บทที่ 111
ทูตสวรรค์
เหยียนลี่หยางเปิดประตู และเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวของเย่เย่ที่ตั้งอยู่ที่ชั้น 7 อย่างช้าๆ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้น “ท่านเย่ ท่านปลอดภัยดีใช่ไหมขอรับ?”
ชายหนุ่มวัยกลางคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากเย่เย่ยังคงสุภาพนอบน้อมต่อผู้มีพระคุณของเขา แต่เย่เย่นั้นกลับรู้สึกผิดที่ไม่ได้ตอบรับคำเชิญของชายหนุ่มเมื่อครั้งก่อน
“ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆที่ข้าไม่สามารถไปตามที่เจ้านัดหมายไว้ได้” เย่เย่กล่าวกับชายวัยกลางคนอย่างรู้สึกผิด
“มิได้ มิได้ ข้าทราบดีว่าท่านกำลังยุ่งกับการวางแผนรับมือตระกูลมู่หรงอยู่” หนุ่มใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้ถือสาเอาความเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่อย่างใด
“เชิญนั่งก่อน ท่านลี่หยางไม่ทราบว่าท่านมีธุระอันใดกับข้ารึ?” เย่เย่กล่าวเชิญแขกของเขานั่งลงพร้อมรินชาร้อนๆลงในแก้วของแขก ก่อนที่จะรินให้ตน และถามถึงความตั้งใจของแขกหนุ่มอย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าในสายตาของเย่เย่เหยียนลี่หยางผู้นี้จะดูพิเศษกว่าคนทั่วๆไป แต่เขาก็ไม่อยากผลาญเวลาอันมีค่าของเขามากนัก เย่เย่จึงไม่อ้อมค้อมและพูดเข้าประเด็นในทันที
หลังจากที่ลี่หยางจิบชาเบาๆและวางแก้วลง เขาจึงถามเย่เย่ขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไรกับสถานการณ์ปัจจุบันของแผ่นดินฉางหลางบ้าง”
เย่เย่ที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจคำถามของชายกลางคน เขาจึงขมวดคิ้วก่อนถามกลับไป
“ที่ว่ามาท่านหมายความว่าอย่างไรรึ?”
“เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้ท่านเข้าใจง่ายๆก็แล้วกัน ในโลกที่สับสนวุ่นวายเช่นทุกวันนี้ ท่านไม่คิดจะใช้โอกาสนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ท่านเป็นอยู่บ้างหรือ?” แขนทั้งสองข้างของเหยียนลี่หยางเท้าโต๊ะ มือสองข้างของเขาประสานกันอยู่ใต้คาง และถามเย่เย่พลางชายตามองเขาอย่างไร้ความยำเกรง
เมื่อเย่เย่ได้ยินดังนั้น เขาก็ไม่ลังเลที่ยกมือขึ้นโบกไปมา และพูดปฏิเสธหนุ่มใหญ่ในทันที “ข้าเกรงว่าจะทำให้ท่านผิดหวังเสียแล้ว หากท่านมาเพื่อชวนข้าไปกระทำการใหญ่ละก็ เชิญกลับไปเถอะ!”
หลังจากที่หอการค้าหยูเย่ของเขาได้ขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในหลิงเฉิง และได้หมั้นสาวงามอย่างเสี่ยวหยู ชีวิตนี้เขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก ดังนั้นความคิดที่จะยึดครองอำนาจหรือแม้กระทั่งล่าอาณานิคมจึงไม่มีอยู่ในหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย
ชายกลางคนเห็นความมุ่งมั่นในดวงตาของเย่เย่ แทนที่เขาจะผิดหวังที่ถูกปฏิเสธ เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าไม่คิดว่าท่านจะปฏิเสธข้าอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ ข้าทราบดีว่าท่านเป็นคนตรงไปตรงมา และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล แต่ข้าอดขำไม่ได้ที่ผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านกลับโหยหาชีวิตที่สงบสุขในกลียุคเช่นนี้!?”
ก่อนที่หนุ่มใหญ่เข้าพบเย่เย่ เขาก็ได้ศึกษาประวัติของ เย่เย่มาบ้างแล้ว นอกจากนี้เขายังค้นพบความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้ของประธานหอการค้าผู้นี้ จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขานอกจากเพื่อยืนยันการคาดเดาแล้วยังต้องการซักไซ้ข้อมูลจากปากของ เย่เย่อีกด้วย แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้ามกับที่เขาคาดไว้
“ท่านอย่าได้เข้าใจข้าผิดไปสิ ข้าไม่ได้มาเพื่อชักชวนท่านไปทำอะไรเช่นนั้นสักหน่อย เพียงแต่ต้องการแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดของท่านที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันเท่านั้นเอง” เหยียนลี่หยางอธิบาย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและพูดเสริมขึ้นอีกว่า “เมื่อสิบปีก่อน แผ่นดินฉางหลางที่กำลังร่มเย็นเป็นสุขและเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดอยู่นั้นเอง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อราชวงศ์ฉางหลางถืออำนาจมากเกินกว่าที่ทัณฑ์สวรรค์จะควบคุมได้ พวกเขาจึงยุเจ้าชายของราชวงศ์ให้ก่อสงครามจนลุกลามไปทั่วแผ่นดิน”
“ไม่เพียงแผ่นดินฉางหลางเท่านั้น แต่ทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นชนวนสงครามที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก เมื่อใดก็ตามที่อำนาจตกอยู่ในมือผู้ใดผู้หนึ่งมากเกินไปจนส่งผลกระทบกับพวกเขา พวกเขาจะยุยงปลุกปั่นขั้วอำนาจอื่นๆโดยรอบให้ก่อสงคราม หรือแม้กระทั่งบ่อนทำลายจากภายใน ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องล้มตายจากการกระทำอันชั่วร้ายของพวกเขา”
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด นัยน์ตาของเย่เย่ก็เบิกโพลงด้วยความตกตะลึง แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องของทัณฑ์สวรรค์มาบ้าง แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่านอกจากที่พวกเขาจะสังหารเหล่าวิญญาณกลับชาติมาเกิดแล้ว ยังเป็นเชื้อเพลิงของไฟสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลกอีกด้วย
เขาเริ่มตระหนักแล้วว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่กว่าเมือง หลิงเฉิงที่เขาอยู่มากนัก แม้แต่แผ่นดินฉางหลางเองก็เป็นเพียงทรายเม็ดเล็กๆในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เพียงเท่านั้น หากอิทธิพลของทัณฑ์สวรรค์เป็นจริงอย่างที่เหยียนลี่หยางกล่าวมาละก็ชีวิตของผู้คนนับไม่ถ้วนต้องมาสังเวยให้แก่พวกเขาไม่เว้นแต่ละวันเลยทีเดียว
ชายวัยกลางคนสังเกตเห็นใบหน้าที่ครุ่นคิดของเย่เย่ เขาก็เงียบลงสักพักหนึ่งก่อนพูดเสริมขึ้นอีกครั้ง “กว่า 100,000 ปีที่ทัณฑ์สวรรค์ครอบงำโลกใบนี้อยู่ในเงามืด กว่า 100,000 ปีที่เมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายนี้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของผู้คน และปกครองพวกเขาด้วยความหวาดกลัว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พวกเราต้องร่วมใจกันกำจัดมะเร็งร้ายนี้ให้หมดสิ้น!”
“ช้าก่อนท่านเหยียน แม้ว่าจะโชคดีที่บรรลุขั้นเทพอสูรได้ในเวลาอันสั้น แต่ตัวข้าเองคงไม่ได้ต่างอะไรไปจากลูกไก่ในกำมือของพวกเขา แม้ว่าข้าจะเห็นด้วยกับความเห็นของท่าน แต่ข้าเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบในเมืองหลิงเฉิง ขอให้ท่านโปรดเข้าใจ” เย่เย่ตอบปฏิเสธด้วยสีหน้ากังวล และรอยยิ้มเจื่อนๆ เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลย้อยลงมาจากหน้าผากของเขา เขาไม่ต้องการแกว่งเท้าหาเสี้ยนไปมากกว่านี้อีกต่อไปแล้ว
ตั้งแต่ที่เขาตระหนักขึ้นได้ว่าตนเองคือวิญญาณกลับชาติมาเกิด เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับทัณฑ์สวรรค์มาโดยตลอด
“ท่านเย่เป็นคนฉลาดหลักแหลม แม้ว่าท่านจะพยายามหลีกหนีมันสักแค่ไหน ไม่ช้าก็เร็วเมืองหลิงเฉิงเองก็ต้องตกอยู่ในสภาวะสงครามอย่างแน่นอน การโจมตีของตระกูลมู่หรงคือข้อพิสูจน์ ในเมื่อท่านยืนกรานเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าขอแนะนำให้ท่านเตรียมการไว้ให้ดีก็แล้วกัน” ชายวัยกลางคนไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่เขาก็ให้คำชี้แนะแก่เย่เย่อย่างตรงไปตรงมา
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ ท่านเหยียนวางใจเถอะ อย่างน้อยข้ามั่นใจว่าข้าและเมืองหลิงเฉิงจะรับมือกับศึกตระกูลมู่หรงได้อย่างแน่นอน” น้ำเสียงและคำพูดของเย่เย่เต็มไปด้วยความมั่นใจและหนักแน่นปราศจากความลังเล
ต้องขอบคุณหลินหยูฉีที่ทำให้เขารับรู้ถึงตัวตนของทัณฑ์สวรรค์ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกเปิดโปงตัวตนและถูกลบหายไปจากโลกนี้เช่นเดียวกับวิญญาณกลับชาติมาเกิดตนอื่นๆ
“เช่นนั้นข้าขอตัว” เหยียนลี่หยางเมื่อหมดธุระแล้ว เขาก็เดินออกไปจากหอการค้า
หลังจากได้รับคำเตือนจากชายวัยกลางคน เย่เย่ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อสื่อสารกับขั้วอำนาจอื่นด้วยตนเอง เพื่อเก็บซ่อนตัวตนจากสายตาของทัณฑ์สวรรค์ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ขณะนั้นเองมีชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาว ดูน่าสงสัย ก้าวเท้าเข้ามาในเมืองหลิงเฉิง เขามองซ้ายมองขวา หันไปหันมาราวกับบ้านนอกเข้ากรุง
“จากที่สายรายงานมา เขาต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ” ชายน่าสงสัยเดินวนไปวนมารอบๆเมืองหลิงเฉิงอย่างงุนงง แม้จะดูน่าสงสัยแต่ก็ไม่มีใครโดยรอบสังเกตท่าทีของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เอาน่า ทูตสวรรค์รุ่นที่ 394 อย่าทำให้ข้าผิดหวังนักสิ!” เขายังคงเดินเตร็ดเตร่ไปมาราวกับกำลังควานหาอะไรบางอย่างอยู่ พลางนึกถึงข้อมูลที่เขาได้รับรายงานมา ไม่นานนักเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย น่าประหลาดที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเขาราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
เย่เย่ที่ไม่รู้ตัวว่าภัยคุกคามกำลังใกล้เข้ามา เขาก็นั่งขัดสมาธิทำสมาธิกำหนดลมปราณให้เสถียร และฝึกฝนวิทยายุทธ์อย่างขะมักเขม้น
แม้ว่าการพัฒนาของเขาจะล่าช้าเมื่อเทียบกับระดับชั้นก่อนๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียกำลังใจในการฝึกแต่อย่างใด ทันใดนั้นเองสายที่เขาส่งไปสืบการเคลื่อนไหวของตระกูลมู่หรงก็ส่งข่าวคราวกลับมารายงานแก่เขา
‘ตระกูลมู่หรงจะเข้าโจมตีเมืองหลิงเฉิงในเร็ววัน’
“จริงรึ!?” หลังจากที่เขาอ่านข้อความในจดหมาย เขาก็ถามผู้นำสาส์นขึ้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ไม่ผิดแน่ขอรับ สายสืบที่เราส่งไปมีแต่มือดีเชื่อถือได้ทั้งนั้นขอรับ” ชายผู้ส่งสาส์นตอบกลับเย่เย่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและหนักแน่น…