บทที่ 62
เชื้อเชิญ
ไม่ว่าเซียงเฉิงหลงจะคิดหนีขนาดไหน แต่ยังไงเสียเย่เย่ก็เร็วกว่าเขาอยู่มาก เพราะงั้นถึงเขาไม่วิ่งออกไป เย่เย่ก็ง้างเท้าถีบเขากระเด็นออกนอกหอการค้าไปอยู่ดี
*ผั้วะ!*
ถึงแม้ว่าเซียงเฉิงหลงนั้นจะมาจากสำนักนิกายเพลิงสวรรค์และเป็นเทพยุทธ์ไปแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เย่ เขานั้นก็ทำอะไรไม่ได้เลย ร่างของเขากระเด็นลอยออกมาจากหอการค้าจนกระทั่งไปนอนแผละอยู่บนถนนที่หอการค้าแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่
“เย่เย่! เจ้าจะต้องเสียใจกับเรื่องในวันนี้! เจ้าจะต้องเสียใจแน่ๆ!”
หลังจากที่เซียงเฉิงหลงลุกขึ้นมาจากพื้นได้ เขาก็มองไปยังเย่เย่ที่อยู่ในหอการค้าพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราดและจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
เขาไม่เคยต้องอับอายขายขี้หน้าเท่าครั้งนี้มาก่อน ดังนั้นแล้วเขาจึงรีบหนีให้ไกลห่างผู้คนไปในทันทีราวกับว่าไม่อยากให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือหอการค้าอื่นๆรอบข้างได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ทั้งสิ้น
ในทันทีที่เซียงเฉิงหลงลับสายตาไป เสียงปรบมือก็ดังขึ้นมาจากภายในหอการค้าหยูเย่ ซึ่งพอเย่เย่หันกลับไปมอง เสียงนั้นไม่ได้มาจากเสี่ยวหยูหรือซูฉีเจี่ยแต่อย่างใด หากแต่เป็นชายแก่คนหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
แววตาของเย่เย่นั้นเหมือนจะนึกอะไรออกบางอย่างถึงเรื่องที่เสี่ยวหยูเคยบอกตนเอาไว้ว่ามีชายชราไร้ชื่อเข้ามาพำนักพักอาศัยอยู่ในร้านเป็นครั้งคราว
แม้ในใจของเย่เย่นั้นจะสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของชายชราคนนี้ แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งสงบดังเดิม
“ไม่เกรงกลัวแม้จะต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ยึดมั่นในหัวใจที่เด็ดเดี่ยว! ช่างเป็นความสามารถที่หาได้ยากในคนหนุ่มคนแน่นจริงๆ ดูเหมือนว่าการที่ข้ามาอยู่ที่นี่จะไม่สูญเปล่าไปเสียทีเดียวสินะ”
ชายชราคนนี้ดูโทรมก็จริง กระนั้นเขากลับไม่สกปรกแต่อย่างใดแล้วไหนจะคำพูดที่ฟังดูไพเราะเสนาะหูเห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่คนจรจัดดั่งรูปลักษณ์ของเขา
“ท่านก็ยกย่องข้าเกินไป ข้าแค่ไม่ชอบคุยกับคนที่วางท่าใหญ่ใจโตกับข้าก็เท่านั้น”
เย่เย่ยิ้มน้อยๆ เขาไม่เพียงแค่ตอบรับคำเยินยอของชายชราหากแต่พูดเล่นสำนวนกลับไปเพื่อให้ดูว่าเขานั้นเป็นคนใจเย็นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
หลังจากที่ได้ยินเย่เย่ตอบกลับ ชายชราไร้นามก็เข้าใจได้ว่าเย่เย่ต้องการจะสื่อถึงอะไร เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เป็นคนหนุ่มที่ฮึกเหิมเหลือเกินนะ แต่ข้าก็ชื่นชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เวลาแบบนี้คงไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงให้คนคนนั้นเห็นถึง “สิ่งนั้น” สินะ”
“ขอบคุณที่ท่านเข้าใจ”
เย่เย่ผายมือให้แก่อีกฝ่ายด้วยท่าทีที่ไม่ได้ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองแต่อย่างใด เขานั้นไม่ได้หงุดหงิดหรือเกลียดชังอีกฝ่ายที่พูดเช่นนั้นก็เพราะท่าทีของอีกฝ่ายเองนั่นแหละ
“เจ้าไม่ประหลาดใจหน่อยหรือว่าข้าเป็นใคร?”
ชายชราไร้นามรอเวลาอยู่เนิ่นนาน เขาคิดว่าเย่เย่นั้นจะอยากรู้เสียอีกว่าเขาเป็นใคร
แต่นี่มันผิดคาดมากๆที่เย่เย่ดูจะไม่สนใจถามเลยว่าเขาเป็นใคร แถมยังหันหน้าออกไปเพื่อจะกลับไปยังสวนด้านหลังและฝึกวรยุทธ์ของเขาต่อด้วย ราวกับจะไม่เปิดโอกาสให้ชายชราผู้นี้ได้มีบทบาทในชีวิตเสียหน่อยเลย
ด้วยเหตุนี้เมื่อตอนที่เขาตะโกนถามเย่เย่เป็นครั้งสุดท้ายนั้นมันจึงแฝงไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะหลายปีมานี้ ไม่มีใครในหลิงเฉิงที่กล้าดูถูกเขาถึงเพียงนี้ เย่เย่เป็นคนแรกเลยที่ทำให้เขาต้องรู้สึกเสียหน้าแบบนี้
“เมื่อเวลามาถึง คนเฒ่าคนแก่เขาก็พูดกันเองนั่นแหละ ตามประสาคนที่อายุเหลือน้อยล่ะนะ ข้าไม่บังคับหรอก”
เย่เย่หยุดเท้าและหันกลับมาตอบชายชราด้วยท่าทีไร้เดียงสา เมื่อได้เห็นดังนั้นชายชราก็ทำได้แค่เพียงกลืนคำพูดต่อว่าอีกฝ่ายและเก็บมันไว้ในใจ ตัวเขาน่ะไม่กล้ามีปัญหากับเย่เย่หรอก
“แค่ก! ข้าคือ เฉินอี้ตัน ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอการค้าตันเซียง เพราะข้าค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจในตัวเจ้า ข้าจึงปลอมตัวมา ณ ที่แห่งนี้”
เฉินอี้ตันเปิดเผยตัวตนของเขาเองแล้ว จากนั้นเขาก็หยิบขวดยาออกมาจากแขนเสื้อของเขาพร้อมกับเทเม็ดยาที่อยู่ในมือออกมาส่งให้เย่เย่ สีหน้าของเขาดูเป็นกังวลและน้ำเสียงที่ถามก็ฟังดูจริงจังอีกด้วย “ยาที่ทรงพลังขนาดนี้ข้าได้มันมาจากหอการค้าหยูเย่ของเจ้า ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าเป็นคนสกัดยานี่ด้วยตนเองหรือไม่?”
เมื่อถามออกไปแล้วเฉินอี้ตันก็จ้องเขม็งไปยังเย่เย่ด้วยความกังวลที่ดูไม่คลายลงเลย ราวกับกำลังคาดหวังในคำตอบของเขาอยู่ นั่นเพราะระดับการเล่นแร่แปรธาตุของเฉินอี้ตันนั้นสูงกว่าของเฒ่าซุนผู้ที่วนเวียนอยู่ในหอการค้าชิงเฟิง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เฉินอี้ตันจะรู้ถึงสรรพคุณและมูลค่าของยานี้มากกว่าเฒ่าซุน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงค่อนข้างกังวลว่าใครเป็นผู้สกัดยาเหล่านี้
การที่เฉินอี้ตันนั้นแฝงตัวอยู่ในหอการค้าหยูเย่แห่งนี้มาหลายวัน มันทำให้เขาเข้าใจในตัวเสี่ยวหยูและซูฉีเจี่ยเกือบจะทั้งหมด ทว่ามีเพียงเย่เย่เท่านั้นที่เขายังไม่เข้าใจเลย เพราะงั้นแล้ว เขาจึงค่อนข้างสงสัยว่าเย่เย่นั้นจะเป็นผู้สร้างยาเหล่านี้ด้วยตนเองหรือเปล่า
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะคิดไว้อยู่แล้วว่าชายชราคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่เมื่อได้ยินกับหูตนเองเขาก็ยังต้องรู้สึกตกใจอยู่นิดๆหน่อย นั่นเพราะหอการค้าตันเซียงเองก็เป็น 1 ใน 5 กำลังที่แข็งแกร่งในหลิงเฉิง ซึ่งแตกต่างจากฝ่ายอื่นๆอยู่มาก หอการค้าแห่งนี้ไม่มีเจ้าของตายตัวเพราะที่แห่งนี้อยู่ได้ด้วยการร่วมมือกันของเหล่าผู้อาวุโสผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านการเล่นแร่แปรธาตุกันทั้งหมด
ดังนั้นแล้วตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดภายในหอการค้าตันเซียงนั้นจึงถือว่าเป็นผู้ที่มีความเคารพสูงสุดในหมู่นักเล่นแร่แปรธาตุภายในหอการค้าแล้ว เช่นนั้นถึงจะไม่ใช่เจ้าของแต่ตำแหน่งก็ไม่ต่างกันกับการเป็นเจ้าของเสียเท่าไหร่ ซึ่งในวันนี้ที่เฉินอี้ตันผู้เป็นใหญ่แห่งหอการค้าตันเซียงมายังหอการค้าหยูเย่แห่งนี้ก็เพราะต้องการหาผู้ที่สกัดยาที่เขานำมาด้วยนั่นแหละ
เย่เย่มองไปยังสีหน้าที่เคร่งเครียดของเฉินอี้ตันแล้วเขาก็พอจะเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้ อย่างไรก็ตามเย่เย่ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นเจ้าของยาแต่อย่างใดพร้อมทั้งถามเฉินอี้ตันกลับด้วย “แล้วมันมีปัญหาหรืออย่างไร? ข้ายืนยันได้ด้วยชื่อเสียงของหอการค้าหยูเย่เลยว่าพวกมันไม่เคยมีปัญหา รวมถึงคุณภาพของมันก็อยู่ในระดับสูงด้วย”
“เจ้าจะขึ้นเสียงไปทำไมน่ะ? นี่เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกวายร้ายที่มาหวังขู่กรรโชกทรัพย์จากหอการค้าของเจ้าหรือไร?”
ฟังจากที่เย่เย่พูดแล้วเฉินอี้ตันก็รีบแสดงความบริสุทธิ์ใจของเขา ถึงแม้จะรู้สึกกดดันเล็กน้อยเมื่อเย่เย่ยอมรับว่าเป็นผู้ที่สกัดยานี่ขึ้นมาด้วยตนเอง กระนั้นแล้วเฉินอี้ตันก็ยังรู้สึกตื่นเต้นมากๆอยู่ดี
“แม้ว่ายาพวกนี้จะดูเหมือนทั่วๆไป หากแต่กรรมมาวิธีในการสกัดนั้นลึกล้ำกว่ามากๆ และนั่นจึงทำให้คุณภาพของมันสูงกว่ายาตัวอื่นๆในหมวดเดียวกัน เจ้าสกัดมันได้อย่างไรกัน?”
แววตาที่มองไปยังเม็ดยาของเฉินอี้ตันนั้นแฝงไปด้วยความหลงใหล ราวกับว่ากำลังชื่นชมงานศิลปะอยู่ แม้ตัวเขาจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เฉินอี้ตันนั้นก็ยอมรับกลายๆแล้วว่าแม้แต่เขาก็มิอาจจะสกัดยาระดับสูงเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่คำถามนั้นหลุดออกมา เฉินอี้ตันก็ตระหนักได้ว่าเขาเพิ่งจะถามคำถามที่ไม่สมควรถามออกมาเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงโบกมือก่อนจะพูดกับเย่เย่ “ข้าขอโทษ ข้าอาจจะตื่นเต้นมากไปหน่อยเลยเผลอถามมันออกไป ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีอย่างไรในการสกัดยาเหล่านี้ ในความคิดเห็นของข้า พวกมันวิเศษมากๆ เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าเจ้ามีความสามารถในการแปรธาตุระดับฟ้าประทานมากๆ หากเจ้ามองข้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง ข้าสามารถสอนเจ้าเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆในด้านการเล่นแร่แปรธาตุที่ข้าสั่งสมมาและทำให้เจ้ากลายเป็นจ้าวแห่งศาสตร์แปรธาตุได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นนะ!”
หลังจากพูดจบเฉินอี้ตันก็มองเย่เย่ด้วยแววตาที่มั่นใจแบบสุดๆ เขานั้นรอเพียงแค่เย่เย่บอกจะเข้าร่วมกับหอการค้าตันเซียงในฐานะศิษย์ของเขาเท่านั้น
ตัวเขานั้นเชื่อว่าเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุแต่ละคนนั้นมีความอยากรู้อยากเห็นในศาสตร์ของตนไม่น้อยไปกว่ากันเสียเท่าไหร่หรอก และเขายิ่งมั่นใจมากขึ้นอีกว่าในเหล่านักเล่นแร่ระดับสูงนั้นยิ่งมีความต้องการที่จะเรียนรู้เพิ่มมากกว่าระดับต่ำอย่างแน่นอน หากมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้เพิ่มก็จะไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปแน่ๆดังเช่นตัวเขาที่เป็นผู้อาวุโสระดับสูงของหอการค้าตันเซียงแห่งนี้ เขายอมรับว่าตนเองนั้นเป็นลำดับที่ 2 ของหลิงเฉิงและตัดสินใจจะยกลำดับที่ 1 ให้แก่เย่เย่ตราบใดก็ตามที่เขายอมตกลง
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้เย่เย่กำลังมีเรื่องบาดหมางกับปราการหลิงหยวนอยู่ด้วย ดังนั้นเขาจำเป็นต้องสร้างกำลังรบของตนให้ได้เร็วและมากที่สุด และแม้ว่ากำลังของหอการค้าตันเซียงจะไม่ได้แข็งแกร่งเทียบเท่าปราการหลิงหยวนหรือประตูเพลิงสวรรค์ แต่ที่แห่งนี้ก็มีพันธไมตรีอันดีกับอีกหลายฝ่ายในหลิงเฉิงเพราะการค้าขายยาให้อยู่ตลอด เพราะงั้นต่อให้เป็นปราการ หลิงหยวนเอง ถ้าหากจะจัดการกับหอการค้าตันเซียงก็คงต้องคิดทบทวนอีกหลายๆครั้งถึงปัญหาที่จะเกิดหากลงมือทำไปแล้ว
ดังนั้นแม้จะเห็นว่าเย่เย่เพิ่งเตะเซียงเฉิงหลงผู้เป็นตัวแทนจากนิกายเพลิงสวรรค์ไป แต่เฉินอี้ตันก็ยังคงมั่นใจมากๆว่าเย่เย่นั้นมีโอกาสที่จะปฏิเสธตนน้อยมากๆ
แต่ช่างโชคร้าย ที่สุดท้ายคำตอบก็ยังคงเป็นปฏิเสธดังเดิม
“ความมีน้ำใจของท่านนั้นช่างทราบซึ้งใจข้าจริงๆ แต่ข้าคงต้องขอโทษด้วยเพราะข้านั้นไม่ได้สนใจจะเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจริงๆ ในตอนนี้ข้าเพียงแค่ต้องการขยายกิจการของหอการค้าของข้าและทำสิ่งต่างๆที่ข้าวางแผนไว้ให้สำเร็จเพียงเท่านั้น ดังนั้นแล้วท่านผู้อาวุโสเฉิน ได้โปรดกลับไปเถิด”
เย่เย่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อมั่นใจแล้วเขาจึงปฏิเสธคำเชิญของเฉินอี้ตันอีกเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะแลกเปลี่ยนยาวิเศษทั้งหลายออกมาจากระบบและขายมัน แต่ตัวเขาก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุเลย หากเข้าร่วมกับหอการค้าตันเซียงแล้วดีไม่ดีจะถูกสงสัยเอา
สอง จุดประสงค์ที่เย่เย่ก่อตั้งหอการค้าแห่งนี้ขึ้นมานั้นก็ไม่ใช่แค่เพียงสนองความต้องการให้ระบบแลกเปลี่ยนเท่านั้น แต่ยังเพื่อผลักดันให้หอการค้าหยูเย่ของตนนั้นใหญ่เทียบเท่า 1 ใน 5 ฝ่ายของหลิงเฉิงด้วย เพราะฉะนั้นหากเข้าร่วมกับหอการค้าตันเซียงในตอนนี้ มันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากในภายหลังเสียมากกว่า เย่เย่จึงจำเป็นต้องปฏิเสธความหวังดีนี้ไปก่อน
เมื่อได้ยินคำตอบของเย่เย่แล้ว เฉินอี้ตันก็ดูจะหนักอกหนักใจอยู่ เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเย่เย่ถึงปฏิเสธเขาเช่นนี้
“เหตุใดทำไมเจ้าถึงมองว่าการทำธุรกิจสำคัญกว่าการร่ำเรียนศาสตร์แปรธาตุกัน? เจ้าจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลไปเพื่ออะไรหากท้ายสุดแล้วเจ้าก็รับมือศัตรูของเจ้าไม่ได้? เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ดับอนาคตของตนเองด้วยสิ่งเล็กๆหรอกนะ”
เฉินอี้ตันยังคงไม่ยอมแพ้ เขาพยายามที่จะโน้มน้าวเย่เย่อีกครั้ง ซึ่งในขณะเดียวกันเขาก็ไม่สามารถยอมรับได้ถึงการโดนปฏิเสธครั้งแรกหลังจากที่เขาเป็นคนเอ่ยปากเชิญชวนเองด้วย
กระนั้นแล้วเย่เย่ก็ยังคงปฏิเสธดังเดิมแถมยังใช้ถ้อยคำปฏิเสธที่สวยหรูเพื่อถนอมน้ำใจเฉินอี้ตันไปด้วย
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถรับมือคนจากปราการ หลิงหยวนทั้งหมดได้ด้วยตัวเจ้าเองคนเดียวงั้นหรือ? เหตุผลที่เจ้าและหอการค้าหยูเย่ของเจ้ายังคงปลอดภัยได้นั่นก็เพราะผู้ปกครองแห่งปราการหลิงหยวนนั้นยังไม่มีเวลามาจัดการกับเจ้าหรอกนะ นี่น่ะมันใกล้ที่จะถึงเวลาจัดงานชุมนุมหลิงหยวนเข้ามาทุกที แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่งานทุกอย่างเสร็จสิ้น โจวซง ผู้ปกครองแห่งปราการหลิงหยวนไม่เก็บเจ้าไว้แน่ๆ เช่นนั้นแล้วเจ้ายังคิดว่าตนเองต้านทานเขาได้หรืออย่างไร?”
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอการค้าตันเซียง เฉินอี้ตันรู้เรื่องภายในฝ่ายอื่นๆมากกว่าใครทั้งสิ้น เมื่อเขาเห็นว่าเย่เย่นั้นดื้อกว่าที่เขาคิดเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปิดเผยความลับที่แท้จริงบางอย่างแก่เย่เย่โดยหวังว่าเย่เย่จะเข้าใจถึงสถานการณ์ที่อันตรายที่เขาต้องเผชิญอยู่
ชัดเจนว่าสีหน้าของเย่เย่นั้นดูจะหนักใจขึ้นมาหลังได้ยินเช่นนั้น แววตาของเขาเห็นได้ชัดว่ากำลังครุ่นคิดตามสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวอยู่ ทว่าอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่กลับคำและยังปฏิเสธเฉินอี้ตันดังเดิม นอกจากนั้นเขายังกล่าวกับชายชราผู้นี้ด้วยความหนักแน่นอีกด้วย “ขอบคุณสำหรับรายละเอียดเรื่องนี้มากๆ ข้าจะคอยระมัดระวังให้ดี วางใจข้าได้เลย”
ได้ยินเช่นนั้นเฉินอี้ตันก็พูดอะไรไม่ออกจริงๆ เขาพยายามครุ่นคิดว่าเย่เย่จะเอาความแข็งแกร่งมาจากไหนเพื่อรับมือเรื่องเหล่านี้ ซึ่งในสายตาเขานั้นเย่เย่เป็นพวกที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะโน้มน้าวเย่เย่ด้วยคำพูดคำจาเช่นนี้
ดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจจากไปก่อนแล้วค่อยปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อเย่เย่เจอปัญหา หลังจากที่ปกป้องเย่เย่ไว้่ได้เขาค่อยสั่งสอนว่าลูกผู้ชายเขาทำตัวอย่างไรกัน
เย่เย่มองไล่หลังเฉินอี้ตันที่เดินจากไป และนำเรื่องที่อีกฝ่ายเพิ่งจะบอกเขากลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง
“หลังจากงานชุมนุมหลิงหยวนงั้นสินะ”
ภายในหัวของเย่เย่ตอนนี้ ความเป็นไปได้ที่เฉินอี้ตันจะหลอกเขานั้นน้อยมากๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโจวซงเลยก็จริง แต่เขาก็คิดว่านี่น่ะเป็นโอกาสของเขาแล้ว
จริงๆแล้วปราการหลิงหยวนน่ะมีศัตรูอยู่มากมายทั่ว หลิงหยวนตลอดหลายปีมานี้ แต่เพราะพวกเขาเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ ศัตรูส่วนใหญ่จึงทำได้แค่กลืนความโกรธเหล่านั้นให้สลายไปเอง โดยเฉพาะช่วงก่อนและหลังจะจัดงานชุมนุม หลิงหยวนประจำปี เกือบทั่วทั้งหลิงเฉิงจะอยู่ภายใต้การควบคุมของปราการหลิงหยวนทั้งหมด และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะกล้ามาทำลายศักดิ์ศรีของปราการหลิงหยวนในช่วงนี้