บทที่ 110
ยินยอม
“ไม่ว่าข้อเสนอของท่านเย่คืออะไร ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าตระกูลเสวี่ย ต้องไม่มีคำว่าเกินความสามารถ!” ผู้เฒ่านาม เสวี่ยตงเจี๋ยน กล่าวขึ้นคัดค้านคำพูดของเสวี่ยเฉิงกุ่ย เย่เย่ยังคงฟังพวกเขาโต้แย้งกันโดยไม่ได้พูดอะไรให้มากความ นอกจาก ตงเจี๋ยนแล้วผู้เฒ่าคนอื่นๆต่างเห็นด้วยกับเขาเช่นเดียวกัน
เสวี่ยเฉิงกุ่ยขมวดคิ้วด้วยความตึงเครียด และหันหน้าไปหาเย่เย่เพื่อรับฟังข้อเสนอจากปากของเขาเอง
“ข้ามาที่นี่เพราะเสวี่ยหยู” เย่เย่พูดข้อเสนอของเขาอย่างสั้นๆต่อหน้าผู้คนตระกูลเสวี่ย
เสวี่ยเฉิงกุ่ยได้ยินดังนั้นคิ้วของเขาก็กระตุก และกัดฟันด้วยความโกรธ ก่อนที่จะกล่าวกับเย่เย่ไปตามตรง “ท่านเย่ หากนางไม่ได้ประสงค์เช่นนั้นล่ะ ท่านจะทำอย่างไร? อีกอย่างข้าได้ห้ามให้นางมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจอีกซึ่งก็เพื่อตัวของนางเอง ได้โปรดเอาชีวิตข้าไปแทนนางเถอะ!”
ในฐานะพ่อ เสวี่ยเฉิงกุ่ยพร้อมที่จะตายเพื่อปกป้องลูกสาวเพียงคนเดียวของตน และจะไม่คิดเสียใจภายหลัง
อย่างไรก็ตามสมาชิกตระกูลเสวี่ยคนอื่นๆไม่ได้เห็นด้วยกับเขาเลยแม้แต่น้อย หากเสวี่ยหยูเพียงคนเดียวสามารถแลกชีวิตของคนทั้งตระกูลได้นั้นสำหรับพวกเขาถือว่าเป็นข้อเสนอที่คุ้มค่าเลยทีเดียว เฒ่าตงเจี๋ยนจึงลุกขึ้นพูดอีกครั้ง “ท่านเฉิงกุ่ย ในฐานะผู้นำตระกูลท่านต้องรู้จักมองภาพรวมเสียบ้าง ในเมื่อท่านเย่เสนอดังนั้นแล้วจะลบล้างความผิดทั้งหมดได้ มันก็คุ้มค่า…”
“หุบปาก!” เสวี่ยตงเจี๋ยนพูดยังไม่ทันจบประโยค เสวี่ยเฉิงกุ่ยผู้เป็นพ่อแท้ๆของเสวี่ยหยูทนฟังคำพูดของเขาไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงลุกขึ้นชี้หน้าด่าชายแก่
“เสวี่ยหยูมีความดีความชอบกับตระกูลของเราเป็นอย่างมาก แต่ท่าน! นอกจากจะคัดค้านความเห็นของเสวี่ยหยูมาโดยตลอด ข้ายังไม่เคยเห็นท่านทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง! ที่หอการค้าตงหยวนของพวกเราต้องมาล้มละลายก็เพราะคนเช่นท่าน! ท่านไม่ละอายแก่ใจเลยบ้างหรืออย่างไร!?”
แม้ว่าเหล่าบรรดาผู้เฒ่าจะถูกเจ้าตระกูลตำหนิ แต่พวกเขาที่ตั้งคำถามถึงความสามารถของเสวี่ยเฉิงกุ่ยมาโดยตลอดก็ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน แน่นอนว่าทองแท้ฉันใด ย่อมไม่แพ้ไฟฉันนั้น นอกจากนี้พวกเขายังโต้เถียงกลับอีกด้วย
“ท่านเฉิงกุ่ย เหตุใดท่านจึงรื้อฟื้นอดีตที่แก้ไขไม่ได้กันล่ะ? ในเมื่อทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือส่งตัวเสวี่ยหยูให้ท่านเย่ แม้ว่านางจะมีความดีความชอบจากการควบคุมดูแลหอการค้า แต่ในเมื่อหอการค้าปิดกิจการไปแล้วนางจะมีประโยชน์อันใดอีกล่ะ?”
“ใช่แล้ว ข้าเห็นด้วย! สตรีคนเดียวช่วยชีวิตคนทั้งตระกูล คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม!”
“นางต้องเป็นที่โปรดปรานของท่านเย่เป็นแน่!”
เมื่อตงเจี๋ยนพูดจบ เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ต่างเห็นด้วยกับเขาอย่างเป็นเสียงเดียวกัน ในสายตาของพวกเขาแล้วเสวี่ยหยูในตอนนี้มีค่าไม่ต่างอะไรจากนางบำเรอ ขัดดอกเลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้า! จะมากไปแล้วนะ!” เมื่อเห็นเหล่าผู้บริหารประจำตระกูลตัดสินใจแบบนั้น ชายผู้พ่อจึงโกรธจัดในทันที ใบหน้าของเขาแดงก่ำ มือของเขากำนั่นและสั่นไหว
“พอได้แล้ว! ข้ายังไม่ได้พูดเลยสักคำว่าจะเอาเสวี่ยหยูไปทำอะไร พวกท่านเลิกคิดแทนข้าได้แล้ว!” หลังจากที่เห็นพวกเขาทะเลาะอยู่นาน เย่เย่ก็เริ่มหงุดหงิด และแสดงสีหน้ารังเกียจพวกผู้เฒ่าที่เอาแต่จะใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือ ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าที่เสวี่ยหยูถอนหุ้นออกเป็นเพราะมีผู้คนเหล่านี้คอยบงการอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้เป็นเพราะมารยาของนางแต่อย่างใด
“ข้าจะพานางไปเพราะต้องการให้นางรับหน้าที่ผู้จัดการหอการค้าของข้า ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงแต่อย่างใด หากนางไม่ประสงค์ที่จะไปข้าก็จะไม่บังคับนาง” เมื่อเย่เย่พูดจบ เหล่าผู้คนในตระกูลเสวี่ยต่างมองหน้ากันไปมาอย่างงุนงง
“ท่านเย่ ท่านพูดจริงหรือ?” เสวี่ยเฉิงกุ่ยถามเย่เย่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคง เขายังคงเคลือบแคลงใจในตัวของเย่เย่อยู่ไม่น้อย
“ใช่แล้ว ข้าจะโกหกท่านไปทำไมกัน?” เย่เย่ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอรับข้อเสนอของท่านด้วยความเต็มใจ! เสวี่ยหยูของข้าน่ะนะเป็นเด็กที่สนใจเรื่องการทำมาค้าขายมาตั้งแต่เล็กๆเลย อีกทั้งนางยังเคารพเลื่อมใสในตัวท่านเย่อีกด้วย ข้ามั่นใจว่านางจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” ชายผู้พ่อเมื่อได้ยินคำยืนยันจากปากเย่เย่ก็รู้สึกโล่งอก เขารีบตอบรับข้อเสนอของ เย่เย่ และส่งคนให้ไปตามตัวเสวี่ยหยูมาที่ห้องโถงในทันที
เสวี่ยหยูที่เพิ่งได้รับคำสั่งให้หลบซ่อน และมีคำสั่งใหม่ให้นางไปที่ห้องโถง นางจึงเต็มไปด้วยความสับสน ก่อนแต่งตัวและรีบเดินออกไปพบพ่อของนาง เมื่อนางมาถึงห้องโถง นางก็บังเอิญสบตากับเย่เย่ชั่วขณะ เสวี่ยหยูที่ยังคงรู้สึกผิดจึงเบือนหน้าหนี เย่เย่และรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องพบหน้าเขา ชายผู้เป็นพ่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟังและกะพริบตาส่งสัญญาณให้นางรับข้อ เสนอของเย่เย่
“ผู้จัดการหอการค้าหยูเย่!? ข้าเนี่ยนะ!?” นางตกใจกับข้อเสนอดังกล่าวจึงเผลอพูดออกมาเสียงดัง ก่อนที่จะเอามือป้องปากอย่างลืมตัว
“ใช่แล้ว หากแม่นางไม่รังเกียจละก็หอการค้าหยูเย่ยินดีต้อนรับ!” เย่เย่ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นเสวี่ยหยูแสดงท่าทีที่สมกับเป็นนางออกมา
เสวี่ยหยูได้ยินดังนั้น นางก็เริ่มกัดริมฝีปากของตัวเอง น้ำตาเริ่มไหลออกมาด้วยความปลื้มปริ่มจนเกิดเสียงแหมะลงบนพื้น นางครุ่นคิดอยู่สักพักราวกับถูกผู้ชายมาสารภาพรัก ก่อนที่นางจะตอบตกลงด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตาของนาง “ถ้าท่านเย่ต้องการเช่นนั้นละก็ ตกลงเจ้าค่ะ!”
หลังจากที่ตระกูลของนางผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับเขา นางก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มีโอกาสพบเย่เย่อีกเป็นครั้งที่สอง แต่ตอนนี้เย่เย่ไม่เพียงมาหานางด้วยตัวเอง เขายังชักชวนนางไปที่หอการค้า หยูเย่อีกด้วย ทันทีที่เสวี่ยหยูตอบตกลงชายผู้เป็นพ่อก็ได้ขออนุญาตเย่เย่เพื่อพูดบางสิ่งกับนาง
“ท่านเย่ ข้าขออนุญาตพูดอะไรกับลูกสาวที่น่ารักของข้าสักหน่อย ข้าขอส่งมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลเสวี่ยให้ลูกสาวของข้า เสวี่ยหยูตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และตระกูลเสวี่ยจะขอเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหอการค้าหยูเย่ หากมีผู้ใดขัดคำสั่งมันผู้นั้นหามิใช่คนของตระกูลเสวี่ยอีกต่อไป!”
“ท่านเสวี่ยหยูจงเจริญ! หอการค้าหยูเย่จงเจริญ!” ไม่ว่าเหล่าสมาชิก หรือผู้เฒ่าประจำตระกูลจะเห็นด้วยหรือไม่ คำสั่งของผู้นำตระกูลก็ถือเป็นอันขาด พวกเขาจึงคุกเข่าลงต่อหน้า เสวี่ยหยูและเย่เย่ ก่อนจะกล่าวคำสรรเสริญอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ลุกขึ้นเถอะ ตราบใดที่พวกท่านเชื่อฟังคำสั่งของข้าและไม่ฝ่าฝืนกฎใดๆ ข้าขอสัญญาด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของหอการค้าหยูเย่ว่าข้าจะปกป้องตระกูลเสวี่ยของพวกท่านด้วยชีวิต!” เขาพูดพลางมองไปที่ผู้คนที่คุกเข่าทำความเคารพเขาด้วยความปีติยินดี เมื่อเสร็จสิ้นพิธีเขาจึงเดินทางกลับหอการค้าหยูเย่พร้อมกับสมาชิกใหม่ในทันที
เมื่อเย่เย่กลับมาถึงหอการค้า เขาไม่รอช้ากลับไปที่ห้องส่วนตัวของเขาที่ชั้น 7 เพื่อฝึกฝน ยกระดับวรยุทธ์ของเขาในทันที
2 วันให้หลังวรยุทธ์ของเขายังคงไม่คืบหน้าสักเท่าไหร่ แต่การควบคุมลมปราณของเขากลับดีขึ้นอย่างเป็นลำดับ ทันทีที่เขาจะเริ่มการฝึกกระบวนท่าสลาตันฟ้าคำรามก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา!”
“รายงานท่านเย่ ชายนามเหยียนลี่หยางขอเข้าพบท่านขอรับ!”
เมื่อเย่เย่ได้ยินชื่อนี้เขาก็นึกขึ้นได้ในทันที และรีบบอกให้ลูกจ้างพาเขาเข้ามาพบ…