บทที่ 66
ขายของ
“เมื่อครั้งล่าสุดที่เจ้าฆ่าศิษย์ของปราการหลิงหยวนด้วยหินอักขระแปลกๆนั่น หลายๆคนต่างก็กังวลเกี่ยวกับเจ้าอย่างจริงๆ วันนี้แหละ ข้าจะสอนให้เจ้ารู้เองว่าความแข็งแกร่งของตนเองนั้นถือเป็นพลังที่แท้จริง! อย่างอื่นมันก็แค่ของหยุมหยิม!”
ระหว่างที่พูด หงกวนเต๋าก็ค่อยๆเดินเข้าหาเย่เย่ด้วย หลังจากที่กรรมการข้างสนามประกาศให้เริ่มการประลองแล้ว เขาก็เปิดฉากโจมตีเย่เย่ก่อนด้วยหมัดอันทรงพลังจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วเลย
*ครืน!*
แรงลมมหาศาลเกิดขึ้นหลังจากที่หมัดเข้าแหวกห้วงอากาศเตรียมเข้าปะทะกับเป้าหมาย มันพัดพาเอาฝุ่นควันในสนามประลองให้ลอยขึ้นมาในอากาศกันหมด ด้วยสิ่งนี้มันเลยทำให้สีหน้าของเสี่ยวหยูที่ยืนดูอยู่ข้างสนามเริ่มจะเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เย่เย่นั้นไม่ได้ขยับไปไหนหรือไม่แม้แต่จะเตรียมรับมือ นั่นจึงทำให้หงกวงเต๋ามั่นใจในหมัดของตนมากกว่าเดิมเสียอีก
*ตึง!*
หงกวงเต๋าแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมาเพราะคิดว่าเย่เย่นั้นจะต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ๆหากไม่ตาย ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็นเย่เย่ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ แถมยังไม่ขยับไปไหนแม้แต่น้อยเลยด้วย หงกวงเต๋างงงวยเป็นอย่างมาก เพราะเขามั่นใจว่าเขาต่อยโดนอีกฝ่ายจริงๆ
เพราะความเร็วของเย่เย่นั้นไม่ได้เร็วเท่าหงกวงตง เย่เย่จึงตัดสินใจที่จะไม่หลบการโจมดีนี้ เขารู้ดีว่าต่อให้เขายังไม่ขายรองเท้าเทพวายุไป ยังไงเสียความเร็วของเขาก็อาจจะมากกว่าอีกฝ่ายนิดหน่อยเท่านั้น เพราะหงกวงเต๋านั้นอยู่ในระดับสุดยอดของเทพยุทธ์แล้ว ความเร็วของเขาจึงมีมากขนาดนี้ ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงตัดสินใจที่จะลืมเรื่องหลบไปและมั่นใจกับพลังป้องกันของเกราะมังกรเมฆาแทน
เกราะมังกรเมฆานั้นถือเป็นเกราะระดับสูงที่สุดในระดับเทพยุทธ์ ถึงแม้ว่ามันจะแพงมากๆ แต่เมื่อแลกมาด้วยพลังป้องกันที่สูงลิ่วนั้นถือว่าคุ้มค่า เช่นนั้นแล้วการโจมตีทุกอย่างของหงกวงเต๋าจึงไม่สามารถทำอะไรเย่เย่ได้เลย หนำซ้ำมันยังทำให้อีกฝ่ายเสียความมั่นใจในตนเองไปด้วย
เย่เย่ถือโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังเสียความมั่นใจในตนเองนั้นโต้กลับด้วยการเตะเข้าไปอย่างแม่นยำ
*ผั้วะ!*
ฝ่าเท้าของเย่เย่ยันเข้าไปกลางอกของหงกวงเต๋าจนเขาหงายหลังลงไปก่อนที่จะก้มลงไปจับข้อเท้าของอีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงออกไปอีกครั้ง
*ตึง!*
ใบหน้าของหงกวงเต๋าจมลงไปบนพื้นจนเลือดกำเดาไหลทะลักออกมาเป็นที่น่าอับอายสุดๆ
“เยี่ยมยอดไปเลย!”
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกันน่ะ?!”
“เย่เย่ ลุยเลย พวกข้ามาให้กำลังใจเจ้านะ!”
รอบๆสนามประลองนั้น ผู้คนมากมาย ในส่วนของผู้ที่มาให้กำลังใจเย่เย่ต่างก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นและดีใจกันถ้วนหน้า ทว่าทางฝั่งผู้ที่มาสนับสนุนหงกวงเต๋ากลับต้องอับอายกันแบบสุดๆ พวกเขามองไปยังฝั่งที่กำลังดีอกดีใจราวกับว่าคนดูกำลังจะเข้าห้ำหั่นกันเองแล้ว
พวกเขาเหล่านี้ต่างคิดว่าหงกวงเต๋านั้นน่าจะสามารถชนะเย่เย่ได้ง่ายๆ แต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าเย่เย่จะเลือกใช้ตัวรับหมัดโดยไม่ได้เกรงกลัวการโจมตีของหงกวงเต๋าเลย การคาดเดาก่อนหน้านั้นผิดกันระนาว และด้วยการต่อสู้ที่คาดเดาไม่ได้นี้ มันเลยทำให้รอบๆสนามประลองไม่มีใครที่จะเดินถอยออกไปดูสนามประลองอื่นเลย
ถึงแม้ว่าเสี่ยวหยูจะไม่ได้พูดอะไรเพราะเสียงรอบข้างดังกว่า กระนั้นนางก็เต็มไปด้วยความโล่งใจและปลาบปลื้มใจสุดๆที่เห็นว่าเย่เย่สามารถมีชัยเหนือในการประลองครั้งนี้ได้
ก่อนหน้านี้เย่เย่นั้นยังเป็นคนอ่อ่นแอที่มักจะโดนคนอื่นเหยียดหยามอยู่เสมอ แต่นี่ไม่ถึงครึ่งปี เขาก็กลับกลายเป็นคนที่มาเขย่าโลกทั้งใบได้ระดับนี้ ถ้าหากเสี่ยวหยูนั้นไม่ได้ติดตาม เย่เย่มาเป็นเวลานานแล้วเพิ่งมาเห็นตอนนี้ นางคงต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าชายผู้ยืนหยัดประดุจอวตารพระเจ้าบนลานประลองนั้นคือนายน้อยของนางเอง
“ไปตายซะเย่เย่!”
ตั้งแต่ที่ก้าวขึ้นมาสู่ระดับจุดสูงสุดของเทพยุทธ์ หงกวงเต๋ายังไม่เคยต้องพบกับผิดพลาดมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงความพ่ายแพ้เลย ดังนั้นเมื่อเขาลุกขึ้นมาได้ เขาก็รีบพุ่งเข้าใส่ เย่เย่อย่างบ้าคลั่งและแสดงให้เห็นถึงกระบวนท่าอันเลื่องชื่อของเขาออกมาเป็นครั้งแรก
ในขณะที่หมัดของหงกวงเต๋ายังคงถูกปล่อยออกมาเรื่อยๆ ผู้คนที่คอยรับชมต่างก็เริ่มรู้สึกได้ยินเสียงของคลื่นน้ำที่ซัดเข้าชายฝั่งมาเรื่อยๆ พร้อมกับสีหน้าที่ดูจะกดดันขึ้นมา
“เห็นหรือยังล่ะ? นี่แหละกระบวนท่าของฉัน!”
การโจมตีของหงกวงเต๋านั้นเคลื่อนไหวหนักหน่วงและลื่นไหลราวกับเกลียวคลื่นในสมุทร ความรุนแรงของมันนั้นราวกับจะพังทลายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าให้มลายสิ้นได้เลย และเพียงชั่วพริบตา หมัดของหงกวงเต๋านั้นก็พุ่งเข้าปะทะกลางอกเย่เย่เสียแล้ว
ทว่าเย่เย่เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทันทีที่เห็นว่าหมัดของหงกวงเต๋าเข้าใกล้ตน เขาก็กระตุ้นเกราะมังกรเมฆาให้แสดงผลพร้อมที่จะโต้กลับโดยไร้ความหวาดกลัว
*ตู้ม!*
เสียงคำรามของการโจมตีกู่ก้องไปทั่วสนามประลอง ประดุจดั่งมวลน้ำขนาดยักษ์ที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นดินด้วยความสูงพอๆกับดวงดาวที่ดิ่งลงมาจากนอกโลก ผู้เข้าชมทุกคนล้วนแต่หวาดกลัวขณะมองไปยังเย่เย่ที่อยู่บนลานประลอง ทั้งๆที่การโจมตีเมื่อครู่นั้นน่าจะรุนแรงพอที่จะทำให้เย่เย่หมอบไปคาเวทีได้เลย แต่นี่พวกเขากลับยังเห็นเย่เย่ยืนหยัดได้ดังเดิม
นอกจากนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องหน้าซีดเซียวกันมากขึ้นไปอีกเมื่อเย่เย่นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อครู่แม้แต่น้อย
“ตาข้าบ้างแล้วสินะ?”
หงกวงเต๋านั้นใช้พลังทั้งหมดที่มีให้กับเพลงหมัดธารน้ำเชี่ยวแห่งบูรพาไปแล้ว ดังนั้นในตอนนี้พลังเขาจึงแทบจะไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น เย่เย่เองเมื่อเห็นว่านี่เป็นโอกาสเขาก็ยกฝ่ามือขึ้นและเริ่มพุ่งเข้าปะทะกับอีกฝ่ายทั้งหน้าและหลังอย่างรวดเร็ว
“ฝ่ามือคลื่นพิโรธ!”
เขาใช้จังหวะที่หงกวงเต๋ายังไม่ได้ปรับสภาพร่างกายให้พร้อม ระดมฝ่ามือเข้าปะทะราวกับเป็นคลื่นน้ำอีกรูปแบบหนึ่งที่รุนแรงกว่าธารน้ำเชี่ยวแห่งบูรพาของหงกวงเต๋าเสียอีก
“ท-ทั้งๆที่เป็นกระบวนท่าธาตุน้ำเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำไมกระบวนท่าของเจ้าถึงได้แข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก?!”
ด้วยความที่หงกวงเต๋าไม่สามารถรับมือกับการโต้กลับครั้งนี้ของเย่เย่ เขานั้นตกใจและไม่รู้เลยว่าจะป้องกันได้อย่างไร โอกาสในการโต้กลับมันน้อยลงไปทุกทีๆจนกระทั่งท้ายสุดเขาก็ไม่เหลือสภาพพร้อมพอที่จะสู้กับเย่เย่ต่อ
“ถ้าข้าถามความลับของกระบวนท่าของเจ้า เจ้าจะบอกข้าหรือไง?”
เย่เย่พูดกับหงกวงเต๋าด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่และตอบเป็นเชิงนัยๆว่าเขาไม่บอกก่อนจะเลิกสนใจอีกฝ่ายหลังจากที่รู้แล้วว่าใครเป็นคนแพ้ กรรมการที่ดูแลลานประลองที่ 5 ของเย่เย่เดินขึ้นมากลางสนาม และประกาศผู้ชนะอย่างเป็นทางการสร้างเสียงกู่ร้องด้วยความตื่นเต้นของคนรอบข้างได้อย่างดี
ทว่าเย่เย่ก็ยังคงอยู่ในความใจเย็นดังเดิม ไม่ได้หวั่นไหวไปกับชัยชนะครั้งนี้แต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าเมื่อครู่นี้จะเป็นฝ่ามือคลื่นพิโรธในระดับเล็กน้อยแบบที่เคยใช้มาครั้งก่อนๆ แต่เพราะเย่เย่นั้นเข้าใจถึงโครงสร้างต่างๆของวิชานี้จนถี่ถ้วนแล้ว ดังนั้นแม้จะเป็นระดับเล็ก แต่ความแข็งแกร่งมันก็สูงกว่าแต่ก่อนมากๆ
ตัวเขานั้นวางแผนจะใช้พลังป้องกันของเกราะมังกรเมฆาเป็นไม้ต่อเพื่อเก็บพลังไว้ใส่กับฝ่ามือคลื่นพิโรธระดับสูง ทั้งนี้ก็เตรียมไว้เพื่อรับการโจมตีที่แข็งแกร่งจากพวกปราการหลิงหยวนโดยเฉพาะเลย ตราบใดก็ตามที่เขาสามารถเอาชนะศิษย์จากปราการหลิงหยวนได้ในงานประลองหลิงหยวน ชื่อเสียงของปราการแห่งนี้จะต้องดิ่งฮวบลงอย่างแน่นอน และเมื่อทำได้เมื่อไหร่ เขาค่อยชะลอการฝึกลงตอนนั้น
การประลองรอบต่อไปของเย่เย่นั้น ไม่มีใครที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับหงกวงเต๋าแล้ว และหลังจากฝ่ามันมาทั้งหมด เพราะปราการหลิงหยวนนั้นไม่ได้ส่งศิษย์ของพวกตนมาประลองกับ เย่เย่ นั่นจึงไม่มีใครที่สามารถสู้เย่เย่ได้เลย
ดังนั้นแล้วในรอบแรกของการประลองทั้ง 5 ครั้งนั้น เย่เย่สามารถเอาชนะมาได้ทั้งหมด และเป็น 1 ในผู้เข้าร่วมประลองไม่กี่คนที่ผ่านรอบแรกมาได้ ในขณะที่เย่เย่ประลองครบ 5 คู่แล้วในรอบแรก สนามประลองอื่นๆก็ยังคงมีผู้ประลองที่ยังสู้กันอยู่อย่างต่อเนื่อง นั่นเลยทำให้รอบๆบริเวณนั้นมีผู้เข้าชมอยู่เต็มไปหมด
เห็นดังนั้นแล้วเย่เย่จึงไม่ได้รีบร้อนที่จะลงจากสนามประลองแต่อย่างใด กลับกันเขาเลือกที่จะให้เสี่ยวหยูเปิดกล่องที่นำมาด้วยและนำอาวุธกับเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆภายในที่ซึ่งแลกออกมาจากระบบ ซึ่งของเหล่านี้ก็ถูกเขาปรับแต่งความสามารถไปแล้วเช่นเดียวกับยาและของชิ้นอื่นๆก่อนหน้า
“ข้าต้องขอบคุณสำหรับการสนับสนุนในวันนี้ของพวกท่านจริงๆ พูดตามตรงเลยนะ แม้ข้าจะโชคดี แต่ชีวิตข้าก็อาจจะอยู่ยากหากขาดการสนับสนุนหอการค้าของข้าที่ท่วมล้นขนาดนี้ เช่นนั้นแล้วข้าอยากจะตอบแทนความมีน้ำใจของพวกท่าน! ในครั้งนี้ข้านำของดีมากมายจากหอการค้าหยูเย่มาขายให้เป็นการพิเศษ! ของที่มีจำนวนจำกัดเหล่านี้ล้วนเป็นของดีและราคาถูก ข้าหวังว่ามันจะช่วยสนองน้ำใจของพวกท่านได้!”
ก่อนที่เหล่าคนดูจะกระจายหายไปจากรอบๆสนามประลอง เย่เย่ก็ถือโอกาสนำสิ่งของที่ใส่ไว้ในกล่องมาเปิดการขายกันโต้งๆทำเอากรรมการรอบๆข้างต่างพากันตกอกตกใจกับภาพที่เกิดขึ้นตามๆกันไป
อย่างไรก็ตาม เพราะการประลองในสนามอื่นๆนั้นก็จวนจะเสร็จกันแล้วพอดี ดังนั้นการขายของของเย่เย่นั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการกระทบต่องานชุมนุมหลิงหยวนแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เหล่ากรรมการจึงไม่ได้เข้ามาห้ามไม่ให้เขาทำต่อ กลับกันพวกเขาเองกลับโดนสิ่งของที่เย่เย่นำมาวางขายล่อลวงเสียเองด้วย
“อาวุธต่างๆที่จำหน่ายอยู่ในหอการค้าหยูเย่ของข้านั้น ข้ารับประกันคุณภาพด้วยตัวเองเลย! ว่ามันต้องดีกว่าอาวุธที่ขายอยู่ตามร้านค้าอื่นๆในราคาเดียวกันอย่างแน่นอน! ด้วยราคาที่ถูกแสนถูกขนาดนี้ ข้าหวังว่าพวกท่านต้องไม่พลาด! แล้วยิ่งหากท่านเป็น 1 ในผู้เข้าร่วมการประลองภายในชุมนุมหลิงหยวนด้วย พวกท่านเองก็อยากจะได้ชัยชนะกันใช่หรือเปล่า? เพราะงั้นแล้วพวกท่านต้องห้ามพลาดโอกาสพิเศษเช่นนี้แล้วล่ะ!”
เย่เย่นั้นทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้เพื่อขายของที่เตรียมมาในลานประลองแห่งนี้ให้ได้ ซึ่งมันได้ผล ผู้คนส่วนใหญ่หันมาสนใจเขาแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นประสิทธิภาพของอาวุธทั้งหลายด้วยตาตนเอง พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นและดีอกดีใจกันเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้ทั้งอาวุธ อุปกรณ์ รวมถึงยาต่างๆที่นำมาขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย
ไม่เพียงแค่ลานประลองของเย่เย่เท่านั้น เพราะแม้แต่ผู้ชมจากลานประลองอื่นก็ไม่สามารถทนนั่งอยู่เฉยๆได้ พวกเขาเองก็มุ่งเข้ามายังลานประลองของเย่เย่และแหวกว่ายท่ามกลางหมู่ผู้คนเพื่อมาจับจ่ายสิ่งของที่ต้องการเช่นกัน จนมันทำให้งานชุมนุมหลิงหยวนในครั้งนี้ดูจะมีความแปลกตาออกไปไม่น้อยเลยทีเดียว
แน่นอนว่ามันสร้างความพึงพอใจแก่เย่เย่เป็นอย่างมากที่ได้เห็นผู้คนมากมายต่างพากันโหยกระหายอยากซื้อของเขา
เขายอมลงทุนใช้เหรียญจักรวาลไปร่วมๆ 800 เหรียญเพื่อแลกเอาสิ่งของเหล่านี้มาจากระบบ และนำมันมาขายให้แก่เหล่าผู้ชมในราคาที่ถูก จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้กำไรอะไรมากมายจากการขายราคาถูกหรอก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จุดประสงค์ของเย่เย่ก็เพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้แก่หอการค้าหยูเย่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาไม่สนด้วยซ้ำว่ามันจะสร้างกำไรได้ขนาดไหน เพียงไม่นาน ของที่นำมาจนเต็มกล่องนั้นก็หมดไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว
ความพยายามของเขานั้นไม่สูญเปล่า ชื่อเสียงของหอการค้าหยูเย่นั้นแพร่สะพัดไปทั่วในชั่วข้ามคืน ทำให้นิยมของหอการค้าหยูเย่กลับมาอยู่ในระดับสูงอีกครั้งและกลายเป็นม้ามืดที่ทำให้หอการค้าแห่งอื่นๆต้องคอยระวัง
เย่เย่มอบเหรียญทองจำนวน 830,000 เหรียญที่ได้จากการขายอาวุธและยาให้แก่เสี่ยวหยูเพื่อให้นางไปซื้อของดีๆเข้าร้าน นอกจากนั้นในกรณีที่คนงานไม่พอ เย่เย่ยังอาสานำของไปส่งลูกค้าด้วยตนเองอีกด้วยเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในหอการค้าไปในตัว
งานชุมนุมหลิงหยวนนั้นจะจัดรอบที่ 2 ขึ้นในอีก 3 วันข้างหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าผู้ร่วมงานต่างก็ไม่ค่อยมีเวลาได้พักกันซักเท่าไหร่ นั่นเพราะพวกเขามักใช้โอกาสนี้ในการเสาะแสวงหากระบวนท่าหรือตำราดีๆเพื่อนำมาฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้ได้ในเวลาอันสั้น และด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้หอการค้า หยูเย่ร้อนเป็นไฟขึ้นมาอีกครั้ง
ค่ำคืนนั้นเอง ขณะที่เย่เย่กำลังขนของต่างๆกลับมายังหอการค้าหยูเย่ด้วยรถเกวียน ตรงหน้าเขาก็ปรากฏร่างของคน 5 คนขึ้นมา
เมื่อได้สังเกตดีๆแล้ว เย่เย่ก็พบว่าคนเหล่านี้เคยเจอกับเขามาก่อน ซึ่งนั่นคือ จินหยู ผู้เป็นศิษย์ของปราการหลิงหยวนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกหลินหยูฉีหลอกใช้นั่นเอง
“อะไรเนี่ย? เมื่อครั้งที่แล้วยังแพ้ไม่สาแก่ใจหรือไง ครั้งนี้ถึงได้มาหาถึงหน้าประตูร้านเลย?”
เขาดึงบังเหียนขึ้นก่อนจะมองไปยังจินหยูด้วยความเหยียดหยามโดยปราศจากความกลัวในแววตา
เมื่อครั้งที่แล้ว แม้ว่าเขาจะสามารถทำให้จินหยูหวาดกลัวได้ด้วยหินรูนแห่งการทำลายล้างก็จริง แต่กระนั้นตัว เย่เย่เองก็มั่นใจว่าเขาสามารถโค่นจินหยูได้เหมือนๆกับที่เขาสามารถโค่นหงกวงเต๋าเมื่อการประลองรอบแรกในงานชุมนุม หลิงหยวนนั่นแหละ เพราะต่อให้เขาไม่มีหินรูนแห่งการทำลายล้าง เขาก็ยังมีเกราะมังกรเมฆาและฝ่ามือคลื่นพิโรธอยู่