บทที่ 73
เปิดฉากการประมูล
แม้ว่าหอการค้าหยวนเชินจะเกลียดหอการค้าหยูเย่เข้าไส้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้ารีบลงมือโดยที่ไม่ได้วางแผนอย่างรอบคอบเสียก่อน
หลังจากที่เฉียนเฟิงเข้ามาทำข้อตกลงกับหอการค้าหยวนเชินได้ไม่นาน ปราการหลิงหยวนก็ได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับพวกเขาอย่างเป็นทางการ ชิวเฟิงอิง และชิวหยวนตงสองผู้นำแห่งหอการค้าหยวนเชินก็ได้สั่งการลูกจ้างของพวกเขาให้ปล่อยข่าวลือเสียๆหายๆเกี่ยวกับหอการค้าหยูเย่อย่างไม่เร่งรีบ
ข่าวลือที่ว่าตัวอย่างเช่น เหตุผลที่ตระกูลเจิ้งสนับสนุนหอการค้าหยูเย่อย่างเต็มกำลังเป็นเพราะผู้นำตระกูลอย่างเจิ้งซูนั้นอ่อนแอ และถูกเย่เย่ชักใยคอยบงการอยู่เบื้องหลังนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีข่าวปลอมที่สร้างความเกลียดชังของผู้คนต่อหอการค้าหยูเย่อีกมากมาย
ข่าวลวงโลกเหล่านี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลิงเฉิง หอการค้าหยูเย่ที่เพิ่งพ้นวิกฤติได้ไม่นานก็ตกเป็นเป้าของสังคมอีกครั้งหนึ่ง
โชคยังดีที่หอการค้าหยูเย่ และเจิ้งซูผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลเจิ้งได้ออกมาแถลงถึงข้อครหาเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมาทำให้สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะรุนแรงคลี่คลายลงอย่างไม่ยากเย็น แต่อย่างไรก็ตามข้อพิพาทของหอหยูเย่ กับหอหยวนเชินนั้นก็ได้ถึงหูของชาวเมืองและกลายเป็นประเด็นทางสังคมใน หลิงเฉิงอย่างรวดเร็ว
“การที่หอการค้าหยวนเชินลงมือเองแบบนี้เนี่ย คงไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาเสียผลประโยชน์ทางการค้ากับตระกูลเจิ้งแน่ๆ”
เย่เย่นั้นรู้ดีว่าเรื่องนี้ปราการหลิงหยวนต้องคอยบงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
“ไม่ยอมลดราวาศอกกันง่ายๆสินะ เจ้าพวกนี้!?” เย่เย่ที่ตระหนักถึงภัยคุกคามครั้งใหม่ก็ได้บอกเสี่ยวหยู และซูฉีเจี่ยให้ยกระดับการป้องกันหอการค้าในทันที ก่อนที่เขาจะไปเตรียมการประมูลที่จะจัดขึ้นในเร็ววัน
วัตถุประสงค์ของมหกรรมการประมูลของหอการค้าหยูเย่ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่หอการค้าเท่านั้น แต่เขาก็ได้วางแผนที่จะนำเงินที่ได้จากการประมูลไปแลกเปลี่ยนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เพื่อเสริมแกร่ง และสร้างความเป็นปึกแผ่นของบุคลากรภายในหอการค้าอีกด้วย
ในที่สุดมหกรรมการประมูลของหอการค้าหยูเย่ก็ได้เปิดฉากขึ้น ภายใต้ความคาดหวังของประชาชนชาวหลิงเฉิงที่มาเข้าร่วมงานกันอย่างแน่นขนัด
เย่เย่ตำนานบทใหม่ประจำเมืองหลิงเฉิงก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนเวที และเป็นประธานในการประมูลครั้งนี้ด้วยตนเองเรียกเสียงฮือฮาให้กับผู้เข้าร่วมได้เป็นอย่างดี
“ข้าขอเสนอสินค้าประมูลชิ้นแรกของเรา โอสถทัดเทพซึ่งมีคุณสมบัติที่จะทำให้จ้าววรยุทธ์ผู้ใดก็ตามสามารถบรรลุขั้นเทพยุทธ์ได้ในทันที! ราคาเริ่มต้นที่ 500,000 ตั๋วทอง เริ่มประมูลได้!! ”
สิ้นเสียงสัญญาณเริ่มประมูล ก็มีเสียงพูดคุยมากมายดังระงมไปทั่วทั้งโถง
“นั่นมันโอสถทัดเทพนี่!? ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีของแบบนั้นในเมืองหลิงเฉิงนี่ด้วย!?”
“ข้านึกว่ายาวิเศษแบบนั้นจะมีเฉพาะในพวกสำนักทั้งแปดนั่นเสียอีก!? ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้มีโอกาสจับจองมันด้วยตัวเองแบบนี้!”
“ยานี่มันขี้โกงชะมัด กินแค่เม็ดเดียวก็เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ได้เลยงั้นเรอะ!?”
เหล่าบรรดาจ้าววรยุทธ์ที่เข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ ต่างยื้อแย่งที่จะจับจองโอสถทัดเทพนี้อย่างไม่มีใครยอมใคร
“ข้าให้ครึ่งล้าน !”
“เหอะ! ครึ่งล้านเก็บเอาไว้ปลูกผมท่านตอนแก่เถอะ! ข้าให้ 600,000!”
“อ่อนหัด! 650,000!”
ราคาของโอสถนี้ค่อยๆพุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆแตะหลัก 800,000 ตั๋วทองภายในไม่กี่อึดใจ
จ้าววรยุทธ์ไส้แห้งบางคนก็เริ่มถอดใจเมื่อเห็นราคาที่เกินเอื้อมนี้ เหลือเพียงแต่จ้าววรยุทธ์ที่ใจถึงพึ่งได้ที่ยังคงยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่
ท้ายที่สุดโอสถทัดเทพนี้ก็ตกไปอยู่ในมือศิษย์แห่งสำนักเมฆาทมิฬหนึ่งในห้าขั้วอำนาจแห่งหลิงเฉิงในราคา 970,000 ตั๋วทอง!
สำนักเมฆาทมิฬนี้เป็นขั้วอำนาจที่ลึกลับไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก แต่อิทธิพลของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นสองรองใครในหลิงเฉิงเลย ผู้เข้าร่วมที่หวังจะดักฆ่าชิงทรัพย์หลังจากจบการประมูลเมื่อรับรู้ถึงภูมิหลังของผู้ชนะการประมูลต่างพากันหวาดกลัว และล้มเลิกความคิดชั่วๆของพวกเข้าไว้เพียงเท่านั้น
เมื่อเย่เย่สังเกตเห็นศิษย์แห่งสำนักเมฆาดำ เขาก็นึกขึ้นได้ถึงชายชุดดำลึกลับคนหนึ่งที่เคยนำตำรากระบวนท่าลับของปราการหลิงหยวนมาให้เขาโดยเย่เย่ก็ได้มอบดาบสะบั้นกะโหลกให้เป็นการแลกเปลี่ยน ถึงแม้ว่าชายคนนี้จะเป็นคนละคนกับที่มาหาเย่เย่ในวันนั้นแต่เขาก็สังเกตถึงบางอย่างที่คล้ายคลึงกันได้
หลังจากที่ศิษย์ของสำนักเมฆาทมิฬเสร็จสิ้นการประมูลของเขาแล้วเขาก็เดินกลับไปยังที่นั่งของเขาอย่างเงียบๆ โดยทิ้งความสงสัยไว้ภายในใจของเย่เย่ เย่เย่สะบัดหัวพยายามจะสลัดความคิดของเขาออกไป และเริ่มการประมูลสินค้าชิ้นต่อไป
“ของชิ้นต่อไปนี้ก็คือหินรูนแห่งการทำลายล้าง แรงระเบิดของเพียง 1 ชิ้นสามารถทำให้จ้าว
วรยุทธ์ขั้นสูงบาดเจ็บปางตายได้ทันที 1 ชุด จำนวน 10 ชิ้น ราคาเริ่มต้นที่ 300,000 ตั๋วทอง เริ่มการประมูลได้ !”
ฝูงชนต่างถูกดึงดูดด้วยพลังการทำลายล้างขั้นสูงของมัน เย่เย่ที่เห็นว่าการประมูลเป็นไปได้สวยเขาจึงเริ่มหยิบกระบวนท่าเก่าๆที่เขาไม่ใช้แล้วอย่างกระบวนท่ากลืนสวรรค์ และอสรพิษคืบคลานออกมาประมูลด้วยเช่นกัน
กระบวนท่าทั้งสองนี้แม้จะมีประโยชน์มากในชั้นของจ้าววรยุทธ์ แต่สำหรับเย่เย่ที่อยู่บนจุดสูงสุดของเทพยุทธ์และกำลังก้าวสู่ขั้นเทพอสูรไร้เงานั้นสองทักษะนี้ไม่มีความจำเป็นสำหรับเขาอีกต่อไป
ยิ่งเย่เย่เอาสินค้าออกมาประมูลมากเท่าไหร่ ความคาดหวังของผู้ประมูลก็สูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ในการประมูลชิ้นสุดท้ายเขาจึงได้นำเกราะล้ำค่าออกมาประมูลสู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกของการประมูลครั้งนี้
“เกราะมังกรทะยานฟ้านี้ เป็นเกราะที่สามารถลบล้างความเสียหายจากการโจมตีของจ้าววรยุทธไว้ได้ทั้งหมด แม้ว่าผู้นั้นจะมีวรยุทธ์ที่แก่กล้าสักเพียงใดก็ตาม ราคาเริ่มต้นที่ 400,000 ตั๋วทอง เริ่มประมูลได้!”
เมื่อกลุ่มคนได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงกันเป็นแถบๆ เนื่องจากเกราะที่มีคุณสมบัติพิเศษนั้นเป็นยุทโธปกรณ์ที่หาได้ยากยิ่งกว่าศาสตราใดในใต้หล้า
เกราะมังกรทะยานฟ้าเป็นเพียงเกราะชิ้นเดียวที่เย่เย่นำ ออกมาประมูลในครั้งนี้ นอกจากมันจะเหมาะกับจ้าววรยุทธแล้ว ก็ควรค่าให้เป็นที่จับตามองของเหล่าเทพยุทธ์เช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นเองเย่เย่ได้สังเกตถึงความผิดปกติขึ้นระหว่างการประมูล ชายผู้หนึ่งที่อ้างว่าเป็นศิษย์แห่งสำนักรุ่งอรุณก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมขู่ผู้เข้าประมูลคนอื่นๆให้ถอนตัวจากการประมูล
“ข้ามีนามว่ากั๋วหนูจากสำนักรุ่งอรุณหนึ่งในห้าขั้วอำนาจแห่งหลิงเฉิง! ข้าได้รับมอบหมายจากผู้อาวุโสหยูอิงในการเข้าร่วมประมูลครั้งนี้ ได้โปรดให้เกียรติข้าได้เป็นเจ้าของเกราะนั่นเถอะ ข้าสัญญาว่าข้า และสำนักรุ่งอรุณจะตอบแทนท่านอย่างสาสม!”
ชายที่มีนามว่ากั๋วหนูนั้นแม้จะมีคำพูดที่สุภาพ แต่ส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายแก่ผู้ประมูลคนอื่นๆ เพื่อที่จะให้เขาได้จับจองเกราะคุณภาพสูงในราคาถูก
สำนักรุ่งอรุณนั้นเป็นถึงหนึ่งในห้าขั้วอำนาจในหลิงเฉิง ไม่มีผู้ใดอยากจะมีเรื่องกับพวกเขา หลังจากที่โดนกั๋วหนูข่มขู่ด้วยสายตาก็ไม่มีใครหน้าไหนมีความกล้ามากพอที่จะเสนอราคาต่ออีกเลย
กั๋วหนูพอใจเป็นอย่างมาก เขาส่งสายตาราวกับเป็นสาส์นท้าทายเย่เย่ว่าต่อให้เป็นตัวเย่เย่ก็จนปัญญาที่จะทำอะไรเขาเช่นกัน
เย่เย่นั้นเคยเอาชนะหยูฉิงฉิงผู้เป็นน้องสาวของผู้เฒ่าจ้าวสำนักรุ่งอรุณในการประลองหลิงหยวนลงได้ ทำให้หยูฉิงฉิงนั้นเก็บกดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทำให้กั๋วหนูผู้เป็นศิษย์อีกคนของสำนักนี้รู้สึกแค้นเคืองใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าการประลอง หลิงหยวนจะจบลงไปแล้ว แต่เขาก็หาหนทางที่จะล้างแค้นให้กับศิษย์พี่ของเขาให้จงได้
จุดประสงค์ในการร่วมประมูลของเขาในวันนี้นั้นไม่ใช่แค่เพื่อประมูลของแล้ว กลับไปเท่านั้น เขายังพยายามจะกดราคาของสินค้าอีกด้วย
“ถ้าไม่ประมูลต่อก็หุบปากของเจ้าซะ ถ้าเจ้าขืนข่มขู่ผู้อื่นไปมากกว่านี้ละก็ เจ้าศพไม่สวยแน่!” เย่เย่ที่ไม่แยแสว่ากั๋วหนูจะเป็นใครใหญ่มาจากไหนก็ตอบกลับเขาไปอย่างเยือกเย็น
ทุกคนที่อยู่ในงานประมูลต่างพากันตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขา
ดูเหมือนว่าเย่เย่จะไม่คิดจะผูกมิตรกับสำนักรุ่งอรุณเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ฝูงชนเงียบไปได้สักพักพวกเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เย่เย่นี้ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดแม้แต่ปราการหลิงหยวน นับประสาอะไรกับสำนักรุ่งอรุณกระจอกงอกง่อยนี่ แม้แต่เฉินเทียนหนานศิษย์เอกแห่งปราการหลิงหยวนเขาก็ปราบมาแล้ว กั๋วหนูในสายตาของเย่เย่ไม่ได้ต่างอะไรกับมดปลวก
กั๋วหนูนั้นรู้จักเย่เย่น้อยเกินไป เขาเพิ่งตระหนักขึ้นได้ว่า เย่เย่ไม่ใช่บุคคลที่คนเยี่ยงเขาจะไปต่อล้อต่อเถียงด้วย เสื้อของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจากความกลัวที่มีต่อเย่เย่ กั๋วหนูเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าผู้เฒ่าเจ้าสำนักจะช่วยให้เขาพ้นจากปัญหาที่เขาก่อขึ้นได้ เขาจึงสงบปากสงบคำ และยอมนั่งลงแต่โดยดี
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ เย่เย่จริงเริ่มการประมูลต่อไปในทันที
“เริ่มการประมูลต่อได้ กติกาง่ายๆผู้ใดให้ราคาสูงสุดก็รับเกราะมังกรทะยานฟ้านี้ไปครอบครองได้เลย!”
สิ้นเสียงการให้สัญญาณ กลุ่มนักประมูลก็เริ่มเสนอราคาอย่างบ้าคลั่งในทันที
“ข้าขอเสนอ 490,000 ตั๋วทอง!”
“เก็บเงินนั่นไว้ตัดหญ้าหน้าบ้านเถอะ ของดีแบบนี้ต้องครึ่งล้าน!”
“กระจอกสิ้นดี! 520,000 ตั๋วทองเป็นไง?”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังแทรกออกมาจากฝูงชน
“ข้าให้ 600,000 ตั๋วทอง!”
แม้ว่ากั๋วหนูจะไม่กล้าท้าทายเย่เย่อีก แต่ตัวเขาที่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของสำนักรุ่งอรุณเกินกว่าจะยอมอ่อนข้อลงง่ายๆก็ได้เสนอราคาที่สูงที่สุดในการประมูลเกราะชิ้นนี้ออกมา
ในที่สุดกั๋วหนูก็ชนะการประมูลด้วยราคาที่เขาเสนอมา และเริ่มถากถางด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามใส่ผู้ที่ประมูลแข่งเขาอีกครั้งหนึ่ง