บทที่ 82
ขั้วอำนาจที่หก
บรรดาลูกจ้างที่ทอดทิ้งหอการค้าหยูเย่และเลือกที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวนั้นไม่มีหน้ากลับไปหาเพื่อนร่วมงานและหอการค้าที่พวกเขาเพิ่งจากมาอีกแล้ว พวกเขาต่างหวาดกลัวว่าอดีตนายจ้างของพวกเขาจะลงโทษพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่หันหลังกลับไปอีกแล้ว
เจ้าตระกูลเสวี่ยอย่างเสวี่ยเฉิงกุ่ยดูจับตาดูสถานการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาได้แต่ยืนอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ถึงแม้เขาจะเป็นคนหน้าด้านหน้าทนแต่เขาก็ไม่กลับไปแสดงความยินดีกับ เย่เย่ที่เขาเพิ่งผลักไสไล่ส่งอย่างไม่ไยดี ชายทรงอำนาจจึงตัดสินใจเดินจากไปอย่างเงียบๆ
“ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็ เตรียมเปิดร้านได้!”
เย่เย่ที่ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของฝูงชนที่มุงดูสงครามในครั้งนี้ เขาสั่งให้เสี่ยวหยูและลูกจ้างคนอื่นๆให้รีบเก็บกวาดขยะรกหูรกตาออกไปจากหน้าหอการค้าของพวกเขา และเตรียมตัวเปิดให้บริการอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะนั้นเองเย่เย่เริ่มสังเกตเห็นว่าจิตวิญญาณการต่อสู้ที่เป็นงูตัวน้อยๆของเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากประสบการณ์ต่อสู้ของเขาที่เพิ่มพูน
“ขอรับ/เจ้าค่ะ นายท่าน!”
เมื่อได้รับคำสั่งลูกจ้างที่เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสที่เพิ่มมากขึ้นในตัวเย่เย่ก็ขานรับด้วยเสียงดังฟังชัด
หลังจากการสู้รบตบมือกับกองกำลังจำนวนมหาศาลจากเหล่ามหาอำนาจ หอการค้าหยูเย่ของพวกเขาก็เริ่มทรงอิทธิพลไม่ด้อยไปกว่าขั้วอำนาจใดในหลิงเฉิง
เมื่อข่าวของเย่เย่แพร่สะพัดไปถึงหูของขั้วอำนาจทั้งสี่นอกเหนือจากปราการหลิงหยวน พวกเขาทั้งสี่ก็ได้ส่งตัวแทนมาแสดงความยินดีกับชัยชนะของเย่เย่ เป็นอีกครั้งที่กิจการหอการค้าหยูเย่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยอย่างไม่ขาดสาย พวกเขากลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่งหลังจากผ่านพ้นศึกใหญ่ไปได้หมาดๆ
เสี่ยวหยูได้ใช้โอกาสนี้ขยายอำนาจผนวกรวมกับหอการค้าหยวนเชินที่กำลังกระท่อนกระแท่นจากการเสียผู้นำอย่างชิวเฟิงอิงไป นอกจากนี้ยังมีบรรดาหอการค้าขนาดเล็ก และขนาดย่อมบางแห่งสมัครใจที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขาอีกด้วยทำให้หอการค้าหยูเย่นั้นพัฒนากลายเป็นหอการค้าขนาดใหญ่ในหลิงเฉิงไปโดยปริยาย
เจิ้งซูผู้นำตระกูลเจิ้งคนปัจจุบันก็ได้มาแสดงความยินดีกับความสำเร็จอย่างงดงามของพันธมิตรของพวกเขา นอกจากนี้เขาได้เปิดการประชุมโดยเรียกผู้อาวุโสทั้งห้าเข้าร่วมเพื่อลงมติพิจารณาเกี่ยวกับการรวมเป็นส่วนหนึ่งของหอการค้าหยูเย่อีกด้วย
เมื่อหนุ่มน้อยเจ้าตระกูลได้กล่าวเปิดหัวข้อการประชุมตระกูลเจิ้งก็ตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้งหนึ่ง มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยกับข้อเสนอ และผู้ที่คัคค้าน
“ท่านเจิ้งซู ท่านไม่คิดว่านี่มันเร็วเกินไปหน่อยหรือ? ถึงแม้หอการค้าของพวกเขาจะกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เมื่อเทียบกับขั้วอำนาจต่างๆในหลิงเฉิงแล้วหอการค้าพวกเขายังมีรากฐานที่ไม่มั่นคงมากพอ ถ้าหากวันใดวันหนึ่งพวกเขาสูญเสียเสาหลักไป หอการค้าหยูเย่ต้องล้มครืนไม่เป็นท่าแน่นอน ขอให้ท่านเจิ้งโปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วย!”
เจิ้งเฉิงหนึ่งในบรรดาผู้อาวุโสสูงสุดในตระกูลเจิ้ง ขมวดคิ้วพลางแสดงความคลางแคลงใจกับข้อเสนอของเจิ้งซู แม้ว่าตัวเขาจะไม่ลงรอยกับเจิ้งซูจากการต่อสู้ครั้งที่แล้วแต่ครั้งนี้เขาเพียงแสดงทัศนะในฐานะหนึ่งในผู้บริหารของตระกูลเจิ้งเท่านั้น
“อืมๆ”
“ข้าเห็นด้วย!”
ผู้เฒ่าบางคนพากันโอนอ่อนกับความคิดเห็นของเจิ้งเฉิง
“ท่านเฉิง ท่านกล่าวผิดไปแล้วล่ะ! เราควรเข้าร่วมกับพวกเขาตั้งแต่ที่รากฐานยังไม่มั่นคงเนี่ยแหละถูกแล้ว หากพวกเขากลายเป็นขั้วอำนาจที่หกแล้วล่ะก็คงไม่เหลือโอกาสให้เราเข้าร่วมเป็นแน่”
เจิ้งซูที่รอตัวขัดจังหวะอย่างเจิ้งเฉิงมานาน เขาครุ่นคิดก่อนที่จะตอบกลับเจิ้งเฉิงไปอย่างมีเหตุผล ก่อนที่เขาจะเสริมขึ้นอีก
“นอกเหนือจากเหตุผลที่ข้าบอกไปเมื่อสักครู่ พวกท่านเองน่าจะได้ทดสอบคุณภาพของสินค้ามาไม่มากก็น้อย พวกท่านน่าจะทราบกันดีว่าสินค้าของหอการค้าหยูเย่นี้หาไม่ได้จากหอการค้าไหนในเมืองหลิงเฉิงอีกแล้ว การลงทุนนี้แน่นอนว่าต้องยอมรับความเสี่ยงบ้างเพื่อได้ผลกำไรที่คุ้มค่า ดังนั้นข้าจึงเห็นสมควรว่าเราควรเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่โดยเร็ว”
เหล่าผู้อาวุโสต่างพากันครุ่นคิด เมื่อพวกเขาชั่งน้ำหนักความเสี่ยงกับผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับก็ไม่มีท่าทีปฏิเสธข้อเสนอแต่อย่างใด
ไม่ได้มีเพียงตระกูลเจิ้งที่ต้องการเข้าร่วมกับหอการค้า หยูเย่ สำนักเพลิงสวรรค์ที่ในอดีตแม้จะไม่กินเส้นกับเย่เย่แต่พวกเขาก็ต้องก็ยอมประนีประนอมเมื่อตระหนักถึงผลดี และผลเสียที่จะตามมาในอนาคต
หลังจากผ่านการนองเลือดครั้งใหญ่ได้สองวัน จางเหิงแห่งสำนักเพลิงสวรรค์ก็ได้ขอเข้าพบเย่เย่เพื่อเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาท และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย
ในบรรดาขั้วอำนาจทั้งห้าของหลิงเฉิง สำนักเพลิงสวรรค์ และหอการค้าตันเซียงนั้นมีความคล้ายคลึงกับหอการค้าหยูเย่อยู่มาก พวกเขามีหน้าร้านสำหรับขายของเฉพาะทางที่ทั้งหลิงเฉิงนั้นหาได้จากพวกเขาเท่านั้น เช่น หอการค้าตันเซียงนั้นเลื่องชื่อด้านการเภสัช ส่วนสำนักเพลิงสวรรค์ค้าขายอาวุธที่ทรงพลานุภาพ
แม้ว่าคุณภาพสินค้าของพวกเขาจะไม่สูงเมื่อเทียบกับหอการค้าหยูเย่ แต่พวกเขาก็ครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดในหลิงเฉิงมาอย่างช้านาน แต่หอการค้าตันเซียงก็นำหน้าสำนัก เพลิงสวรรค์อยู่หนึ่งก้าว พวกเขาได้เริ่มทำธุรกิจกับหอการค้า หยูเย่มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว หากจางเหิงล้มเหลวในการเจรจากับหอการค้าหยูเย่พวกเขาอาจต้องตกในที่นั่งลำบาก
ดูจากชะตากรรมของปราการหลิงหยวน และหอการค้าหยวนเชินแล้วจางเหิงรู้ดีว่าหอการค้าหยูเย่นั้นเปรียบเสมือนเปลวเพลิงลุกโชนที่เขาไม่ควรเอานิ้วไปแหย่เล่น
เย่เย่ที่เก็บตัวอยู่ในลานฝึกไม่ประสงค์จะพบผู้ใดก็ได้มีแขกจากสำนักเพลิงสวรรค์มาข้อเข้าพบเพื่อหยิบยื่นข้อเสนอบางอย่างให้กับเย่เย่
“ก่อนอื่นข้าต้องขออภัยที่มาขอเข้าพบท่านกะทันหันเยี่ยงนี้”
จางเสี่ยวยู่จ้าวสำนักเพลิงสวรรค์ที่มาพร้อมกับจางเหิงลูกชายของตนก็ได้โค้งคำนับแสดงความเคารพอย่างสุภาพนอบน้อม แต่จางเหิงนั้นกลับใช้สองมือคำนับเย่เย่อย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะนั่งลงในทิศตรงกันข้ามกับเย่เย่
“เดี๋ยวเถอะ ลูกเหิง! ทำไมเจ้าช่างไร้มารยาทแบบนี้!? ต้องขออภัยด้วยจริงๆท่านเย่ ข้าสั่งสอนลูกมาไม่ดีพอ”
จางเสี่ยวยู่ผู้เป็นพ่อตำหนิจางเหิงลูกไม่รักดีของเขาก่อนที่จะขอโทษเย่เย่แทนลูกของตน
“ข้าไม่ถือสาท่านหรอก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้อายุห่างไปจากเขามากนัก ว่าแต่ท่านมาหาข้าด้วยตนเองเช่นนี้มีธุระอะไร?”
“ก่อนหน้านี้ที่คนของข้าเคยเสียมารยาทกับท่าน เป็นความผิดของข้าเองที่ละเลยหน้าที่ไม่ได้ตักเตือนพวกเขา ข้าได้ทำการลงโทษพวกเขาเรียบร้อยแล้ว หวังว่าท่านเย่จะไม่ถือโทษโกรธเคืองสำนักของข้า ต่อจากนี้สำนักเพลิงสวรรค์จะขอร่วมทุกข์ร่วมสุขกับหอการค้าหยูเย่ของพวกท่าน ท่านเย่จะว่าอย่างไร?”
จางเสี่ยวยู่ไม่พูดให้เยิ่นเย้อ เขาพูดเข้าแก่นของประเด็นในทันที น้ำเสียงของเขาจริงจังหนักแน่นซึ่งแสดงให้เห็นความตั้งใจของสำนักเพลิงสวรรค์ที่ต้องการผูกมิตรกับหอการค้าหยูเย่
นัยน์ตาของเย่เย่สะท้อนให้เห็นถึงความประหลาดใจ เขาจำไม่ได้แล้วว่าเขาได้ยินน้ำเสียงที่จริงใจครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ หลังจากที่เขาเข้าหลิงเฉิงมาได้ไม่นานเขาก็ลำบากตรากตรำจากการรุกรานอย่างไม่หยุดหย่อนของปราการหลิงหยวน จากนั้นเขาก็ได้พิสูจน์ตนให้เป็นที่ประจักษ์นับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ประมือกับจินหยูและหลินหยูฉี โค่นเฉินเทียนหนาน จนมาถึงจัดการกับเหล่าเทพยุทธ์นับไม่ถ้วนด้วยค่ายกล และทำให้หอการค้าของเขาเจริญรุ่งเรืองเทียบเท่าหอการค้าขนาดใหญ่ในเมือง จนกระทั่งแม้แต่จ้าวสำนักเพลิงสวรรค์อย่างจางเสี่ยวยู่ยังต้องมาเจรจาสันติ และผูกมิตรกับเขา ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่าการสร้างมิตรย่อมดีกว่าการ สร้างศัตรูเพิ่มเป็นไหนๆ
“ท่านจางกล่าวเกินไปแล้ว! เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ ข้าขอให้การยืนยันว่าหอการค้าหยูเย่และสำนักเพลิงสวรรค์จะไม่ใช่ศัตรูกันอีกต่อไป!” หลังจากที่เย่เย่ตอบรับข้อเสนอของจางเสี่ยวยู่ เขาเหลือบมองไปที่จางเหิงที่ยังมีสีหน้าคลางแคลงใจอยู่โดยไม่ได้พูดอะไร
เจ้าสำนักเพลิงสวรรค์เมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ เขาลุกขึ้นแล้วโค้งคำนับเย่เย่อีกครั้ง
“ข้าข้อคารวะท่านเย่ ขอให้กิจการของท่านประสบความสำเร็จยิ่งๆขึ้นไป และหวังว่าพวกเราจะได้มีโอกาสร่วมมือกับท่านในอนาคต วันนี้ข้าลูกของข้ามาหวังให้เขาเปิดหูเปิดตาเพื่อจะได้เป็นผู้สืบทอดกิจการต่อไป หวังว่าท่านเย่คงไม่ถือสา”