บทที่ 102
ตกรางวัล
มู่หรงเจิ้งเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จึงงัดไม้เด็ดออกมา เขาบีบประคำห้วงสมุทรจนแตกละเอียดเพื่อป้องกันการโจมตีของเย่เย่
เปรี๊ยะ
โล่พลังงานทรงกลมสีฟ้าใส คล้ายกับฟองสบู่ก่อตัวขึ้นและห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ในทันที มือของเย่เย่ที่กำลังคว้าตัวเขาไว้ก็ถูกดีดออกอย่างแรง เย่เย่ที่ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ฮะ ฮ่า ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งแค่ไหน เจ้าก็จับข้าไม่ได้หรอก! ด้วยพลังของประคำเม็ดนี้ ข้าก็ไม่ต้องกลัวเจ้าอีกต่อไป พวกเจ้าเตรียมรอรับศึกใหญ่ได้เลย!”
มู่หรงเจิ้งเมื่อเห็นการโจมตีของเย่เย่ถูกปัดป้องด้วยโล่ฟองสบู่ เขาเริ่มได้ใจ และพูดจาถากถางศัตรู ก่อนพุ่งตรงไปยังโถงกลาง วาจาโอ้อวดของเขาดังไปทั่วโถงกลาง แม้กระทั่งลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยก็ยังได้ยินเสียงของเขา
โล่พลังงานนี้มีระยะเวลาการใช้งานถึงครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มจึงมั่นใจมากว่าในระยะเวลาจำกัดนี้ด้วยความเร็วของเขาจะหลบหนีจากเมืองหลิงเฉิงได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยวรยุทธ์ของเย่เย่นั้นเกินกว่าที่มู่หรงเจิ้งนั้นคาดคิดเอาไว้มาก เย่เย่ไม่ได้ไล่ตามชายหนุ่มแต่อย่างใด แต่ขว้างกระบี่เทพอัสนีพุ่งตามหลังเขามาอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า
ตู้มมมม!
โล่ทรงพลังเมื่อถูกโจมตีด้วยกระบี่ของเย่เย่ ก็เริ่มสั่นสะเทือน และเกิดรอยร้าวขึ้นราวกับว่ามันจะแตกออก
สีหน้าของชายหนุ่มก็ซีดเผือดลงด้วยความหวาดกลัว เมื่อรอยปริของโล่พลังงานเริ่มผสานกลับมาอีกครั้งเขาก็โล่งอก และรีบเร่งฝีเท้าออกไปจากที่นี่โดยเร็ว
เปรี้ยงงงงง!
อีกเพียงก้าวเดียวชายหนุ่มก็จะหลบหนีได้สำเร็จ แต่ทว่ากระบี่ของเย่เย่ก็จู่โจมเขาอีกครั้งหนึ่งอย่างรุนแรง
โพล๊ะ!
โล่ฟองสบู่ของเขาแตกออกราวกับลูกโป่งน้ำที่โดนเข็มเจาะ มู่หรงเจิ้งที่เหาะเหินเดินอากาศก็ร่วงลงสู่พื้นอย่างไม่เป็นท่า
ตุ๊บ
“อั่กกก”
ชายหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นเพื่อหลบหนีอย่างลุกลี้ลุกลน แต่มันก็สายเกินไป กระบี่เทพอัสนีได้จ่อที่คอหอยของเขาเป็นที่เรียบร้อย
“ข้าคือบุตรแห่งตระกูลมู่หรง! ถ้าเจ้าข้าฆ่า พวกเขาไม่เอาเจ้าไว้แน่!!”
ระหว่างเย่เย่และตระกูลมู่หรงนั้นไม่ได้มีความแค้นกันมาก่อน หากมู่หรงเจิ้งอ้อนวอนขอชีวิตเย่เย่ก็คงปล่อยเขาไปแต่โดยดี แต่เขากลับเลือกที่จะข่มขู่เย่เย่ด้วยวาจาดูหมิ่นเหยียดหยามและไม่ให้เกียรติ เย่เย่จึงทำให้เขาได้สมความปรารถนา
“น่าเสียดาย ที่เจ้าจะไม่ได้เห็นวันนั้น” เย่เย่ควบคุมกระบี่ของเขาจากระยะไกล และเสียบมันจนทะลุลำคอของมู่หรงเจิ้ง อย่างไร้ความปรานี ร่างของชายหนุ่มล้มลง เขาตายสนิทแต่ดวงตายังคงเบิกโพลงด้วยความอาฆาตแค้น
หลังจากที่ให้ลูกจ้างเก็บศพของมู่หรงเจิ้งแล้ว สีหน้าของเย่เย่นั้นเคร่งเครียดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เขารู้ดีว่าตระกูลมู่หรงนั้นกำลังเล็งจะครอบครองเมืองหลิงเฉิงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อบุตรชายคนสำคัญของพวกเขาตาย พวกเขาก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะบุกโจมตีเมืองหลิงเฉิงแล้ว
เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งเมืองหลิงเฉิง เย่เย่ตัดสินใจเรียกรวมพลเหล่าตัวแทนจากทุกขุมกำลังเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนรับมือตระกูลมู่หรง ประกอบไปด้วยหอการค้าตันเซียง ขั้วอำนาจทั้งสาม และตระกูลทั้งน้อยใหญ่
แม้ว่าตระกูลน้อยใหญ่จะไม่มีอำนาจมากเท่ากับขั้วอำนาจใหญ่ๆ แต่พวกเขาก็เป็นที่นับหน้าถือตาของชาวเมือง ยกตัวอย่างเช่น เทพอสูรตู๋กู่ เหยียน แม้ว่าตัวเขาจะแข็งแกร่ง แต่เขาไม่ชอบสุงสิงกับใครอีกทั้งยังเป็นคนซื่อๆตรงไปตรงมา เขาจึงไม่เป็นที่ยอมรับของขั้วอำนาจทั้งห้าในยุคก่อน อย่างไรก็ตามชาวเมืองนั้นให้การเคารพนับถือตู๋กู่ผู้นี้มาก หากได้รับการสนับสนุนจากเขาจะทำให้เมืองหลิงเฉิงเป็นปึกแผ่นมากขึ้น
อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เย่เย่จึงต้องเอาตัวรอดด้วยตัวเองอีกเช่นเคย เขาวางแผนที่จะสำเร็จวิชาสลาตันฟ้าคำรามให้ได้โดยเร็ว แม้ว่ามันจะยากเย็นแต่เขาเริ่มเข้าใจการควบคุมสายฟ้าจากการใช้กระบี่เทพอสนีขึ้นมาบ้างแล้ว สิ่งที่เขาขาดอยู่นั้นคือการควบคุมธาตุลม แม้ว่าเขาจะควานหา ไอเทมที่มีคุณสมบัติของลมในระบบ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ซึ่งทำให้การฝึกวิชายุทธ์นี้กินเวลานานเข้าไปอีก
‘หากยังไม่สำเร็จวิชาสลาตันฟ้าคำรามละก็ เมืองหลิงเฉิงจะตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่’ เย่เย่อดถอนหายใจด้วยความเซ็งไม่ได้ เขาจึงให้เสี่ยวหยูเรียกรวมพลเหล่าขั้วอำนาจอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เจิ้งซู และเหยียนซื่อจะเข้าพบเขา
“ข้าน้อยขอคารวะท่านเย่!”
ทั้งสองพูดเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนโค้งคำนับเย่เย่ด้วยความอ่อนน้อม
“นั่งได้!”
เย่เย่สั่งให้พวกเขานั่งลง ทั้งเจิ้งซูและเหยียนซื่อต่างไม่รู้สาเหตุที่เย่เย่เรียกพวกเขาเข้าพบ พวกเขาจึงคาดเดาไปต่างๆนานา
เย่เย่รินน้ำชาให้พวกเขาทั้งสองด้วยตัวเอง ก่อนจะพูดกับเจิ้งซูด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ถอดเกราะทะลวงสวรรค์ออกซะ มันไม่เหมาะกับเจ้าแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงของเย่เย่ บรรยากาศภายในห้องก็เงียบสงัดด้วยความตึงเครียด เจิ้งซูคิดว่าเย่เย่ผิดหวังในตัวเขา เขาจึงยืนขึ้นก่อนกล่าวขอโทษต่อเย่เย่ “ท่านเย่ เจิ้งซูผิดไปแล้วที่ปล่อยให้ เจิ้งเฉิงและพรรคพวกก่อเหตุโดยพลการ ข้าน้อยสมควรตาย ได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วยเถอะ!”
เจิ้งซูถอดชุดเกราะทะลวงสวรรค์ออก ยื่นมันออกมาวางข้างหน้า และคุกเข่าลงด้วยความรู้สึกผิด เหยียนซื่อที่ได้เห็นเกราะทะลวงสวรรค์ที่เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ของมันก็เกิดความโลภภายในจิตใจ เย่เย่ที่เห็นเจิ้งซูเข้าใจผิดไปไกล เขาจึงยิ้มออกมาและพูดขึ้น
“ลุกขึ้นซะ ข้าไม่ได้จะลงโทษเจ้าสักหน่อย เพียงแต่เกราะทะลวงสวรรค์นั้นมันไม่เหมาะกับขึ้นเทพยุทธ์แล้วเท่านั้นเอง”
“ขั้นเทพยุทธ์? ท่านเย่ ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
เจิ้งซูลุกขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสน แน่นอนว่าเขาอยากสำเร็จขั้นเทพยุทธ์แทบใจจะขาด แต่ด้วยความสามารถของเขา ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าชาตินี้เขาจะได้มีวันนั้นไหม แม้ว่าเกราะนี้ทำให้เขามีวรยุทธ์เทียบเท่ากับเทพยุทธ์ แต่หากไร้ซึ่งเกราะแล้วเขาก็ยังคงเป็นเจ้าวงวรยุทธ์ดาดๆทั่วไป ทำให้เขาไม่อยากเสียเกราะนี้ไป
อย่างไรก็ตามเจิ้งซูก็เคารพการตัดสินใจของเย่เย่ เขาจึงไม่ลังเลที่จะถอดเกราะออก และเก็บงำความรู้สึกเสียดายไม่ให้ เย่เย่เห็น
เย่เย่ที่เข้าใจหัวอกของเด็กหนุ่มเป็นอย่างดีก็พูดปลุกขวัญกำลังใจของเขากลับมา “ไม่ต้องเสียใจไป พรสวรรค์นั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือความพยายาม ความจงรักภักดีของเจ้าข้าเห็นหมดแล้ว ยาจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์นี้เป็นของตอบแทนความดีของเจ้า” เมื่อเย่เย่ส่งยานี้ให้แก่เจิ้งซู ในใจของเหยียนซื่อก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
พวกเขาทั้งสองต่างต้องการไขว่คว้าพลังเทพยุทธ์มาในครอบครอง ยาจิตวิญญาณแห่งสรวงสวรรค์จึงเปรียบเสมือนทางลัดสู่ความสำเร็จสำหรับพวกเขา ด้วยราคาที่สูงลิ่วจากการประมูลครั้งล่าสุดของมันทำให้พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะได้สัมผัสมันมาก่อน จนกระทั่งเย่เย่ได้นำมันออกมาให้กับเจิ้งซูทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง
ภายในจิตใจของเจิ้งซูนั้นเปี่ยมไปด้วยความตื้นตันใจ ในขณะที่เหยียนซื่อได้แต่มองเขาด้วยความอิจฉา และหวังเพียงว่าเย่เย่ก็จะมอบสิ่งนั้นให้กับเขาเช่นเดียวกัน
“ท่านเย่ นี่มันจะไม่แพงเกินไปหน่อยหรือ?” เจิ้งซูที่ลังเลว่าจะรับยาหรือไม่ ก็ถามเย่เย่ขึ้นเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
เหยียนซื่อที่ได้ยินเจิ้งซูพูดดังนั้น ในใจเขายิ่งร้อนรุ่มไปด้วยไฟริษยา เขาแทบอยากจะเหยียบเจิ้งซูให้จบดินและชิงมันมา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เย่เขาจึงไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น…