บทที่ 81
ลานประหาร
เห็นได้ชัดว่าพลังของเย่เย่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเทพยุทธ์นั้นห่างชั้นกับเทพยุทธ์ธรรมดาๆทั่วไปอยู่มาก เย่เย่ได้โค่นเทพยุทธ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเขาลงไปมากมาย เขานั้นไม่ต่างอะไรกับหมาป่าที่หิวโซท่ามกลางฝูงแกะเลย
“ขะ..ข้ายอมแพ้แล้ว! ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ!”
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
ตู้มมม !
“อ๊ากกกกกกกกก”
เสียงร้องขอชีวิตดังระงมไปทั่วค่ายกลของเย่เย่ แต่ไม่นานนักเสียงเหล่านั้นก็ได้เงียบลง เย่เย่ได้กวาดล้างศัตรูของเขาในม่านพลังแรกเป็นที่เรียบร้อย
“ต่อไป ค่ายกลเพลิงนรกโลกันตร์”
เมื่อเย่เย่สูบกลืนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเหล่าเทพยุทธ์ที่เขาสังหารเสร็จแล้วจึงเดินออกจากม่านพลังด้วยร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดของศัตรูก่อนที่เขาจะเข้าสู่ลานประหารถัดไป
“นะ..นี่มันไม่เหมือนที่ท่านเฉียนวางแผนไว้สักนิด!?”
“ข้า ข้าอยากกลับบ้านแล้ว ไม่เอาแล้ว! ข้ายังไม่อยากตาย!”
บรรดาเหล่าเทพยุทธ์ที่ติดอยู่ในม่านพลังอันอื่นๆเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของพรรคพวกของพวกเขาต่างพากันหวาดระแวงว่าตนเองนั้นจะเป็นรายถัดไป พวกเขาจึงเริ่มทุบม่านพลังที่เปรียบเสมือนคุกขังรวมขนาดยักษ์อย่างลนลาน
แม้ว่าเย่เย่จะเก็บเฉียนเฟิง และชิวเฟิงอิงไว้เป็นศพท้ายๆแต่สีหน้าพวกเขาก็ไม่สู้ดีนัก พวกเขาพยายามหาจุดอ่อนของค่ายกลนี้ที่ยิ่งหาเท่าไหร่ก็ยิ่งหาไม่เจอ แม้แต่เฉียนเฟิงที่รอบรู้ด้านค่ายกลก็ไม่สามารถหามันพบได้ในเวลาอันสั้น ด้วยความเร่งรีบพวกเขาจึงเริ่มรวบรวมลมปราณและรัวหมัดไปที่จุดเดิมๆอย่างต่อเนื่อง
“อย่าได้ฝัน!”
เย่เย่ที่กำลังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเหล่าเทพยุทธ์เยี่ยงผักปลา รู้สึกได้ว่าเฉียนเฟิงและชิวเฟิงอิง กำลังพังค่ายกลของเขาจึงเร่งมือกำจัดศัตรูและกลืนกินจิตวิญญาณของพวกเขาก่อนจะมุ่งหน้าไปหาสองตัวแสบ
ฟู่ววววววววว!
ตู้มมมม!
หมัดตรงของเย่เย่พุ่งเข้าใส่อกของเฉียนเฟิงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้เกิดคลื่นอัดกระแทกเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งม่านพลัง เฉียนเฟิงที่ไม่ทันตั้งตัวก็รับกำปั้นนี้เข้าไปอย่างจังทำให้เขากระอักเลือดและร่างของเขาก็กระเด็นไปชนกับกำแพงม่านในพริบตา
ชิวเฟิงอิงที่เห็นพรรคพวกเสียท่าไปต่อหน้าต่อตาก็ตั้งท่าพร้อมเข้าต่อสู้กับเย่เย่ในทันที ทั้งสองประจันหน้ากันพลังของทั้งสองนั้นก่อให้เกิดคลื่นลมกระโชกแรงทำให้เฉียนเฟิงที่เพิ่งได้สติ ประคองตัวเองไม่อยู่และล้มลงอีกครั้ง
เมื่อทั้งคู่ประเมินพลังของกันและกันพวกเขาก็รับรู้ได้ทันที และพูดออกมาพร้อมกัน
“จุดสูงสุดของเทพยุทธ์อย่างงั้นสินะ!?”
คำพูดของพวกเขาทั้งสองทำให้เฉียนเฟิงนั้นตกตะลึงอีกครั้ง หลังจากที่เขารับหมัดของเย่เย่เข้าไปครั้งหนึ่งเขารู้ได้ทันทีเลยว่าเขานั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเย่เย่เลยด้วยซ้ำไป ทั้งเฉียนเฟิงและ
ชิวเฟิงอิงต่างก็คิดในใจว่าวันนี้พวกเขาต้องปราบเย่เย่ลงให้ได้ หากไม่แล้วปราการหลิงหยวน และหอการค้าหยวนเชินต้องถึงกาลอวสานเป็นแน่
เย่เย่ฉวยโอกาสที่ชิวเฟิงอิงกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้นใช้กระบวนท่าฝ่ามือคลื่นพิโรธกระหน่ำใส่เขาอย่างต่อเนื่อง
“น่ะ..นี่มันกระบวนท่าฝ่ามือคลื่นพิโรธ!?”
ชิวเฟิงอิงเพิ่งตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของวรยุทธที่เย่เย่เคยใช้โค่นเฉินเทียนหนาน เขารับการโจมตีราวกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่งไม่ไหว ในที่สุดเขาก็ล้มลง
“ช้าก่อน ข้าช่วยท่านได้นะ!”
ชิวเฟิงอิงพูดออกมาอย่างกลัวตาย เฉียนเฟิงที่เพิ่งได้สติกลับมาเห็นชิวเฟิงอิงกำลังถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว เขาจึงใช้ ชิวเฟิงอิงเป็นตัวล่อและพุ่งกระโจนเข้าใส่เย่เย่จากด้านหลังด้วยพลังทั้งหมดที่เขามีหมายจะปลิดชีพเย่เย่ให้ได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่กระนั้นเย่เย่ที่ไม่เห็นเขาในสายตาก็ไม่ได้สนใจการโจมตีของเขาเลย แถมยังใช้ฝ่ามือคลื่นพิโรธอัดใส่ชิวเฟิงอิงต่ออีกด้วย
เพี๊ยะ!
เกราะจ้าวเมฆาของเย่เย่ดูดซับพลังโจมตีทั้งหมดของเฉียนเฟิงไว้ได้อย่างง่ายดาย เย่เย่ยังคงสนแต่ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าของเขาเท่านั้น
“ไปตายซะ!”
เย่เย่รวบรวมลมปราณทั้งหมดลงบนฝ่ามือของเขาก่อนที่จะใช้ฝ่ามือคลื่นพิโรธโจมตีอย่างรุนแรงประทับลงบนหน้าผากของชิวเฟิงอิงทำให้หัวของเทพยุทธ์ชิวแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่ร่างของเขาจะตกลงสู่พื้น
โผล๊ะ!
ตุบ!
เฉียนเฟิงที่ลอบโจมตีอย่างรุนแรงราวกับปลวกแทะด้านหลังเย่เย่ ก็หยุดการโจมตีลงและหยุดมองศพของสหายที่ตายอย่างน่าอเนจอนาถ เฉียนเฟิงที่รู้อนาคตของตัวเองก็เริ่มพูดข่มขู่เย่เย่ให้ไว้ชีวิตตน
“ถ้าเจ้าฆ่าข้า ปราการหลิงหยวนและท่านโจวซงไม่เก็บเจ้าไว้แน่!!”
เฉียนเฟิงรู้ดีว่าข่าวเกี่ยวกับการโจมตีของพวกเขาในวันนี้ต้องไปถึงหูท่านโจวซงแล้วอย่างแน่นอน เขาจึงพยายามถ่วงเวลาเย่เย่เพื่อรอการมาถึงของประมุขของพวกเขา
อย่างไรก็ตามเย่เย่ไม่ชอบคนพูดมาก เขาไม่เคยสนใจคำข่มขู่ของใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งข่มขู่เขายิ่งตัดสินใจฆ่าเร็วมากขึ้นเท่านั้น
“เจ้าโง่! นี่แกคิดว่าแกจะรอดพ้นเงื้อมมือของพวกข้าไปได้อย่างงั้นเรอะ ตลกสิ้นดี!”
เย่เย่ที่ได้ยินดังนั้นยิ่งรวบรวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือขวาของตนพร้อมที่จะขยี้มดปลวกอย่างเต็มที่
“กะ ก็ได้ ก็ได้ เอางี้เป็นไง ถ้าท่านปล่อยให้ข้ากลับไป ข้าจะหาทางชักจูงท่านโจวไม่ให้มาระรานท่านอีกเป็นไง!?”
“จริงเรอะ?”
เฉียนเฟิงที่ตะเกียกตะกายเอาตัวรอดแบบไม่คิดชีวิตก็ได้ตอบกลับไปอย่างไม่ใช้หัวคิดเช่นกัน “น่ะ..แน่นอน ข้าเฉียนเฟิง พูดคะ..คำไหนคำนั้น!”
ตู้มมมมมมมม!!
เย่เย่โจมตีเฉียนเฟิงด้วยฝ่ามือที่สะสมพลังไว้ เฉียนเฟิง กระเด็นไปชิดผนังและกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
“น่ะ..นี่เจ้า!? ทำไมกัน!?”
“ต่อให้ปราการหลิงหยวนมาก้มขอขมาข้า ข้าก็ไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆหรอก”
เย่เย่ที่อัดอั้นตันใจจากการโดนรุกรานจากปราการ หลิงหยวนครั้งแล้วครั้งเล่าก็ได้พูดเจตจำนงของตนเองออกมาอย่างเย็นชา เฉียนเฟิงที่ไม่ได้ฟังเย่เย่พูดจนจบก็สิ้นใจเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
หลังจากที่เขาสูบกลืนจิตวิญญาณของเฉียนเฟิงและ ชิวเฟิงอิงแล้ว เขาก็กลับไปเก็บกวาดเทพยุทธ์ลูกกระจ๊อกที่ยังตกค้างอยู่ในม่านพลัง
หลังจากโศกนาฏกรรมจบลง เหลือไว้เพียงซากศพเกลื่อนกลาดละลานตา สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้น
ปราการหลิงหยวนและหอการค้าหยวนเชินก็ได้ส่งคนมาเก็บศพบรรดาพรรคพวกของเขาด้วยความแค้นที่ประทับลงไปในก้นบึ้งของจิตใจ
หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบและหดหู่ผ่านพ้นไป เหล่าบรรดาลูกจ้างและบรรดาผู้ก่อตั้งก็เริ่มกลับมามีสีหน้าที่ยิ้มแย้มอีกครั้งหนึ่ง พวกเขารู้ดีว่าจากเหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ไม่มีใครหน้าไหนกล้าสบประมาทหอการค้าหยูเย่อีกเป็นครั้งที่สอง…