บทที่ 54
ศิษย์แห่งปราการหลิงหยวน
เสวี่ยหยูเผยให้เห็นรอยยิ้มสดใสก่อนจะกล่าวขอบคุณแก่เย่เย่ด้วยน้ำเสียงมีความสุข
ในตอนแรกนั้นนางเห็นว่าเย่เย่ดูจะไม่ได้สนใจที่จะเข้าร่วมการประมูลรวมนี่ซักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ลองชวนแล้วเย่เย่กลับไม่ปฏิเสธคำเชิญนั้น มันจึงทำให้เสวี่ยหยูภูมิใจในตนเองแบบสุดๆ
ในฐานะที่เป็น 1 ในเจ้าของหอการค้าหยูเย่นี้ เสวี่ยหยูเองก็หวังว่าจะได้เห็นหอการค้าหยูเย่นั้นกลายเป็นที่น่าลงทุนในสายตาคนอื่น ทั้งนี้ก็เพื่อรากฐานที่มั่นคงในอนาคต แต่กระนั้นนางก็ยินดีที่เย่เย่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการเรื่องของหอการค้าของเขา ดังนั้นนางจึงค่อนข้างไม่มั่นใจมากๆว่าจะสามารถเชิญชวนเย่เย่เข้าวงการประมูลร่วมครั้งนี้ได้หรือไม่
แต่ในท้ายที่สุด เย่เย่ก็รักษาหน้าของนางและตอบตกลงคำเชิญนั้น นอกจากนางจะรู้สึกเคารพในตัวเย่เย่แล้ว ตอนนี้นางยังเริ่มมีความรู้สึกดีๆให้แก่เย่เย่อีกด้วย มันชวนให้หวนนึกถึงครั้นที่ก่อนเขาจะกลับมายังหอการค้าหยูเย่นี้ เสวี่ยหยูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาและหลงใหลในตัวเย่เย่เมื่อได้ยินคนรับใช้ของเขารายงานให้ฟังว่าเย่เย่นั้นดูแลทุกๆอย่างในหอการค้านี้เป็นอย่างดีรวมถึงสร้างความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเจิ้งด้วย
หลังจากที่เสวี่ยหยูออกไปแล้ว เย่เย่ก็กลับไปยังห้องของเขาเพื่อฝึกฝนต่อ วรยุทธ์ของเย่เย่ในตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นสูงมาอยู่ในระดับคอขวดแล้ว อีกเพียงนิดเดียวเขาก็สามารถเข้าสู่จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเทพยุทธ์ได้จากการที่สกัดพลังจากยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่หมดไปอีก 1 ขวดจาก 2 ขวดที่แลกมาล่าสุด เย่เย่คาดการณ์ไว้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาสกัดพลังจากยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ในขวดที่ 2 หมด ความแข็งแกร่งของเขาก็น่าจะอยู่เหนือกว่าระดับเทพยุทธ์อีก
อย่างไรก็ตาม แม้ความต้องการของเย่เย่นั้นจะชัดเจนแล้วและเย่เย่เองก็ไม่ได้ย่อท้อต่อการฝึกใดๆ แต่ก็เหมือนจะมีใครบางคนที่ไม่อยากให้เขาได้ก้าวหน้าไปมากกว่านี้ ด้วยความเร็วในการพัฒนาของหอการค้าหยูเย่ที่เพิ่มขึ้นราวกับต้นไม้ที่ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว มันเลยล่อให้ชาย 2 คนผู้มีท่าทียโสเข้ามายังหอการค้าหยูเย่เพื่อหาตัวเย่เย่
“บอกนายของเจ้าว่าศิษย์แห่งปราการหลิงหยวน จางซวนและกูเฉิงมาเยี่ยมและขอให้เขาแสดงตนด้วย!”
เมื่อเข้ามาภายในหอการค้าได้แล้ว ชายทั้งสองคนผู้มีนามว่าจางซวนและกูเฉิงก็พูดขึ้นกับเสี่ยวหยูอย่างก้าวร้าวจากนั้นก็ไปยืนอยู่กลางโถงและมองไปยังความแออัดเบื้องหน้าด้วย
เสี่ยวหยูนั้นรู้ดีถึงเรื่องที่เย่เย่และหลินหยูฉีทะเลาะกันอยู่ ดังนั้นแล้วเมื่อนางได้ยินว่าคนเหล่านี้มาจากปราการหลิงหยวน นางจึงรู้สึกแย่ขึ้นมาทันที
“ข้าต้องขอโทษด้วยเจ้าค่ะ ตอนนี้นายของข้านั้นไม่ได้อยู่ในหอการค้า ถ้ายังไงช่วยกลับมาวันหลังเถอะ”
สัญชาตญาณของเสี่ยวหยูนั้นคือไม่ต้องการให้เย่เย่มาพบกับคนเหล่านี้แบบสุดๆ ดังนั้นนางจึงพยายามส่งคนพวกนี้กลับไปโดยไม่บอกเย่เย่ก่อน
ทว่าเหตุผลที่จางซวนและกูเฉิงสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ของปราการหลิงหยวนได้และอยู่ใต้การดูแลของจินหยูผู้โด่งดังนั้นไม่ใช่เพียงแค่พวกขามีความสามารถ แต่รวมไปถึงการที่พวกเขามีพลังในการตรวจสอบและตรวจจับสิ่งต่างๆด้วย
เมื่อเขาเห็นว่าเสี่ยวหยูพยายามหลบตาและสีหน้าก็มีร่องรอยของความกดดัน มันจึงทำให้พวกเขารู้ได้ทันทีว่านางนั้นโกหก
จางซวนพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด นอกจากนั้นเขายังระเบิดพลังของเทพยุทธ์ที่แข็งแกร่งใส่เสี่ยวหยูพร้อมทั้งข่มขู่นางด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสารเลวอีก “สาวน้อย ข้าแนะนำว่าอย่ามาเล่นตุกติกกับข้าจะดีกว่า ใครก็ตามที่คิดเป็นศัตรูกับปราการ หลิงหยวนแห่งหลิงเฉิงน่ะ ไม่เคยได้ตายดีนะ! ไปเรียกนายของเจ้าออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้! ข้าจะไม่พูดย้ำเป็นครั้งที่ 3 นะ!”
กูเฉิงที่มาด้วยกันนั้นเพียงแค่มองบรรยากาศโดยรอบเท่านั้น สีหน้าของเขาแสดงออกให้เห็นถึงความเหยียดหยามอยู่ตลอดเวลา เขาไม่ได้สนใจแม้แต่นิดเดียวว่ามีเสี่ยวหยูอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย
บางทีต่อให้ที่แห่งนี้มียามรักษาการณ์เพิ่มขึ้นอีกซัก 10 เท่า คนเหล่านี้ก็ยังคงมั่นใจว่าจะสามารถกำจัดเย่เย่ให้หายไปจากที่นี่ได้อย่างแน่นอนอีกด้วย
เสี่ยวหยูเริ่มจะเหงื่อตกขึ้นมาแล้วภายใต้แรงกดดันของจางซวน ทว่านางกลับไม่ยอมแพ้และยังคงดื้อดึงผ่านแววตาใสนั้น นางปฏิเสธที่จะยอมก้มหัวให้อีกฝ่ายและพูดขึ้น “ข้าก็บอกไปแล้วว่านายท่านของข้าไม่อยู่ที่หอการค้าตอนนี้! ท่านรีบๆกลับออกไปจะดีกว่า พวกข้าไม่ต้อนรับ!”
“เจ้ามันรนหาที่ตาย!”
จางซวนนั้นไม่คาดคิดเลยว่าจ้าววรยุทธ์คนนี้จะกล้าปีนเกลียวขึ้นเสียงกับเขา ด้วยความโกรธที่เพิ่มขึ้นมันทำให้เขาอยากจะจัดการนางเสียตรงนี้ ทว่าทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างที่แข็งแกร่งมากๆกำลังพุ่งเข้ามา เขาจึงไม่รอช้าที่จะคว้าตัวกูเฉิงออกจากจุดนั้นก่อน
*ซู่ม!*
ทันทีทันใด จุดที่จางซวนเคยยืนอยู่ก็เกิดระเบิดขึ้นและคละคลุ้งไปด้วยควันแก๊สลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ แต่ก่อนจะได้สงสัยว่าควันพวกนี้คืออะไร หมัดๆหนึ่งก็พุ่งฝ่ากลุ่มก้อนควันพวกนั้นออกมาพร้อมกับเสียงของแรงอัดอากาศที่ตามมาทีหลัง
เย่เย่ค่อยๆเก็บหมัดของตนที่พลาดเป้าหมายนั้นกลับมาและมองจางซวนกับกูเฉิงด้วยความเยือกเย็นราวกับนักล่าที่กำลังจ้องมองเหยื่อด้วยความนิ่งสงบและโหดร้าย
เหล่าลูกค้าที่อยู่ภายในหอการค้าเองก็หันมามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ และเมื่อเขาเห็นแล้วว่าเป็นเย่เย่ที่ปรากฏตัวขึ้นมา ผู้คนมากมายก็เริ่มให้ความสนใจและมุงดูสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
หลายๆคนภายในหอการค้านี้จำเย่เย่ได้และรู้ว่าเย่เย่ผู้เป็นเจ้าของกิจการหอการค้าหยูเย่นั้นเป็นเทพยุทธ์ที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง ในขณะที่หอการค้าหยูเย่แห่งนี้กำลังเติบใหญ่ในทุกวัน เย่เย่เองก็เปรียบเสมือนตำนานประจำย่านที่รู้จักกันดีไปแล้ว นอกจากนั้นเขายังเป็นที่ชื่นชมของสาวๆอีกหลายคนที่ได้เห็นเขาด้วย
กลับกันทางฝั่งของจางซวนและกูเฉิงแห่งปราการ หลิงหยวนนั้น แม้ว่าเขาจะเข้าเป็นศิษย์ของปราการแห่งนี้ที่ถือว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งของหลิงเฉิงด้วยความสามารถอันเหลือล้นของพวกเขาเอง แต่กระนั้นกลับไม่มีใครรู้จักพวกเขาเลย
จางซวนมองไปยังผู้คนรอบข้างที่ดูจะให้ความสนใจกับ เย่เย่เป็นพิเศษจนเกิดความริษยาขึ้นในในใจ
หลังจากที่มองอยู่พักใหญ่ๆ เขาก็เอ่ยพูดขึ้นมาด้วยความไม่แยแส “นี่อยู่ในช่วงการปฏิบัติงานของศิษย์แห่งปราการ หลิงหยวน ผู้ใดก็ตามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็เชิญออกจากที่นี่ไปเดี๋ยวนี้เลย!”
“ว่ายังไงนะ! คนพวกนี้เป็นศิษย์ของปราการหลิงหยวนงั้นเหรอ?!”
“รีบไปเร็ว! อย่าไปขัดหูขัดตาพวกปราการ หลิงหยวนเชียว!”
“ฮึ่ม! นี่ไม่ใช่เขตของพวกเขาไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อได้รู้ตัวตนของจางซวนและกูเฉิง เหล่าลูกค้าในหอการค้าต่างก็หันหน้ามาคุยกันเอง พวกเขาเกือบทั้งหมดนั้นเกรงกลัวปราการหลิงหยวน แถมบางคนก็ยังไม่ชอบการกระทำของคนเหล่านี้เสียด้วย
เย่เย่ที่เห็นว่าจางซวนนั้นกำลังไล่คนในหอการค้าของเขาออกไป สีหน้าของเขาก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ไม่ขึ้นไปอีก เขาเดินตรงไปหาจางซวนและกูเฉิง จ้องมองทั้งสองด้วยแววตาที่เยือกเย็นก่อนจะพูดด้วยเสียงดัง “ที่นี่คือที่ของข้า! และลูกค้าทุกคนของหอการค้าหยูเย่ก็ถือเป็นแขกของข้า! ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไล่พวกเขาออกไปไม่ได้ทั้งนั้น ไม่แม้แต่ปราการหลิงหยวน!”
เขาเอ่ยออกมาท่ามกลางความโกลาหลของผู้คน และทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเพราะความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของเย่เย่ที่แสดงให้เห็นนี้ บางคนที่เคยคิดจะเดินออกไปเลยก็ต้องหยุดและหันกลับมามองทางฝั่งศิษย์แห่งปราการหลิงหยวนแทนว่าพวกเขาจะทำอะไรต่อ
จางซวนและกูเฉิงยิ่งได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งไม่พอใจ กระนั้นการที่มีคนจำนวนมากมารวมกันมันทำให้พวกเขาไม่กล้าลงไม้ลงไม้กันในทันที ด้วยเหตุนี้กูเฉิงจึงกระตุกแขนเสื้อของจางซวนเบาๆเพื่อเตือนเขาไม่ให้ลืมถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้
“ฮึ่ม! ข้าไม่อยากจะสนใจพวกคนดื้อด้านหรอกนะ วันนี้ที่พวกข้ามายังหอการค้าหยูเย่นั้นก็เพื่อประกาศข่าวแก่เย่เย่ น้องชายของหลินหยูฉี ว่าพี่สาวของเจ้าและนายท่านแห่งปราการหลิงหยวน ท่านจินหยู กำลังจะเข้าพิธีหมั้นกันอย่างเป็นทางการ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นฤกษ์งามยามดีของตัวหลินหยูฉีเอง แต่นางก็อยากจะชดใช้ความใจดีที่ตระกูลเย่เคยมอบให้โดยให้เจ้าสามารถชดใช้ความผิดที่เคยก่อได้ ตราบใดก็ตามที่เจ้าคุกเข่าและขอขมาเกี่ยวกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตด้วยตัวเจ้าเอง นางจะยอมปล่อยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วไปทั้งหมด”
หลังจากที่โดนกูเฉิงเตือนสติ จางซวนก็ปัดความโกรธทิ้งไปและไม่ใส่ใจความวุ่นวายตรงหน้า เขาหันหน้าไปหาเย่เย่และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
จินหยูที่คนพวกนี้พูดถึงคือชายผู้เป็นที่กล่าวขานของเมืองนี้ว่าสามารถพัฒนาฝีมือขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งปราการหลิงหยวนและเป็นผู้นำให้ปราการหลิงหยวนคนปัจจุบัน หลินหยูฉีเองก็มีความสามารถใกล้เคียงกับคนคนนี้ แม้ว่านางจะได้ขึ้นเป็นเทพยุทธ์ได้ไม่นานมากแต่นางก็ได้รับการเคารพภายในปราการหลิงหยวนอยู่เหมือนกัน
และการที่จางซวนกับกูเฉิงปรากฏตัวที่นี่ในวันนี้ก็เพราะเขาเป็นลูกน้องของจินหยู ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเทพยุทธ์กันแล้ว แต่กว่าจะมีความแข็งแกร่งได้เทียบเคียงเย่เย่นั้นเขาก็ต้องใช้เวลากันอยู่หลายปีไปกับการฝึกฝนอย่างหนัก นอกจากนั้นทั้งสองคนนี้ยังมีร่างกายที่อ่อนแอด้วย ดังนั้นจึงไม่มั่นใจว่าอีกนานเท่าไหร่กว่าพวกเขาจะไปถึงบั้นปลายของเทพยุทธ์เสียที และเพราะอีกเมื่อไหร่ไม่รู้ถึงจะได้เก่งขึ้นอีก พวกเขาจึงเลือกวิธีลัดที่จะได้เพิ่มขั้นภายในปราการหลิงหยวนแทนโดยการรับเป็นอาสาทำงานเพื่อจินหยู ด้วยวิธีนี้พวกเขาก็จะได้รับการปกป้องจาก จินหยูด้วย
เมื่อประกาศเจตจำนงไปแล้ว จางซวนและกูเฉิงก็เดินไปประกบเย่เย่ไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสามารถหนีไปไหนได้อีก ชัดเจนเลยว่า ถ้าหากเย่เย่ปฏิเสธที่จะทำตามสิ่งที่หลินหยูฉีว่ามา ทั้งสองก็จะลากตัวเย่เย่ออกไปจากที่นี่อยู่ดี
“ให้โอกาสงั้นเหรอ? เฮอะ นี่เจ้าหล่อนคิดว่าตัวเองเป็นคนใจดีงั้นเหรอ? พวกเจ้าน่ะเอาเวลากลับไปบอกหลินหยูฉีดีกว่านะว่าเรื่องในอดีตน่ะ จะปล่อยผ่านหรือไม่ก็ตามสะดวกเลย เพราะยังไงเดี๋ยวข้าก็ต้องให้นางชดใช้ให้สาสมเหมือนกัน!”
เย่เย่พูดเหมือนไม่เห็นท่าทีของจางซวนและกูเฉิง เขายังคงใจเย็นและสนทนากับทั้งสองคนต่อไป
คำตอบที่มาในรูปแบบของการขัดขืนของเย่เย่นั้นเป็นไปตามที่จางซวนคิดไว้แล้ว เขาคิดมาตั้งแต่ที่ปราการหลิงหยวนแล้วว่าเย่เย่จะต้องปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงรีบเดินเข้ามาจับไหล่เย่เย่ไว้ด้วยมือข้างเดียว
“อย่าคิดว่าเป็นเทพยุทธ์แล้วจะปฏิเสธพวกข้าผู้มาจากปราการหลิงหยวนได้นะ! ยังไงซะวันนี้เจ้าก็ต้องไปกับพวกข้า ไม่มีการปฏิเสธ!”
กูเฉิงเองเมื่อเห็นดังนั้นก็เดินมาจับไหล่เย่เย่ไว้ด้วยเช่นกัน ระดับพลังของพวกเขาทั้งสองนั้นอยู่ในระดับที่เท่ากับเย่เย่ เพราะงั้นเขาจึงไม่เกรงกลัวว่าเย่เย่จะขัดขืนการจับกุมของพวกเขา
“พวกเจ้าเลือกทางนี้เองนะ”
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะไม่อยากแตกหักกับปราการหลิงหยวนตอนนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบุกมาทำตัวกร่างถึงในถิ่นของเขา ถ้าหากไม่โต้กลับบ้างเห็นทีนั่นคงจะเป็นเย่เย่ตัวปลอม
ทันทีที่เสียงเงียบลง มือข้างที่จางซวยยืนอยู่ก็กำหมัดขึ้นและชกเข้าไปที่ลำคอของอีกฝ่ายในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็จับข้อมือของกูเฉิงและทุ่มร่างนั้นสุดแรงจนเกิดเสียงดังด้วย
“ฮึ่ม เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้อีกงั้นเหรอ?!”
จางซวนนั้นระวังทุกการกระทำของเย่เย่ตลอดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงยกมือขึ้นมากันหมักของเย่เย่ไว้ได้ก่อนที่จะถึงลำคอเขาพอดี เมื่อเห็นแล้วว่าเย่เย่คิดสู้ จางซวนก็รีบยกขาขึ้นหมายจะเตะเป้าเย่เย่ต่อ
เย่เย่ยกขาขึ้นกันการเต๊ะของจางซวนซึ่งในตอนนั้นกูเฉิงที่โดนจับทุ่มก็เข้ามาโจมตีจากด้านหลังด้วยหมัดจนเย่เย่ต้องหันหน้าไปป้องกัน
*ผั้วะ!*
หมัดของเย่เย่และกูเฉิงปะทะกันจนทั่วทั้งหอการค้าหยูเย่เกิดเสียงดังกังวานราวกับระเบิดขนาดย่อม คลื่นอากาศแผ่นกระจายไปทั่วจนเหมือนพายุที่กำลังก่อตัว เหล่าผู้ชมนั้นต้องรีบถอยร่นกันออกมาเพราะกลัวว่าจะถูกลูกหลงจากการต่อสู้ครั้งนี้ ทว่าถึงจะบอกว่าถอยแต่ก็ไม่มีใครหนีออกไปในทันทีหรอก นั่นเพราะการต่อสู้เช่นนี้หาดูได้ยาก ดังนั้นพวกเขาจึงแค่เหมือนจะหาที่ดูการประลองที่ปลอดภัยเสียมากกว่า
“ทำท่าทำทางเหมือนไม่อยากจะก่อเรื่องในหอการค้าของข้า เจ้าควรรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าหอการค้าของข้าไม่เคยร้างคน!”
เมื่อเย่เย่ซัดจนร่างของกูเฉิงกระเด็นออกไปด้วยหมัดเดียวแล้ว แววตาของเย่เย่ก็แสดงออกให้เห็นถึงความหงุดหงิดออกมาและทันใดนั้นเอง ฝ่ามือของเขาก็ปรากฏคลื่นสั่นสะเทือนอ่อนๆอันเป็นรูปแบบของฝ่ามือคลื่นพิโรธระดับต้นขึ้นมา
คลื่นเหล่านั้นเริ่มเดือดพล่านและแผ่วงกว้างไปทั่วหอการค้าและทำให้เกิดคลื่นสะท้อนกลับมาจากทั่วสารทิศราวกับกำลังเห็นภาพลวงตา แต่ก่อนที่กูเฉิงจะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เย่เย่ก็ประกบฝ่ามือใส่เขาทันทีแม้ว่าตัวกระบวนท่ายังเตรียมพร้อมไม่เสร็จสิ้นก็ตาม
“อ่อก!”
กูเฉิงพยายามจะต้านเอาไว้ ทว่าเพียงแค่ครู่เดียวหลังจากที่เขารับแรงปะทะเข้าที่กลางอก เขาก็สำรอกเลือดออกมาจนหน้าถอดสีและมองเย่เย่ด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าคิดว่ามีเจ้าคนเดียวที่เรียนรู้กระบวนท่ามาหรือไง?!”
เห็นดังนั้นแล้วจางซวนก็เป็นฝ่ายเข้าโจมตีจากด้านหลังของเย่เย่บ้าง ทว่าครั้งนี้กำปั้นของเขากลับสามารถมองเห็นได้อย่างเลือนราง หากแต่ความเลือนรางนั้นก็ได้แฝงความชัดเจนเอาไว้ จางซวนกำลังใช้กระบวนท่าเพลงหมัดมายาอันโด่งดังของเขา!