บทที่ 116
กระจกบุปผาจันทราวารี
ครืนนนนนนนน
เสียงการโจมตีของเย่เย่ดังสนั่นรุนแรงราวกับพายุฝน เฉินเจียนโปและพรรคพวกที่จับตามองค์การต่อสู้ของพวกเขาอยู่ถึงกับต้องเอามือป้องหน้าและถอยร่นออกไปด้วยพลังทำลายล้าง หยางเฟิงไม่มีทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใด เขารวบรวมพลังปราณและดึงมันออกมาใช้ที่หมัดทั้งสองข้างของเขา
“ฟู่ววววว” ชายหนุ่มปลดปล่อยพลังออกมาจากลมหายใจที่แผ่วเบา ก่อนจะใช้กระบวนท่ามังกรคู่พิฆาตต้านหมัดของเย่เย่เอาไว้ได้ทันท่วงที
สองกำปั้นประสานกันจนเกิดคลื่นอากาศอัดกระแทกทำให้โต๊ะ เก้าอี้ และของใช้ในโรงเตี๊ยมกระจัดกระจายออกอย่างสะเปะสะปะ มีเพียงเย่เย่ และหยางเฟิงเฟิงเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบและยังคงยืนประจันหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“มีความพยายาม แต่ก็อ่อนหัด!” เย่เย่พุ่งเข้าโจมตีชายหนุ่มอีกครั้งด้วยสีหน้ามั่นใจ เขารวบรวมพลังสายฟ้าและพายุเอาไว้ที่ขาข้างซ้ายของเขา และเตะกวาดไปที่ต้นคอของศัตรูอย่างรวดเร็ว
ครืนนนนนนน
คลื่นอากาศถูกแหวกออกเป็นเสี่ยงๆ สอดประสานกับเสียงฟ้าคำรามที่ดังกึกก้อง ชายหนุ่มที่เห็นท่าไม่ดีจึงงัดกระบวนมังกรคู่พิฆาตสวนกลับไปที่ต้นขาของเย่เย่
เสียงคำรามของมังกรทั้งสองที่ถูกปลดปล่อยออกมาดังถึงขนาดที่ทำให้เลือดลมของเฉินเจียนโปและพรรคพวกไหลเวียนอย่างผิดปกติจนพวกเขาต้องเอามือทั้งสองข้างปิดหูของตนเอาไว้ และถอนตัวออกจากโรงเตี๊ยมในทันที
แม้ว่าหมัดของชายหนุ่มปัดป้องและสะท้อนกระบวนท่าสลาตันฟ้าคำรามของเย่เย่ได้ แต่แขนทั้งสองข้างของเขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“อะ ฮะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“ต้องขอโทษด้วย ข้ายอมรับว่าข้าประเมินท่านต่ำเกินไปจริงๆแต่ท่านก็มาได้แค่นี้แหละ ตายซะ!”
แม้ว่าเย่เย่จะประหลาดใจกับท่าทีของศัตรู แต่เขาก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด เขาจึงควักกระบี่เทพอัสนีออกมาและกระโดดเข้าห้ำหั่นใส่ชายหนุ่มผู้อวดดี สายฟ้าสีม่วงผ่าลงมายังดาบของเขาอย่างรุนแรง ราวกับเสริมพลังให้กับมัน ทันใดนั้นเอง
“ข้าบอกแล้วไง ว่าท่านน่ะจบสิ้นแล้ว!” หยางเฟิงเฟิงตะโกนด้วยรอยยิ้ม และดวงตาที่เบิกโพลงด้วยความมั่นใจ เขาไม่แม้แต่จะหลบการฟาดฟันของเย่เย่ แต่กลับควักอะไรบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อและยกขึ้นมาตรงหน้า
ว้าบบบบบบบบบบบบบบ
กระจกแปดด้านสะท้อนลำแสงสีขาวเจิดจ้าปกคลุมร่างของเย่เย่อย่างรวดเร็ว
“อะ..อะไรกัน!” ไวกว่าความคิด ด้วยความเร็วชั้นเทพอสูรของเย่เย่ และพลังป้องกันของเกราะมังกรเมฆาที่เขาสวมใส่ไม่สามารถทัดทานลำแสงคลื่นความถี่สูงนี้ได้ ทำให้ร่างของเขาถูกกลืนหายไปในแสงสีขาว
ทิวทัศน์รอบๆตัวของเย่เย่ก็ถูกกลืนหายไปด้วยเช่นเดียวกัน โลกทั้งใบของเขาถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวราวกับฤดูเหมันต์ คลื่นพลังนี้ไม่เพียงสว่างไสวเท่านั้น แต่มันยังร้อนราวกับสามารถแผดเผาทุกสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา
ตัวเขาราวกับถูกโยกย้ายมาอีกมิติหนึ่ง เมื่อเขาตรวจสอบร่างกายของตนก็พบแต่ร่างเปลือยเปล่า เกราะมังกรเมฆาของเขาถูกแสงนั่นทำลายลงอย่างง่ายดาย
‘นี่ฉันตายแล้วอย่างงั้นเรอะ!?’
‘นี่มันบ้าชัดๆ ฉันจะมาตายแบบนี้ไม่ได้!’
เย่เย่ที่คิดว่าตัวเองได้จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ทรุดตัวลงด้วยความเศร้าสลด เรื่องราวในอดีตถึงปัจจุบันจำนวนนับไม่ถ้วนของเขาค่อยๆรายเรียงเป็นฉากภายในหัวของเขา ตัวเขาในตอนนี้เสมือนเป็นบุคคลที่สามที่จ้องมองเหตุการณ์ของตัวเองที่ผ่านๆมา ทั้งความสุข ความทุกข์ ความโศกเศร้าเสียใจ ความผิดหวัง ค่อยๆเอ่อล้นขึ้นมาในจิตใจของเขา
หยางเฟิงเฟิงเมื่อเห็นผลลัพธ์ดังนั้นเขาจึงยิ้มเยาะออกมาด้วยความชั่วร้าย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าเย่ ทุกสิ่งที่เจ้าครอบครองบัดนี้มันเป็นของข้าหยางเฟิงเฟิงผู้นี้อย่างสมบูรณ์แล้ว! ข้าจะกวาดล้างหอการค้าหยูเย่ของเจ้าให้สิ้นซาก!” เมื่อเขานึกถึงภาพที่ตนเองได้ปกครองหลิงเฉิง ชายหนุ่มจึงกลั้นหัวเราะด้วยความโลภเอาไว้ไม่อยู่
เดิมทีกระจกบุปผาจันทราวารีชิ้นนี้มูหลงผู้เป็นอาจารย์มอบให้เขาไว้เพื่อใช้ป้องกันตัวในยามคับขันเท่านั้น เนื่องจากมันจะดูดกลืนพลังปราณทั้งหมดของผู้ใช้ทันทีเมื่อใช้งาน แต่ด้วยความเย่อหยิ่งและทะเยอทะยานของหยางเฟิงเฟิง ทำให้เขาไพ่ตายออกมาใช้ตั้งแต่ไก่โห่
เฉินเจียนโปและคนอื่นๆที่คอยชะเง้อมองการต่อสู้อย่างกล้าๆกลัวๆอยู่นอกโรงเตี๊ยม เมื่อเห็นการโจมตีด้วยลำแสงของชายหนุ่มทำให้พวกเขาตกตะลึงกันไปตามๆกัน บ้างก็คิดว่าเย่เย่ตายไปแล้ว บ้างก็ว่ายังไม่ตาย แต่พวกเขาทั้งหมดยังคงไม่ถอนกำลังจนกว่าจะได้เห็นศพของผู้เป็นนายด้วยตาตัวเอง
“ข้าหวังว่าเจ้าจะได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนครั้งนี้บ้างล่ะนะ” เย่เย่ที่นั่งก้มหน้าด้วยความสิ้นหวังอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงปริศนาดังก้องขึ้นมาในโสตประสาท ราวกับเป็นเสียงจากสรวงสวรรค์
ทันใดนั้นเองเย่เย่ก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่ประทับลงบนแผ่นหลังของตน พลังความร้อนที่อบอุ่นและนุ่มนวลถ่ายโอนจาก ฝ่ามือมายังร่างของเขา นอกจากฝ่ามือนี้ค่อยๆเยียวยาเขาอย่างช้าๆแล้ว ยังส่งพลังแสงสีฟ้าแหวกทะลุออกมาจากกลางอกของเขาปัดเป่าแสงสีขาวที่ปกคลุมเขาออกและต้านพลังลำแสงที่ร้อนแรงกว่าแสงเลเซอร์
“อะไรกัน!?” หยางเฟิงเฟิงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน เขาจึงเพ่งลมปราณไปที่กระจกของเขาเพื่อหักล้างลำแสงสีคราม แต่ก็ไม่เป็นผล
ตู้มมมมมมมมมมม
แสงสีครามได้ปกคลุม กลืนกินร่างของหยางเฟิงเฟิง และแช่แข็งเขาในสภาพยืนทั้งเป็น เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นชั่วพริบตา แม้กระทั่งเย่เย่ที่สุขุมมาโดยตลอดก็ตกใจเช่นเดียวกัน
เมื่อเขาหลุดพ้นจากพันธนาการ เบื้องหน้าเขาก็ปรากฏให้เห็นชายที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“เหยียนลี่หยาง? ท่านเป็นใครกันแน่!?” เย่เย่หันไปมองหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของชายวัยกลางคนด้วยความหวาดระแวง จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขาตระหนักว่าเหยียนลี่หยางผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเขาหลายขุมนัก เป็นที่ชัดเจนว่าระดับของเขาต้องเกินเทพอสูรขึ้นไปอย่างแน่นอน
“ชู่วววว อย่ากระโตกกระตากนักสิ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอกน่า รู้แค่ว่าข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ก็พอ”
เหยียนลี่หยางชูนิ้วชี้ขึ้นมาป้องปากเอาไว้ และพูดกับ เย่เย่อย่างแผ่วเบา หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปอย่างช้าๆ
“ช้าก่อน! ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ทำไม ท่านมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ข้าเป็นกำลังให้กับท่านในการต่อสู้กับทัณฑ์สวรรค์ไม่ได้หรอกนะ!” เย่เย่ที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าก็วิ่งเข้ามารั้งผู้มีบุญคุณของเขาไว้ได้ทัน แม้ว่าเขาจะติดหนี้บุญคุณกับ เหยียนลี่หยางแต่เขาก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับทัณฑ์สวรรค์อยู่ดี
ชายผู้มีพระคุณได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นมาเกาคาง พลางครุ่นคิดอยู่พักนึง จากนั้นเขาก็หยิบแหวนวงหนึ่งที่มีรูปร่างพิสดาร ดูไม่ออกว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากอะไร โยนให้กับเย่เย่และพูดขึ้น
“งั้นเอางี้ เก็บแหวนนั่นไว้ อย่าให้ใครก็ตามเห็นมันเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเจ้ากับข้ายุ่งแน่!”
เย่เย่รับมันอย่างลนลานราวกับถูกโยนเผือกร้อนใส่ ‘ใครสั่งใครสอนให้โยนของสำคัญแบบนั้นกันฟะ’ เขาคิดในใจ
แม้ว่าชายวัยกลางคนจะพูดอย่างไม่ได้แยแสอะไรมากนัก แต่เย่เย่กลับสัมผัสได้ถึงภาระอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง ไม่แน่ว่าแหวนชิ้นนี้อาจเกี่ยวข้องอะไรกับทัณฑ์สวรรค์ก็เป็นได้…