ว เหล่าสายลับที่ได้เห็นว่าเย่เย่ฆ่า หลินหยูฉีไปแล้วนั้นก็ประกาศข่าวออกไปทั่วเมืองในทันทีเมื่อเขากลับไปยังฝ่ายของตนเอง มันกลายเป็นว่าแทนที่เย่เย่จะต้องไปสวามิภักดิ์กับปราการหลิงหยวน เย่เย่กลับไปทำให้คนเหล่านี้ต้องตกตะลึงแทน

ทุกๆคนต่างยอมรับว่าตนเองนั้นประเมินเย่เย่ต่ำไป แต่ในตอนนี้พวกเขาก็ตระหนักกันได้ว่า เย่เย่ได้กลายเป็นศัตรูกับปราการหลิงหยวนอย่างเต็มตัวแล้ว ดังนั้นต่อให้พวกเขาอยากจะชื่นชมในความสามารถของเย่เย่ขนาดไหน พวกเขาก็เลือกที่จะถอนตัวออกจากเรื่องนี้และไม่อยากยุ่งกับเย่เย่เพื่อให้เรื่องลามมาถึงพวกตนได้อีก

เย่เย่ไม่ได้สนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว หลังจากที่เขาได้ฆ่าหลินหยูฉีต่อหน้าจินหยูและสะสางความบาดหมางที่มีมาเรียบร้อยแล้ว เย่เย่ก็กลับไปยังหอการค้าหยูเย่และทำการฝึกวรยุทธ์ของเขาต่อไป

เสี่ยวหยูและซูฉีเจี่ยหลังจากที่ได้รู้เรื่องที่เย่เย่ไปทำมานั้น ทั้งสองต่างก็ยืนดีกับความแข็งแกร่งของเย่เย่ที่อยู่เหนือการคาดหมายของพวกเขาเองด้วย แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็กังวลว่าชีวิตของคนที่เกี่ยวข้องกับหอการค้าหยูเย่จะไม่สงบสุขนับต่อจากนี้ไป

แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา หอการค้าหยูเย่นั้นจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วรวมถึงกิจการก็ขยายวงกว้างออกไปราวกับเกสรที่ลอยไปตามลม แต่มันเงินทุนของร้านก็ถูกใช้ไปเป็นจำนวนมากเพราะเสี่ยวหยูต้องซื้อของดีๆเข้าร้านกับคอยขยายกิจการอยู่เรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ตัวร้านเองจึงยังไม่มีกำไรที่น่าพึงพอใจเสียที แล้วยิ่งเหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นอีก ไม่ช้าก็เร็วหอการค้าแห่งนี้จะต้องการเป็นเป้าหมายของปราการหลิงหยวนที่จะทำการคว่ำบาตรอย่างแน่นอน ซึ่งในอนาคตหอการค้าแห่งนี้คงได้เจอวิกฤตทางการเงินแน่ๆ

เสี่ยวหยูนั้นไม่มีอะไรที่จะพูด เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็ยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างเย่เย่ ทางด้านซูฉีเจี่ยที่เข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่เองก็เพราะชื่นชมในความกล้าของเย่เย่ที่ยืนหยัดสู้กับปราการหลิงหยวน ดังนั้นแล้วต่อให้จะต้องเป็นศัตรูกับปราการหลิงหยวนขึ้นมา เขาก็จะไม่ไปจากที่นี่เพราะเหตุผลนี้แน่ๆ เช่นนั้นแล้วพวกเขาทั้งหมดจึงยังคงทำงานเหมือนปกติและพยายามเรียนรู้งานบริหารร้านอื่นๆเพิ่มเติมด้วย

ในระหว่างที่เย่เย่กำลังสกัดพลังจากยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่อยู่นั้น เขาก็ค่อยๆวิเคราะห์ประสบการณ์มากมายที่ได้จากการต่อสู้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ไปด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อนำไปปรับใช้กับปัญหาที่กำลังจะตามมาในอนาคตข้างหน้านี้

ฝ่ามือคลื่นพิโรธนั้นนับว่าไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ แม้จะเป็นเพียงพลังระดับเริ่มต้นก็สามารถรับมือกับจินหยูผู้มีวรยุทธ์ระดับบั้นปลายเทพยุทธ์ได้ แม้จะไม่ได้ใช้ฝ่ามือนี้จัดการหลินหยูฉีก็จริง แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะหันมาฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธนี้ให้เข้าสู่ระดับที่ดีที่สุด ซึ่งในตอนนี้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพลังของมันจะมากขนาดไหน

เย่เย่ภูมิใจในตอนเองมากๆที่ตอนนั้นเลือกทุ่มเทให้กับการฝึกฝนและเรียนรู้ฝ่ามือคลื่นพิโรธนี้ และในตอนนี้เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะร่ำเรียนฝ่ามือคลื่นพิโรธให้แตกฉานและจะไม่ฝึกฝนกระบวนท่าใดอื่นจนกว่าจะสำเร็จความตั้งใจนี้ ต่อให้ต้องลดความเร็วในการสกัดพลังจากยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ลงไปบ้าง แต่การเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตนเองด้านพลังโจมตีก็จำเป็นเช่นกัน

นอกจากนั้นแล้ว เย่เย่ก็วางแผนไว้ว่าจะขายรองเท้าเทพวายุในการประมูลร่วมที่กำลังจะจัดขึ้นเร็วๆนี้อีก เพราะหลังจากที่เขาได้ประมือกับจินหยู เย่เย่ก็พบว่าความเร็วที่รองเท้าเทพวายุคู่นี้มอบให้นั้นเกือบจะถึงขีดจำกัดของมันแล้ว มันอาจจะเหมาะสมหากต้องต่อสู้กับเทพยุทธทั่วไป แต่ไม่ใช่กับเทพยุทธ์ที่อยู่ในระดับสูงมากๆเช่นนั้น

ในส่วนของเกราะมังกรเมฆานั้นถือว่าเหมาะสมกับการรับการโจมตีจากศัตรูในช่วงนี้อยู่ ซึ่งด้วยเกราะชิ้นนี้มันทำให้เขาเพิ่มโอกาสในการชนะได้อีกเป็นอย่างมาก ด้วยพลังป้องกันของเกราะมังกรเมฆาที่เรียกได้ว่าคนธรรมดาจนถึงขั้นเทพยุทธ์ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เลย เช่นนั้นแล้วนี่จึงถือเป็นไพ่ใบใหญ่ที่สุดเท่าที่เย่เย่มีในตอนนี้

ก่อนหน้านี้เจิ้งซูได้ใช้หินรูนแห่งการทำลายล้างของเขาไปแล้ว 1 ลูกเมื่อครั้งที่ท้าประลองกับเจิ้งเทียนไช่ ส่วน 9 ลูกที่เหลือเย่เย่ก็ใช้มันฆ่าหลินหยูฉีไปแล้ว

ดังนั้นตอนนี้เย่เย่ไม่เหลือหินรูนแห่งการทำลายล้างเลยแม้แต่ลูกเดียว ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้เขาแอบเสียใจเล็กน้อย

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เย่เย่ก็ยังมั่นใจว่าด้วยระดับพลังของตนเองในตอนนี้นั้นต่อให้จะต้องใช้พลังของตนเองในการต่อสู้ แต่เขาก็ไม่เป็นสองรองใครแน่ๆ ไม่นานนักเขาก็ลืมเรื่องที่กังวลใจอยู่ไปแล้วหันไปฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธต่อทันที

ระบบเติมเงินข้ามภพ

ระบบเติมเงินข้ามภพ

เย่เย่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตัวเองข้ามมายังยุคโบราณ พร้อมกับระบบเติมเงินข้ามภพ เขาสามารถแปลงเงินเป็นของวิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเม็ดยา อาวุธ ค่ายกล ของเพียงมีเงิน เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท