บทที่ 64
ยาสลายแผลกาย
ถ้าเมื่อไหร่ที่เข้าก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงกว่าเทพยุทธ์ไปแล้ว เย่เย่คงตัดสินใจแลกของพวกนี้ออกมาใช้อีกทีหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นั้นมันมีข้อจำกัดด้านพลังมากเกินไป เพราะงั้นเขาจึงไม่สามารถดึงพลังของอาวุธต่างๆออกมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และประสิทธิภาพของพวกมันก็จะไม่ได้เลิศเลอไปกว่าฝ่ามือคลื่นพิโรธเลย ด้วยเหตุนี้การนำดาบสะบั้นกะโหลกไปแลกกับตำราวิชาลับหลิงหยวนจึงไม่ถือว่าเสียของแต่อย่างใด
นอกจากนั้นเย่เย่เองก็ไม่ได้อยากจะเป็นหนี้ใครอยู่แล้ว ซึ่งเขาหวังว่าชายชุดดำคนนั้นหรือไม่ก็พรรคพวกของเขาจะใช้ดาบเล่มนี้สร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่โจวซงได้ หรือถ้าเป็นไปได้ก็ฆ่าโจวซงเลยก็ดี เพราะถ้าเป็นแบบนี้มันก็จะช่วยลดปัญหาที่อาจจะตามมาจากการล้างแค้นของศิษย์แห่งปราการ หลิงหยวนทั้งหลายลงไปอีกเยอะเลย
“นี่คือ ดาบสะบั้นกะโหลก อาวุธระดับสุดยอดของเทพยุทธ์ ข้าคิดว่านี่น่าจะเพียงพอต่อการแลกเปลี่ยนกับตำราเล่มนั้น รับไปสิ”
ในแววตาของชายชุดดำนั้นเต็มไปด้วยความตกใจที่เย่เย่กลับมาพร้อมดาบสะบั้นกะโหลกในมือ เพียงแค่เห็นเย่เย่สะบัดดาบเบาๆ เขาก็รู้สึกได้เหมือนว่าคมดาบเล่มนั้นผ่าช่องว่างระหว่างอากาศข้างๆตัวเขาไปแล้ว เมื่อตระหนักได้ดังนั้น ทั่วทั้งร่างมันก็สั่นขึ้นมาทันที
“ดาบเล่มนี้…”
ภายใต้ผ้าคลุมสีดำที่คลุมตัวเขาอยู่ แววตาของชายชุดดำกำลังตกใจและโลภในดาบเล่มนี้อยู่อย่างเปี่ยมล้น เขารับมันมาจากเย่เย่และไม่รอช้าที่จะนำมันไปทดสอบทันที
ครู่หนึ่งต่อจากนั้น ชายชุดดำก็กลับมาหาเย่เย่อีกครั้งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเลิ่กลั่ก “ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ ข้าต้องขอโทษด้วย เช่นนั้นแล้วข้าขอรับเจ้าสิ่งนี้ไปและถือว่าเราไม่มีอะไรติดค้างต่อกันก็แล้วกันนะ”
ตำราวิชาลับหลิงหยวนถูกส่งให้เย่เย่อีกครั้งแลกกับดาบสะบั้นกะโหลก และครั้งนี้เย่เย่ไม่ลังเลที่จะเก็บมันเข้าไปในแขนเสื้อแล้ว เขาผายมือให้ชายชุดดำก่อนจะกล่าวอวยพร “ขอให้เจ้าโชคดี ข้าหวังว่าจะได้ยินข่าวว่าโจวซงถูกเจ้าฆ่าได้ด้วยดาบเดียวนะ!”
ชายคนนั้นนิ่งสงัดไป แววตาที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นจ้องมองไปยังเย่เย่อยู่ลึกๆครู่หนึ่งก่อนจะโค้งให้และกล่าวคำลา
แต่เดิมแล้ว ในการที่จะปกปิดตัวตนของเขาเอง เขาเลือกที่จะใส่ผ้าคลุมไว้ตลอดเวลาที่อยู่กับเย่เย่ แต่ไม่คิดเลยว่าเย่เย่นั้นจะเดาได้ว่าเขาเป็นใครด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แบบนี้เขากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าสิ่งที่คาดการณ์เกี่ยวกับเย่เย่ไว้ก่อนหน้านั้นผิดทั้งหมดเลย
อย่างไรก็ตาม ตัดสินเอาจากสถานการณ์แล้ว เย่เย่เองก็ไม่ใช่ศัตรูกับพวกเขาแต่อย่างใด หรือบางทีในอนาคตทั้งเย่เย่และกลุ่มของชายชุดดำนี้อาจจะได้ร่วมมือกันก็ได้ หรือถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ชายชุดดำคงส่งพวกคนที่เก่งกาจกว่าเย่เย่มาจับตัวเย่เย่ยัดเกวียนแทนเมื่อสบโอกาส
เย่เย่มองชายชุดดำเดินจากไปด้วยสีหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความคาดหวัง
ไม่ว่าตัวจริงของเขาหรืออีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร เย่เย่ก็หวังว่าอีกฝ่ายคงจะช่วยเขาจำกัดวงพวกปราการหลิงหยวนได้ ในเมื่ออีกฝ่ายอยากจะใช้เขา เขาก็จะใช้คนพวกนั้นด้วย เย่เย่เชื่อมั่นว่าตราบใดก็ตามที่เขามีเวลาพอ ไม่เพียงแค่ปราการหลิงหยวน ต่อให้ทั้ง 5 ฝ่ายร่วมมือกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องยากหากจะรับมือ
หลังจากที่ชายชุดดำคนนั้นกลับไปแล้ว เย่เย่ก็ไม่ได้กลับไปฝึกฝนต่อในทันที แต่เลือกที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมาอีกครั้งเพื่อแลกเปลี่ยนยาบางสิ่งบางอย่างออกมาแล้วจึงเรียกซูฉีเจี่ยเข้ามาคุยเป็นการส่วนตัว
ซูฉีเจี่ยนั้นได้เข้ามาเป็นสมาชิกของหอการค้าหยูเย่ได้พักใหญ่ๆแล้ว เขานั้นเป็นคนซื่อตรงอุทิศชีวิตเพื่อทุ่มให้กับหน้าที่ของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงชื่นชมเย่เย่ที่กล้ายืนหยัดต่อหน้าปราการ หลิงหยวนเอาเสียมากๆ และนี่เองก็ถือเป็นอีก 1 เหตุผลที่ทำให้เขาเลือกที่จะเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่ด้วย
เมื่อครั้งที่เย่เย่มองเห็นความสามารถในตัวซูฉีเจี่ย เขาจึงตัดสินใจที่จะเรียกให้อีกฝ่ายเข้ามาช่วยงานที่หอการค้าของเขาและบอกไว้ว่าจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของซูฉีเจี่ยที่เรียกได้ว่าไม่มีวันหายให้
“เจ้าจำได้หรือเปล่าว่าข้าเคยพูดอะไรไว้เมื่อครั้งที่ชวนเจ้ามาเข้าร่วมกับหอการค้าของข้า? เพราะข้านั้นชอบสะสมของ หายาก ซึ่ง 1 ในนั้นก็รวมไปถึงยาวิเศษที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้ด้วย”
ครั้นเมื่อให้ซูฉีเจี่ยนั่งลงแล้ว เย่เย่คิดว่าหากพูดเรื่องนี้ออกไปแล้วซูฉีเจี่ยจะต้องมีความสุขมากๆแน่ๆ ทว่ากลับกัน เมื่อพูดไปแล้วอีกฝ่ายกลับดูนิ่งสงบเสียอย่างนั้น
“ข้าต้องขอบคุณจริงๆที่ท่านจำเรื่องอาการบาดเจ็บของข้าได้! แต่ข้านั้นบาดเจ็บเช่นนี้มานานแล้ว และข้าเองก็ค่อยยอมรับได้แล้วว่าความจริงของชีวิตนั้นคืออะไรจากก่อนหน้านี้ที่ข้าเอาแต่ท้อแท้มานับครั้งไม่ถ้วน หากจะบอกว่าข้าเกือบจะยอมรับตัวข้าที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ได้แล้วก็ไม่เชิงซะทีเดียว”
ตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่ เย่เย่นั้นก็ง่วนอยู่กับการฝึกฝนแทบตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดว่าสิ่งที่เย่เย่พูดนั้นจะหมายถึงมียาดีที่จะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้จริงๆ ซึ่งอันที่จริงต่อให้เย่เย่ทำตามที่พูดไม่ได้ตัวเขาก็ไม่กล้าที่จะตั้งความหวังด้วยเพราะกลัวว่าตนเองจะต้องตกไปอยู่ในห้วงแห่งความผิดหวังอีกครั้ง
เย่เย่พบว่าภายใต้ความสงบของใบหน้าซูฉีเจี่ยนั้น มันก็ยังคงแอบซ่อนความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ในส่วนลึกของหัวใจด้วย เพราะยังไงเสียเขาก็เพิ่งจะ 30 เท่านั้น แน่นอนว่าตลอดมาเขาไม่เคยคิดจะยอมแพ้ให้กับอนาคตง่ายๆ แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่บีบรัดให้เขาไม่สามารถไปต่อได้ มันทำให้ซูฉีเจี่ยนำสิ่งที่เรียกว่าความหวังฝังลงดินไปแล้วและไม่เคยพูดถึงมันกับคนอื่นๆอีก
“ถ้าไม่หนักหนาเกินไป ข้าขอถามได้ไหมว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บระดับนี้ได้อย่างไร?”
ที่ถามออกไปเช่นนั้นก็เพราะว่าตัวเย่เย่รู้สึกอยากรู้อยากเห็น ว่าเกิดอะไรขึ้น อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของผู้มีพรสวรรค์แห่งปราการหลิงหยวนถึงกับตกอับและถูกขับไล่ออกมาได้เช่นนี้
ได้ยินคำถามของเย่เย่แล้ว ซูฉีเจี่ยก็เผยให้เห็นแววตาเศร้าสร้อยอยู่ในดวงตาของเขา แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ต้องการจะซ่อนอะไร หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งเขาจึงค่อยๆพูดมันออกมาให้เย่เย่ฟัง “จริงๆแล้วนี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไรมากหรอกขอรับ หลายๆคนในหลิงเฉิงเองก็รู้ดี ในตอนนั้นข้านั้นรู้สึกพึงพอใจกับปราการ หลิงหยวนแล้ว และข้าคิดว่าหากยังคงอยู่ในหลิงเฉิงต่อไป ข้าอาจจะไม่สามารถก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้ ข้าก็เลยตัดสินใจเดินทางออกจากหลิงเฉิงเพื่อไปฝึกฝนเพิ่ม”
“แม้ตอนแรกๆมันจะเป็นไปด้วยดี แต่หลังจากนั้น ข้าก็พบว่าความสามารถของข้านั้นเทียบไม่ได้เลยกับคนอื่นๆในแผ่นดินฉางหลางแห่งนี้ ข้าได้เดินทางลึกเข้าไปในหุบเขา ตอนนั้นข้าเผอิญได้พบกับผลตันเซียที่คาดว่าน่าจะปรับปรุงจิตวิญญาณของข้าได้ ข้าเลยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและตื่นเต้นมากๆ ข้าคิดว่าข้าน่าจะหาหนทางที่นำพาความแข็งแกร่งของข้ามาได้และกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์อันโด่งดังไปทั่วแผ่นดินฉางหลางแล้วแท้ๆ”
พูดถึงตรงนี้ ซูฉีเจี่ยก็ทำสีหน้าเย้ยหยันตนเองและเริ่มพูดต่อ “แต่แล้วไม่รู้ด้วยผลกรรมอันใดของข้า หลังจากที่ข่าวคราวเรื่องผลไม้วิเศษนี่หลุดออกไป ชีวิตของข้าก็ต้องตกอยู่ในอันตราย เหล่าผู้มีความสามารถมากมายต่างมุ่งตรงมาหาข้า และ 1 ในนั้นก็มี ฉางกวนหยู ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ของนิกายคงหลิง คนคนนั้นได้ช่วงชิงผลตันเซียของข้าไปหลังจากที่ทำร้ายข้าแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะโชคดีที่รอดมาได้ก็จริง แต่การที่จะรักษาบาดแผลนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากเกินไปเมื่อมาถึงหลิงเฉิง ตั้งแต่วันนั้นวรยุทธ์ในกายข้าก็ไม่สามารถพัฒนาได้มากกว่านี้อีกเลย”
ซูฉีเจี่ยถอนหายใจอยู่นาน ดูเหมือนว่าการที่เขาถูกขับไล่จากปราการหลิงหยวนและเหยียดหยาม มันจะทำให้ตัวเขานั้นเกลียดชังฉางกวนยูเพิ่มมากขึ้นไปอีกแน่ๆ เขาเชื่อว่าการที่เขาต้องมาเป็นแบบนี้ก็เพราะอีกฝ่ายนั่นแหละ ดังนั้นแล้วหากมีโอกาส ซูฉีเจี่ยก็ยังคาดหวังว่าเขาจะล้างแค้นศัตรูคู่อาฆาตของเขาให้ได้ด้วยตนเอง
“ผลตันเซียงั้นเหรอ?”
ยามที่ได้ยินว่าซูฉีเจี่ยนั้นเคยเป็นเจ้าของผลตันเซียอันโด่งดังมาก่อน สีหน้าของเย่เย่ก็ดูอิจฉาขึ้นมาทันที
นั่นเพราะตัวเขาเองก็รู้ดีว่าผลตันเซียนั้นโด่งดั่งมากๆในแผ่นดินฉางหลิง การหาเจอแม้เพียงลูกเดียวนั่นก็ถือว่ามีค่าพอที่จะล่อให้คนเก่งๆทั้งหลายพากันมาดักปล้นผลตันเซียแบบนี้ ไม่มีใครไม่ชอบทางลัดหรอก
พูดง่ายๆเลยก็คือ คุณภาพของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำนั้นก็สามารถซึมซับหลังแห่งโลกและสวรรค์ได้เช่นกัน กระบวนการนี้ต้องใช้เวลาพักใหญ่ๆ แต่ทั้งนี้นั้น คุณภาพของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ยิ่งคุณภาพสูง ก็จะยิ่งดูดกลืนพลังแห่งโลกและสวรรค์ได้ดีและรวดเร็วกว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่คุณภาพต่ำ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ระดับสูงนั้น ก็ยังมีกลุ่มน้อยๆที่มีความแตกต่างออกไป ซึ่งกลุ่มที่แตกต่างออกไปนี้จะมีพลังพิเศษแฝงเร้นอยู่ภายใน พลังนั้นมีหลากหลายรูปแบบเริ่มตั้งแต่พลังที่ช่วยในการต่อสู้ หรือแม้แต่ทำให้จ้าววรยุทธ์คนนั้นๆสามารถชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าได้แม้ว่าตนเองจะอ่อนแอกว่า
ผลตันเซียวิเศษนี่เหมือนเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความจริงอีกทีหนึ่ง ซึ่งใครก็ตามที่กินมันลงไปแล้วจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาคนนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นอีกเป็นอย่างมาก ยิ่งในกรณีของผู้ที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว พวกเขาก็จะมีโอกาสที่จิตวิญญาณของเขาจะมีพลังพิเศษเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ผลตันเซียจึงกลายเป็นที่ล่อตาล่อใจของเหล่าผู้มีพรสวรรค์ให้แก่งแย่งเพื่อให้่ได้มันมาไว้ในครอบครอง
ความอิจฉาของเย่เย่แปรเปลี่ยนเป็นความชื่นชมในตนเอง เพราะจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของตัวเขานั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แบบพิเศษพวกนั้นเลย นั่นเพราะกระบวนท่างูสวรรค์ที่เขาได้ฝึกฝนไปนั้นช่วยเพิ่มความสามารถให้แก่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นั้นถือเป็น 1 ในกระบวนท่าที่สร้างคุณลักษณะพิเศษให้ ดังนั้นแล้วการที่ผิวของจิตวิญญาณแห่งอสรพิษในตัวเขาสามารถแสดงพลังกับผิวหนังของเย่เย่ได้นี่ก็คือเครื่องยืนยันว่า จิตวิญญาณแห่งอสรพิษของ เย่เย่ มีพลังพิเศษในด้านการป้องกันอยู่
แต่เป็นเพราะความเร็วในการพัฒนาของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในช่วงนี้มันค่อนข้างช้า จึงทำให้พลังป้องกันของเกล็ดอสรพิษในตัวเย่เย่ไม่ได้สูงขึ้นตามวรยุทธ์ในกายเขาเสียเท่าไหร่ เพราะงั้นแล้วเขาคงยังหวังพึ่งมันไม่ได้ในตอนนี้ หากแต่เป็นอนาคตล่ะก็เขาเชื่อว่าเกล็ดของอสรพิษนี้จะต้องแข็งแกร่งในระดับที่พลังของเกราะมังกรเมฆาไม่สามารถเทียบเท่าได้เลยก็ได้
เพราะฉะนั้นถ้าหากจะถามว่า สรุปแล้วเย่เย่ยังต้องการผลตันเซียอยู่ไหม คงต้องบอกว่า เย่เย่ไม่ได้สนใจสิ่งนั้นซักเท่าไหร่ หากแต่สนใจเกี่ยวกับฉางกวนหยู ผู้เป็นศิษย์จากนิกายคงหลิงที่ ซูฉีเจี่ยกล่าวถึงมากกว่า
ในฐานะที่เป็น 1 ใน 8 นิกายแห่งแผ่นดินราชวงศ์ ฉางหลาง ความยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลของนิกายคงหลิงนั้นเหนือกว่าปราการหลิงหยวนมากนัก และความสามารถของ ฉางกวนหยูที่สามารถเข้าเป็นศิษย์ในนิกายนี้ได้ก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ในตอนนี้เวลามันผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว เป็นไปได้ว่าความแข็งแกร่งของฉางกวนหยูนั้นคงจะอยู่เหนือจินตนาการไปอีกหลายเท่าตัวนัก นอกจากนั้นตัวฉางกวนหยูเองยังมีนิกายคงหลิงที่ยิ่งใหญ่เป็นด่านหลังให้อีก มันจึงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับซูฉีเจี่ยมากๆที่จะแก้แค้นอีกฝ่ายตอนนี้
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกผู้ชายเป็นลูกผู้ชายอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตดีกว่า หากเย่เย่เห็นว่าทักษะของซูฉีเจี่ยนั้นมีค่าที่จะฝึกฝนต่อในระดับสูง เขาก็ตั้งใจจะช่วยสมทบความพยายามของซูฉีเจี่ยให้ก้าวเข้าสู่การเป็นเทพยุทธ์อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ซูฉีเจี่ยไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ด้วยตนเอง เขาก็ไม่คิดมากอยู่แล้วหากจะต้องช่วยฆ่าฉางกวนหยูแห่งนิกายคงหลิงให้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของซูฉีเจี่ยในอนาคตก่อน
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของซูฉีเจี่ย เย่เย่ก็เลิกอยากรู้อยากเห็นเรื่องนี้และหยิบเอา ยาสลายแผลกาย ที่เขาเพิ่งแลกไว้ออกมาทันที
“นี่คือยาสลายแผลกาย ว่ากันว่ามันสามารถรักษาบาดแผลได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะงั้นเจ้ากินมันเข้าไปซะ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นยาที่ราคาสูงถึง 502 เหรียญจักรวาลก็จริง แต่เย่เย่นั้นไม่เคยลิ้มลองมันมาก่อนหรอกนะ เพราะฉะนั้นแล้วเขาจึงให้ซูฉีเจี่ยเป็นคนลองมันด้วยตนเอง กระนั้นแล้วเขาก็มั่นใจว่าทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ซึ่งในขณะเดียวกันทางฝั่งซูฉีเจี่ยก็ตกตะลึงกับสิ่งนี้ไปเลย
“ท่านเย่ นี่มัน…”
ที่ซูฉีเจี่ยตกใจขนาดนี้นั่นก็เพราะเขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะมารักษาอาการบาดเจ็บนี้ของเขาเลย
แต่ด้วยความเข้าใจในเย่เย่ของตัวเขาเอง คนอย่างเย่เย่ไม่เคยหลอกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นแววตาของซูฉีเจี่ยเองก็เริ่มเกิดความร้อนรุ่มขณะที่มองไปยังยาเม็ดนี้เสียแล้ว
“ลองมันดู ระหว่างนั้นข้าจะคอยปกป้องเจ้าให้เอง”
เย่เย่ส่งยาสลายแผลกายให้แก่ซูฉีเจี่ยและให้เขานั่งขัดสมาธิเพื่อเตรียมรักษาอาการบาดเจ็บที่คาราคาซังมานานหลายปีในระหว่างที่ตัวเย่เย่ก็จะคอยดูแลไม่ให้เกิดความผิดพลาดด้วย