บทที่ 104
คำมั่นสัญญา
หลังจากเหยียนซื่อออกไปจากห้อง เย่เย่ก็เรียกเสี่ยวหยูเข้าพบและบอกให้นางวางมือจากการเป็นผู้จัดการหอการค้า เดิมทีเย่เย่คาดว่าเสี่ยวหยูจะคัดค้านเขา แต่นางกลับลังเลเพียงเล็กน้อยก่อนตอบตกลง “รับทราบเจ้าค่ะ ข้าจะรีบส่งมอบงานให้คนอื่นโดยเร็วที่สุด”
แม้ว่าเย่เย่ยังหาคนที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาแทนเสี่ยวหยูไม่ได้ แต่หอการค้าในตอนนี้ก็นับว่าเข้ารูปเข้ารอยอย่างที่เขาหวัง เพียงแค่ซูฉีเจี่ยและพนักงานระดับสูงคนอื่นๆก็ควบคุมดูแลกิจการรายวันได้ ดังนั้นต่อให้เสี่ยวหยูลดบทบาทลงก็จะไม่กระทบธุรกิจโดยรวม
“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนนักหรอก เจ้าค่อยวางมือหลังจากที่ข้าหาคนมาแทนเจ้าได้แล้วก็ได้” เย่เย่คาดไม่ถึงว่าเสี่ยวหยูจะเป็นกังวลเช่นเดียวกับเขา
อย่างไรก็ตามเสี่ยวหยูเป็นถึงหนึ่งในผู้ก่อตั้งหอการค้า นางจึงมีความรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อกิจการนี้มาก ทำให้เย่เย่ต้องเตรียมคำพูดต่างๆนานามาเพื่อหว่านล้อมนาง แต่นางกลับตอบกลับในทันทีโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เย่เย่ใช้คำพูดที่เตรียมมาอย่างดีเลยแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่าเย่เย่นั้นต้องการให้นางกลับไปฝึกวิชายุทธ์เพิ่มเติม
“นายน้อย พวกเรามาอยู่ในหลิงเฉิงได้เพียงไม่ถึงปี แต่พวกเราก็ฝ่าฟันอะไรด้วยกันมาเยอะ นายน้อยสำเร็จวิชาเลื่อนขั้นจากเทพยุทธ์ขึ้นเป็นเทพอสูรได้ แต่ข้ายังคงเป็นเพียงจ้าววรยุทธ์ที่ต่ำต้อย ทุกครั้งที่นายน้อยต้องเสี่ยงอันตราย แต่ข้ากลับช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย ข้าเป็นตัวถ่วงท่านมาโดยตลอด…”
“ด้วยวรยุทธ์ที่ก้าวกระโดดของนายน้อยทำให้ข้ากลัว กลัวมาโดยตลอดว่าวันหนึ่งข้าจะเสียท่านไป…ต่อให้ท่านไม่พูดอะไรข้าก็จะวางมือแล้วกลับไปฝึกวิชายุทธ์เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงของท่าน”
เย่เย่สังเกตเห็นความกังวลที่สะท้อนมาจากดวงตาของนาง เสี่ยวหยูนั้นรู้ตัวดีว่าต่อให้นางพยายามแค่ไหนวรยุทธ์ของนางก็ไม่มีทางตามเย่เย่หรือคนอื่นๆทัน ต่อให้ได้รับการสนับสนุนจากเย่เย่นางก็ยังคงไม่มั่นใจว่าเส้นทางบนยุทธภพนี้เหมาะสมกับนางหรือไม่ เส้นทางที่เอาชีวิตแขวนไว้บนเส้นด้ายบางๆ หากเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ก็จะแข็งแกร่งขึ้น แต่หากแพ้ก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป เพียงแค่ชีวิตในปัจจุบันของนางก็เกินจินตนาการของสาวใช้ตัวเล็กๆคนหนึ่งไปมาก นางต้องการแค่ชีวิตที่สงบสุขและได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนที่นางรัก
วรยุทธ์ของเย่เย่ในปัจจุบันนั้นล้ำหน้าเสี่ยวหยูไปถึงสองก้าวใหญ่ๆ ซึ่งแม้มันจะทำให้นางภูมิใจในตัวเขา แต่ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกโดดเดี่ยวราวกับถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เย่เย่ไม่เคยคิดเลยว่าเสี่ยวหยูที่เคารพเชื่อฟังเขามาโดยตลอด นางจะมีความคิดเป็นของตัวเองถึงเพียงนี้ จากสาวใช้ประจำตระกูลเล็กๆได้เติบโตเป็นผู้นำแห่งหอการค้าหยูเย่อย่างเต็มตัว
เย่เย่มองนางด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป นางใส่ชุดโบราณสีเขียวยาวดูสง่างาม แต่ก็ไม่ได้ดูหรูหราแต่อย่างใด ผมดำยาวสลวย ใบหน้าที่แต่งเติมไปด้วยเครื่องประทินผิวเพียงเล็กน้อยทำให้นางดูอ่อนเยาว์และงดงาม แม้ว่าการแต่งตัวของนางจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่เขาคุ้นเคย แต่เย่เย่กลับรู้สึกว่าวันนี้นางนั้นสวยเป็นพิเศษทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัวขึ้นอีกครั้ง เขาจับมือคู่เล็กที่เย็นเฉียบไปด้วยความตึงเครียดขึ้นมาก่อนพูดกับนางด้วยความอ่อนโยน
“หลังจากจบศึกกับตระกูลมู่หรง พวกเราแต่งงานกันนะ”
“!?” เสี่ยวหยูที่ก้มหน้ามองสองมือของเย่เย่ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง เย่เย่ยิ้มกว้างให้กับเสี่ยวหยูก่อนพูดย้ำกับนางอีกที
“เมื่อหอการค้าของเราพ้นภัย เรามาแต่งงานกันนะ” เป็นครั้งแรกในชีวิตของเย่เย่ที่ได้ขอผู้หญิงแต่งงาน หัวใจของเขาจึงเต้นแรงเป็นพิเศษ
ตั้งแต่ที่เขาได้ข้ามมาอยู่ในโลกฝั่งนี้ในร่างของเย่เย่ เขาได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าในโลกก่อนของเขา เขาขอบคุณพระเจ้าที่ประทานโอกาสให้ชีวิตดีๆกับเขาอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิด แต่เมื่อเขาได้ครอบครองจี้หยกเจิ้งฮุนเขาจึงตัดสินใจปิดบังตัวตน และวางแผนที่จะใช้ชีวิตอยู่ในหลิงเฉิงต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงการพิพากษาของทัณฑ์สวรรค์
“นายน้อย….”
เสี่ยวหยูมองเย่เย่ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้าไปด้วยความปีติยินดี ก่อนเข้าโผกอดซุกอกนายน้อยผู้เป็นที่รักของนาง
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่หนีเจ้าไปไหนหรอก”
เย่เย่กอดเสี่ยวหยูที่โถมตัวเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ปล่อยให้เสี่ยวหยูเช็ดน้ำตาที่แผ่นอกของเขาอยู่อย่างนั้น เป็นครั้งแรกที่วิญญาณจากทั้งสองโลกจะเชื่อมเข้าหากัน แต่ทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกเขานั้นไม่ยืนยาวเสมอไป…
ในขณะเดียวกัน ณ ที่ทำการของทัณฑ์สวรรค์ในแผ่นดินฉางหลาง ชายสองคนกำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่อย่างเคร่งเครียด ทันใดนั้นเองชายคนหนึ่งก็ได้พูดขึ้น
“วิญญาณกลับชาติมาเกิดตนนั้นได้รับการยืนยันหรือยัง?”
เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ทันใดนั้นเองสภาพอากาศที่แปรปรวนและมีเมฆหนาปกคลุมท้องฟ้า กลับมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาที่ทั้งสองนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่
“ยืนยันแล้ว มันอยู่ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ไม่ผิดแน่” ชายอีกคนตอบกลับขณะที่พวกเขายังคงหมกมุ่นอยู่กับหมากรุกอยู่ แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาเริ่มร้อนแรงขึ้นทุกชั่วขณะแต่พวกเขายังคงนั่งเล่นกันอย่างสบายใจราวกับพวกเขาได้รับพลังงานจากความร้อนนั้น
พวกเขาดูดซับพลังความร้อนนั้นแปรเปลี่ยนเป็นพลังในการชำระล้างความมืดมิดให้หมดไปจากโลกใบนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะขัดขวางพวกเขาจะต้องถูกแผดเผาให้กลายเป็นเถ้าถ่านและ สลายมลายหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล
“เช่นนั้น ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”
ชายที่ตั้งคำถามก็ลุกขึ้น และเดินออกไปจากสวน ก่อนที่แสงจะสาดส่องลงมาทำให้เขาหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ ชายอีกคนก็นั่งเล่นหมากรุกต่อด้วยตัวคนเดียวอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ณ หอการค้าหยูเย่ เสี่ยวหยูประกาศลาออกจากงานหลังจากที่ได้รับคำมั่นสัญญาจากเย่เย่ บรรดาลูกจ้างต่างพากันเคารพการตัดสินใจของนาง และพวกเขายังคงตั้งใจทำงานเพื่อทดแทนในส่วนของเสี่ยวหยู
หลังจากที่เสี่ยวหยูลาออก เย่เย่ก็ได้จัดเตรียมคู่ฝึกที่เป็นจ้าววรยุทธ์ไว้ให้นางได้ขัดเกลาฝีมือ เขาวางแผนที่จะเลื่อนขั้นให้เสี่ยวหยูทันทีที่นางสามารถควบคุมพลังได้อย่างคงที่ ระหว่างนั้นเขาจึงให้นางฝึกฝนเพื่อปรับสมดุลพลังไปก่อน
หลังจากนั้นสองวันเหล่าผู้นำของขั้วอำนาจต่างๆก็มารวมตัวกันที่หอการค้าหยูเย่ตามที่เย่เย่นัดหมาย เย่เย่ได้ปรึกษาหารือกับพวกเขาเกี่ยวกับแนวทางในการรับมือการคุกคามของตระกูลมู่หรง อย่างไรก็ตามเขาไม่เห็นวี่แววของตู๋กู่ เหยียนผู้เป็นที่นับหน้าถือตาของชาวเมืองมาร่วมการประชุมในครั้งนี้ ก่อนที่จะมีผู้เข้าร่วมประชุมท่านหนึ่งพูดอธิบายสาเหตุขึ้น
“เรียนท่านประธานเย่ ท่านตู๋กู่นอนซมไข้พิษจากการฝึกซ้อมในครั้งที่แล้ว เขาบอกข้ามาว่าเขายินดีช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง ขอให้ท่านเย่โปรดวางใจ…”