บทที่ 100
กำจัดขยะ
ทันทีที่เย่เย่ถึงที่เกิดเหตุ เขารีบแทรกตัวผ่านฝูงชนที่กำลังมุงดูสถานการณ์อยู่ทันที ทันใดนั้นเองชายคนหนึ่งก็ถูกผลักอย่างแรงจนกระเด็นมาตรงหน้าเขา ก่อนที่เสียงพูดอวดดีของ หยวนเซี่ยงหลีจะดังขึ้น
“ถอยไป! เจ้าอยากตายหรือไง? อย่ามายุ่มย่ามไม่เข้าเรื่อง!”
ชายรูปร่างสูงวัยเกือบสามสิบ หลังจากถูกผลักอย่างเต็มแรงก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“หะ..ให้อภัยข้าด้วย ข้าเห็นว่าพวกเขาไม่มีเงินจ่ายท่านจริงๆ ทำไมท่านจึงยังไม่ปล่อยพวกเขาไปอีกล่ะ?”
“หุบปาก! ที่นี่ถิ่นข้าหยวนเซียงหลีเว้ย! ถ้าอยากอยู่อย่างสงบสุขละก็พวกเจ้าทุกคนต้องจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้ข้านี่!” หยวกเซียงหลีตวาดอย่างไม่พอใจ พร้อมกับให้สัญญาณลูกน้องของเขารุมสั่งสอนชายผู้ที่ต่อปากต่อคำกับเขา
“ที่นี่ข้าคือกฎ เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาต่อล้อต่อเถียงกับข้า!?”
นอกจากที่เขาจะต้องการสั่งสอนชายคนนี้แล้ว เขายังต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูอีกด้วย หยวนเซียงหลีนั้นรู้ดีว่าสาเหตุที่พวกเขาไม่ยอมจ่ายเงิน นอกจากจะจนแล้วพวกเขายังหวังอยู่ลึกๆว่าจะมีคนมาช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ได้ เขาจึงลงโทษชายคนนี้ให้ดูเป็นตัวอย่าง
“หยุดนะ! อย่าทำท่านลุง ท่านลุงเป็นคนดี”
เด็กน้อยวิ่งออกมาจากอ้อมอกของพ่อแม่ และกางแขนเล็กๆทั้งสองข้างขึ้นเอาตัวขวางไม่ให้พวกอันธพาลทำร้ายคุณลุงได้ แม้ว่าฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบทำให้พูดไม่ชัดอยู่บ้าง แต่เด็กชายก็แสดงความกล้าหาญของเขาออกมา
ชายที่กำลังตกที่นั่งลำบากก็พูดกับเด็กหนุ่มขึ้นว่า “ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไร ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันทำอะไรชั่วๆได้อีก!”
“หมาน้อย กลับมานี่ลูก”
“กลับมาหาแม่นี่มา!”
ผู้ปกครองทั้งสองของเด็กชายเมื่อเห็นลูกของตนตกอยู่ในอันตรายจึงพยายามเรียกลูกอย่างกระวนกระวายใจ
อย่างไรก็ตามเด็กน้อยไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน เขายังยืนกรานที่จะปกป้องชายผู้ถูกทำร้าย ชายหนุ่มยิ้มให้ และลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู ก่อนเงยหน้าพูดกับหยวนเซียงหลีขึ้นอีกว่า
“เจ้าเชื่อในเรื่องเวรกรรมบ้างไหม?”
“เวรกรรม? ของแบบนั้นมันมีจริงสักที่ไหน อย่ามาขู่ข้าเสียให้ยากเลย! เจ้ารู้ไหมว่าลูกพี่ลูกน้องข้าเป็นใคร? จะบอกให้เอาบุญละกันลูกพี่ลูกน้องข้าเฉินติ้ง เป็นถึงพนักงานระดับสูงของหอการค้า
หยูเย่ ต่อให้เจ้าหนีข้าพ้นได้ แต่อย่าได้คิดว่าจะรอดจากเงื้อมมือของหอการค้าหยูเย่ซะล่ะ!”
สีหน้าของชายผู้เป็นเหยื่อยังคงสงบนิ่ง นั้นทำให้ หยวนเซียงหลีทวีความโกรธยิ่งขึ้นไปอีก และเริ่มสั่งให้ลูกน้องเขาลงมืออย่างไม่ลังเลแม้จะมีเด็กตัวกะเปี๊ยกขวางทางอยู่ก็ตาม
ทันใดนั้นเอง เย่เย่ก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชน เขามองหน้าหัวโจกก่อนพูดขึ้น
“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเฉินติ้งคือพนักงานระดับสูงของหอการค้าอย่างงั้นเรอะ!?”
หอการค้าหยูเย่ในปัจจุบันนั้นประกอบไปด้วย เย่เย่ประธานหอการค้า เสี่ยวหยูผู้บริหารกิจการโดยรวม และลูกจ้าง 3 ขั้น คือพนักงานระดับสูง พนักงานทั่วไป ซูฉีเจี่ยและเหล่าผู้พิทักษ์หอการค้า ในส่วนของพนักงานระดับสูงนั้นมีทั้งหมด 12 คนโดยที่พวกเขามีหน้าที่ดูแลพนักงานทั่วไปไม่ต่ำกว่า 100 คน ดังนั้นอำนาจของพวกเขาจึงมีไม่น้อยเลยทีเดียว
หากสิ่งที่หยวนเซียงหลีพูดเป็นความจริงล่ะก็ไม่แปลกใจที่จะไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับเขา แต่ไม่ใช่กับเย่เย่ เมื่อเขารู้เรื่องเขาจึงรีบบึ่งมาที่นี่ในทันที เขาจะไม่ปล่อยให้หยวนเซียงหลีทำตามใจชอบโดยแอบอ้างชื่อหอการค้าได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามหยวนเซียงหลีนั้นไม่รู้หน้าคร่าตาเย่เย่มาก่อน เขาจึงรู้สึกโกรธเคืองที่มีคนกล้ามาตั้งคำถามกับเขา ก่อนที่เขาจะตอบกลับเย่เย่
“ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม? เฉินติ้งเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าจริง แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร!?”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย ข้าหมายความว่าถ้าลูกพี่ลูกน้องเจ้าเป็นคนสั่งเจ้าให้ทำแบบนี้ล่ะก็ เขาโดนไล่ออกแน่”
หยวนเซียงหลีได้ยินเย่เย่ตอบกลับดังนั้น เขาก็หัวเราะด้วยเสียงเหยียดหยาม “เหอะๆๆ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเจ้าของหอการค้าหยูเย่หรือไง? ข้าจะบอกอะไรดีๆให้ต่อให้เจ้าไปร้องเรียนเกี่ยวกับข้าหรือลูกพี่ลูกน้องข้า ก็ไม่มีใครเห็นหัวเจ้าหรอก เจ้าโง่! รีบไสหัวไปซะ ข้าจะจัดการกับเจ้าทีหลัง”
หลังจากที่หัวโจกอันธพาลข่มขู่เย่เย่ ชายผู้ตกเป็นเหยื่อเมื่อสักครู่ เขามองเย่เย่อย่างไม่วางตาราวกับรู้ตัวตนของชายผู้ที่มาช่วยเขา
หยวนเซียงหลีเมื่อเห็นเย่เย่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เขาก็เรียกลูกน้องให้โอบล้อมเย่เย่เอาไว้ เย่เย่ไม่รอช้าเปิดฉากการโจมตีตบไปที่หน้าของหยวนเซียงหลีอย่างออมมือ
เพี๊ยะ
“ไอ้นี่วอนหาเรื่องซะแล้ว! นี่แกเอาความกล้าแบบนั้นมาจากไหน ไปกินหัวใจสิงห์มาหรือไง?”
หยวนเซียงหลีเริ่มหมดความอดทน เขาจึงสาวหมัดไปที่ใบหน้าของเย่เย่
เปรี้ยงงงง!
เย่เย่ไม่รอให้หมัดเชื่องช้ากระทบกับใบหน้าของเขา เขาชิงตบหน้าของหยวนเซียงหลีด้วยหลังมืออย่างรุนแรง ร่างของหัวโจกกระเด็นไปไกลจนกลุ่มไทยมุงต้องแยกตัวออกเพื่อหลบ ก่อนที่เขาจะล้มลง เมื่อเขาลุกขึ้นมาเอาก็กุมแก้มที่บวมเป่งของเขา เขามองไปที่เย่เย่ด้วยความเคียดแค้น ลูกน้องของเขากรูเข้ามาล้อม เย่เย่โดยที่ไม่ต้องรอคำสั่งของเขา
“นี่แก!? เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง”
“กล้าดียังไงมาเล่นทีเผลอกับหัวหน้าของพวกข้า!?”
“ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงแล้ว ฆ่ามันเลย!”
กลุ่มอันธพาลพุ่งเข้าหมายเอาชีวิตเย่เย่ แต่เย่เย่ยังคงยืนถอนหายใจด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขากวาดเท้าสกัดการโจมตีของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
กลุ่มนักเลงที่วิ่งเข้าไปต่างล้มลงอย่างระเนระนาด ในสายตาของเย่เย่แล้วพวกเขาไม่ต่างอะไรกับกระสอบทรายที่เขาใช้ฝึกสมัยที่ยังเป็นจ้าววรยุทธ์อยู่เลยแม้แต่น้อย
“แกนะแก! หอการค้าหยูเย่ไม่ปล่อยแกไว้แน่!!!”
หัวโจกคนเถื่อนไม่มีท่าทีว่าล้มเลิกความพยายามที่จะข่มขู่ประธานหอการค้าหยูเย่ ทำให้เย่เย่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เฮ้ออ ขืนพูดแบบนั้นอยู่อีกละก็ระวังจะไม่ได้กลับมาหลิงเฉิงอีกเป็นครั้งที่สองนะ!”
“หะ..หรือ หะ…หรือว่าแกคือ..!?”
ขณะนั้นเองก็มีเสียงเท้านับสิบมุ่งหน้ามาที่สถานที่เกิดเหตุ ซูฉีเจี่ยและพรรคพวกได้ฝ่าฝูงชนเข้ามาหาเย่เย่ ก่อนจะพูดกับเขาด้วยความเคารพ
“ท่านประธาน! กองกำลังขอข้ามาถึงแล้ว! ได้โปรดออกคำสั่งด้วย”
“ทะ…ท่านประธานอย่างงั้นเหรอ!!?”
เมื่อหยวนเซียงหลีเห็นซูฉีเจี่ย และผู้พิทักษ์แห่งหอการค้าหยูเย่มาถึง เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาเห็นซูฉีเจี่ยเรียกเย่เย่ว่าท่านประธานนั้นมันยิ่งทำให้เขาอยากแทรกแผ่นดินหนีไปเสียตอนนี้เลย
เย่เย่ไม่ใช่คนใจอ่อนเป็นทุนเดิม เขาจึงชี้ไปที่ หยวนเซียงหลี และพูดว่า “ฝากกำจัดขยะกองนั้นด้วย หักขาพวกมัน ให้พวกมันชดใช้เงินเป็นสองเท่าจากที่พวกมันปล้นไปคืนให้กับเหยื่อ และเนรเทศพวกมันออกไปจากหลิงเฉิงซะ! เมื่อเจ้ากลับไปที่หอการค้าเรียกคนที่ชื่อเฉินติ้งมาพบข้า ไม่ว่าเขาจะรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ ข้าจะให้เขารับโทษอย่างสาสม!”
“ขอรับ!” ซูฉีเจี่ยตอบรับคำสั่งของเย่เย่ด้วยเสียงดังฟังชัด เขาได้นำกองกำลังของเขาเข้าจับกุมหยวนเซียงหลี และพรรคพวกอันธพาลของเขาในทันที
“เลือกมา! เจ้าจะยอมหักขาด้วยตัวเอง หรือจะให้พวกข้าค่อยๆบดขยี้มันล่ะ?” ซูฉีเจี่ยถามพวกเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขานั้นรู้สึกขัดใจกับบทลงโทษของเย่เย่ เพราะถ้าหากเขาเลือกได้ละก็เขาจะไม่ปล่อยให้ขยะสังคมพวกนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปแน่
“ท่านประธานเย่! พวกเราผิดไปแล้ว โปรดให้อภัยพวกเราด้วยเถอะ! พวกเราไม่กล้าทำอีกแล้ว!!”
หยวนเซียงหลี และพรรคพวกคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา เพื่อหวังจะได้รับการยกโทษ หรือลดหย่อนโทษลงบ้างก็ยังดี
เย่เย่ไม่แยแสพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เขาข้ามหัวกลุ่มนักเลงที่ก้มหัวให้เขาอย่างน่าสมเพช เดินตรงไปหาผู้เคราะห์ร้ายในครั้งนี้ ก่อนที่เขาจะโค้งให้กับสามพ่อแม่ลูกที่ตกเป็นเหยื่อ และพูดขึ้น
“ต้องขออภัยด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความสะเพร่าของข้าเองที่มีคนแอบอ้างชื่อหอการค้าของข้ามาทำร้ายพวกท่านเช่นนี้ หวังว่าพวกท่านจะไม่ถือสาเอาความหอการค้าของข้า”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็ดึงตั๋วทองจำนวนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะส่งให้พวกเขาและพูดขึ้นอีกว่า
“นี่เป็นความปรารถนาดีเล็กๆน้อยๆจากข้า ข้าหวังว่าท่านจะนำมันไปซื้อกับข้าวอร่อยๆให้กับลูกของท่าน เขาเป็นเด็กที่กล้าหาญ และมีอนาคตไกล”
สองพ่อแม่ของเด็กต่างมองหน้ากันและตกตะลึงกับเงินจำนวนมหาศาลอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดขอบคุณเย่เย่อย่างซาบซึ้งใจ “ขอบพระคุณท่านประธาน ขอบพระคุณท่านประธาน!