บทที่ 95
กระบี่เทพอัสนี
เนื่องจากค่ายกลที่เย่เย่ติดตั้งไว้มีความซับซ้อนมากกว่าที่เสี่ยวหยู และซูฉีเจี่ยจะควบคุมมันได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเขาจึงสั่งให้ทั้งสองและบรรดาลูกจ้างอยู่ตั้งรับภายในหอการค้า และไม่ได้สอนวิธีควบคุมค่ายกลเหล่านั้นให้แก่พวกเขา
ในเมืองหลิงเฉิงนอกจากตัวเย่เย่เองแล้วก็ไม่มีใครที่เชี่ยวชาญการใช้ค่ายกลมากพอที่จะพังค่ายกลของเขาลงได้เลย เสี่ยวหยูและบรรดาลูกจ้างภายในหอการค้าจึงไม่ได้รับอันตรายใดๆตราบใดที่ยังอยู่ในอาณาบริเวณของหอการค้า
แม้ว่าโจวไท่จะสามารถใช้วรยุทธ์ของเขาพังค่ายกลของเย่เย่ได้โดยง่าย แต่เป้าหมายของเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการสังหารเย่เย่ เขาไม่ได้สนใจเสี่ยวหยู หรือคนอื่นๆที่อยู่ในหอการค้าเลยแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้เขาจึงยังไม่ได้ลงมือทำอะไรมากนัก ได้แต่นั่งรอข่าวการปรากฏตัวของเย่เย่ในปราการของเขาอย่างใจเย็น
“แม่นางเสี่ยวหยู ปล่อยข้าไปเถอะ! ข้าจะไปฆ่าเจ้าคนถ่อยสามคนนั้น! ข้ารู้ดีว่าข้าคนเดียวทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยให้ข้าไปช่วยเจิ้งซูเถอะ!” ซูฉีเจี่ยยืนกรานความประสงค์ของตนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลังจากบรรดาลูกน้องที่ห้ามซูฉีเจี่ยก่อนหน้านี้ ได้ฟังปณิธานความแน่วแน่ของหัวหน้าพวกเขา พวกเขาต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับซูฉีเจี่ย
“ไม่ได้! อย่าบุ่มบ่ามสิ นี่อาจเป็นหลุมพรางที่พวกมันขุดไว้ ถ้าขาดเจ้าไปหอการค้าจะไม่ยิ่งตกอยู่ในอันตรายเหรอ? ถ้านายน้อยกลับมาจะให้ข้ารายงานนายน้อยว่ายังไง ห๊ะ?”
เสี่ยวหยูกัดฟันกรอด แม้แต่นางเองก็ทนไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายนางก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายน้อย และปฏิเสธคำขอของซูฉีเจี่ย
เมื่อเทียบกับซูฉีเจี่ย และคนอื่นๆแล้ว เสี่ยวหยูมีความผูกพันกับเจิ้งซูไม่น้อยไปกว่าใคร นางพบเจิ้งซูตั้งแต่ที่เขาติดตามเย่เย่มาทำงานที่หอการค้า ระหว่างนั้นนางก็เป็นเสมือนพี่เลี้ยงสอนงานให้กับเขา ดังนั้นตอนนี้นางจึงอยากช่วยเหลือเจิ้งซูไม่ต่างจากคนอื่นๆ แต่เมื่อพิจารณาจากรูปการณ์โดยรวมแล้วนางก็ไม่อยากนำหอการค้าหยูเย่ไปตกอยู่ในความเสี่ยง นางจึงได้แต่หายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ และรอการกลับมาของเย่เย่
ผู้อาวุโสตระกูลเจิ้งทั้งสามเมื่อเห็นหอการค้าคู่อริของพวกเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ จึงเริ่มดำเนินแผนยั่วยุขั้นถัดไปในทันที เจิ้งเฉิงพยักหน้าราวกับเรียกแผนให้เจิ้งกงรับหน้าที่ต่อ เจิ้งกงชี้หน้าเจิ้งซูก่อนที่จะป่าวประกาศออกไปเสียงดังราวกับว่าอยากให้สาธารณชนได้รับรู้
“เจิ้งซูเป็นความผิดพลาดของตระกูลเจิ้ง เป็นความอับอายของเมืองหลิงเฉิง นอกจากสนับสนุนหอการค้าของคนนอกให้มาแย่งที่ทำมาหากินของพวกเราแล้ว ยังนำพาวงศ์ตระกูลเข้าไปพัวพันกับความเป็นความตายตั้งหลายครั้งหลายครา เพื่อเป็นการไถ่โทษ ข้าจะตัดแขนของมันหนึ่งข้าง เพื่อเอาเลือดโสมมของมันออกมา!” หลังจากพูดจบประโยค เจิ้งกงชักดาบของเขาออกมาจากฝักที่ห้อยอยู่ข้างลำตัว เขามองไปที่ผู้คนภายในหอการค้า หยูเย่ด้วยสายตาเย้ยหยัน ก่อนที่จะยกดาบขึ้นหมายฟันแขนของเด็กหนุ่มให้ขาดสะบั้น
“หยุดนะ!!”
“ไอ้คนชั่ว ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ซูฉีเจี่ย และลูกน้องของเขาทนไม่ได้เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า พวกเขารีบวิ่งออกไปที่ลานประหารอย่างสุดกำลัง แม้แต่เสี่ยวหยูที่พยายามใจเย็นมาโดยตลอดก็ไม่ได้ห้ามอะไรพวกเขา อีกทั้งนางยังชักกระบี่ยาวออกมาพร้อมฟาดฟันศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความโกรธแค้น
ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงลานประหาร ดาบของเจิ้งกงกำลังเชือดเฉือนลงไปที่ไหล่ของเจิ้งซูอย่างช้าๆ
ฟ้าววววววววววววววววววววว
ทันใดนั้นเองมีกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งผ่านหน้าซูฉีเจี่ย และพรรคพวกที่กำลังวิ่งเข้าห้ำหั่นศัตรูไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
ฉัวะ!
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกก!”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงมขึ้น เจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่เจิ้งซูแต่อย่างใด แต่เป็นเจิ้งกงที่กำลังเงื้อดาบอยู่นั่นเอง
แขนขวาของเจิ้งกงถูกตัดขาดออกจากร่าง ลอยขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่จะตกลงมายังพื้นข้างล่างลานประหาร อย่างไรก็ตามกระบี่ลึกลับที่โฉบแขนของเขาไปอย่างรุนแรง กลับเปลี่ยนวิถีและค่อยๆบินไปตัดเชือกที่พันธนาการเจิ้งซูอยู่อย่างอ่อนโยน เด็กหนุ่มที่เป็นอิสระจากการถูกมัดก็กระโดดลงมาจากลานประหาร นัยน์ตาของเขาส่องประกายด้วยแสงแห่งความหวังอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านเย่!”
หลังจากที่เขาถูกมัดอยู่นานสามวันโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลย เขาก็พูดคำแรกออกมาด้วยความดีใจ
ฟ้าวววววววว ชึ่บ
หลังจากที่ช่วยเหลือเจิ้งซูสำเร็จ กระบี่ที่ถูกเรียกก็บินกลับสู่มือของเจ้าของอีกครั้งหนึ่ง เย่เย่เก็บมันเข้าฝักที่สะพายอยู่ด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษนะที่ข้ามาช้า!”
เย่เย่เดินเข้ามาหาเจิ้งซูและพูดกับเด็กหนุ่มผู้เปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆของตนด้วยความรู้สึกผิด
เมื่อเขากลับมาถึงหลิงเฉิงเขาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง มีสายตาของสายสืบจับจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตาตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาเดินเข้าประตูเมืองมา ด้วยความสงสัยเขาจึงจับสายสืบคนหนึ่งมาซักถามข้อมูล ทำให้เขามาช่วยเจิ้งซูได้ทันเวลาพอดิบพอดี
เย่เย่รู้ดีว่าสายสืบเหล่านั้นต้องคาบข่าวไปแจ้งโจวไท่แล้ว และโจวไท่จะออกมาไล่ล่าเขาในอีกไม่ช้า อย่างไรก็ตามด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ทำให้เย่เย่ไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ต่อให้โจวไท่ไม่ออกมาหาเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายไปหาโจวไท่ด้วยตัวเอง
โชคยังดีที่เขาสำเร็จขั้นเทพอสูรก่อนมาถึงหลิงเฉิง ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดที่ให้เขาช่วยเหลือเจิ้งซูจากเงื้อมมือของเจิ้งกงได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกผิดที่มักมองข้ามเรื่องของเจิ้งซู
“ท่านเย่ ท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าหรอก สิ่งที่ข้าทำไปทั้งหมดเพราะข้านับถือในตัวท่าน ต่อให้ข้าถูกพวกมันฆ่า ข้าก็ไม่เสียใจภายหลัง”
เจิ้งซูปาดน้ำตาแห่งความตื้นตันและพูดกับเย่เย่ด้วยความเคารพเทิดทูน
เจิ้งซูเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน เขารู้ดีว่าการที่เขามีวันนี้ได้ล้วนแล้วเป็นเพราะการสนับสนุนจากเย่เย่ และหอการค้าหยูเย่ หากเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือในวันนั้นป่านนี้เขาอาจเป็นทาสอยู่ในมุมมืดของหลิงเฉิงก็เป็นได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาทำให้เย่เย่นั้นมันไม่ได้มากเกินไปสำหรับเขาเลย
เย่เย่เมื่อเห็นความจงรักภักดีที่เจิ้งซูมีให้เขา เขากลับรู้สึกละอายใจขึ้นมา เดิมทีที่เขาช่วยเจิ้งซูนั้นเป็นเพียงเพราะเรื่องของธุรกิจ เมื่อเจิ้งซูได้กลายเป็นเจ้าตระกูลเจิ้งจะทำให้เขาได้ผู้สนับสนุนหลัก และโอกาสในการพัฒนาธุรกิจหอการค้าของเขา แต่เมื่อเขารู้สึกถึงความจริงใจของเจิ้งซู ทำให้เย่เย่เริ่มเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘ความรัก’
“พาเจิ้งซูกลับไปรักษา สามคนนั้นไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
เย่เย่ไม่รอช้ารีบสั่งการให้เสี่ยวหยู และซูฉีเจี่ยพาเจิ้งซูไปรักษาตัวในที่ปลอดภัยในทันที
“ขอรับ / เจ้าค่ะ!”
เสี่ยวหยูที่ตื่นเต้นกับการกลับมาของนายน้อย น้ำตาของนางก็ปริ่มออกมาด้วยความปีติยินดี ก่อนตอบรับคำสั่งของเย่เย่ อย่างเสียงดังฟังชัด
ซูฉีเจี่ยและบรรดาผู้พิทักษ์หอการค้าต่างมองหน้ากันและไม่ได้พูดอะไรให้มากความ พวกเขารู้ดีว่าหากเย่เย่กลับมาปัญหาทั้งหมดก็จะคลี่คลายลงได้โดยง่าย
เสี่ยวหยูและซูฉีเจี่ยรีบทำตามคำสั่งของเย่เย่ และพา เจิ้งซูกลับไปรักษาตัวภายในหอการค้า
“เย่เย่ เจ้ากล้าดียังไงกลับมาเหยียบเมืองหลิงเฉิงอีกเป็นครั้งที่สอง!?”
เจิ้งเฉิง และเจิ้งไคเจี่ยที่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเตรียมตัวตั้งรับการโจมตีของเย่เย่ด้วยความหวาดผวา
“พวกเจ้าจับเจิ้งซูมาเพราะกะจะล่อให้ข้าออกมาไม่ใช่หรือไง? นี่ข้าก็มาแล้วพวกเจ้ายังจะบ่นอะไรอีก?”
เย่เย่ยิ้มเยาะผู้เฒ่าทั้งสาม แม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในตระกูลเจิ้ง แต่การใช้ลูกไม้สกปรกอย่างการจับตัวเจิ้งซูเพื่อเรียกเขาออกมาทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ฮึ่ม! อย่าได้ใจไปหน่อยเลย อีกไม่นานท่านโจวไท่จะมาที่นี่และจะฆ่าล้างบางพวกเจ้าทั้งหมด!”
กบฏทั้งสามต่างพากันหวาดกลัวจิตสังหารที่เย่เย่แผ่ออกมา พวกเขารู้ดีว่าต่อให้สามคนร่วมมือกันพวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เย่เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นทั้งสามจึงเลือกใช้วิธีถ่วงเวลาเพื่อรอการมาถึงของโจวไท่
ฟุ่บ!
เย่เย่หายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาทั้งสาม และปรากฏตัวขึ้นที่ข้างหลังของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าคำรามดังขึ้นสามครั้งอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งสามทานทนการโจมตีไม่ไหวจึงล้มลงกับพื้น
“บ้าเอ๊ย! ฆ่าข้าเลยสิ!”
“เจ้าทำแบบนี้ทำไมกัน!?”
ในพริบตาเดียวผู้อาวุโสที่ลงไปกองอยู่กับพื้นก็ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้ราวกับเป็นอัมพาต สีหน้าของพวกเขาที่ก่อนหน้านี้ยิ้มระรื่น กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และความสิ้นหวัง
“เจ้าคิดว่าโจวไท่จะช่วยพวกเจ้าได้งั้นเรอะ!? เช่นนั้นข้าจะฆ่าโจวไท่ให้พวกเจ้าดูกับตาเองเลยก็แล้วกัน!”
เย่เย่จิกหัวเจิ้งเฉิงขึ้นมาก่อนพูดกับเขาอย่างไร้ความปรานี…